เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 4 : ผู้ปลดปล่อยความโกรธ

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 4 : ผู้ปลดปล่อยความโกรธ

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

หลังจากที่ทวิชสิ้นใจลงไปต่อหน้าต่อตาของเรไร และเธอได้รับรู้ถึงชะตากรรมอันน่าเศร้าของแม่ โดยการยืนยันจากปากคนตายแล้ว ด้วยความกระหายในการค้นหาความจริง รุ่งขึ้นเรไรจึงไปที่วัดซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิของนางทับทิม ก่อนจะพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าที่พักพิงสุดท้ายของสังขารที่เหลือจากคนที่ไร้ซึ่งชีวิตแล้ว

ในมือที่สั่นเทาของเธอมาพร้อมกับค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ นี่อาจเป็นสัญลักษณ์ในการเรียกร้องความยุติธรรมในแบบของตัวเองก็ได้ อีกทั้งมันยังเป็นสิ่งทำลายคำโกหกที่กลืนกินชีวิตเธอมานานเหลือเกิน

รูปถ่ายพร้อมกับชื่อของนางทับทิมปรากฏอยู่บนแผ่นหินอ่อน ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นที่ใช้เจดีย์ที่วัดแห่งนี้เป็นที่พักพิงแห่งสุดท้ายให้กับเถ้าธุลีที่หลงเหลือ เรไรมองวันเกิดและวันตายของนางทับทิมอย่างเยาะหยัน ผู้หญิงคนนี้ใช้กระดูกแม่ของเธอแทนตัวเองมานานเกินทนแล้ว

“แม่…หนูมารับแม่แล้วนะ”

หญิงสาวคิดถึงรอยยิ้มและความอบอุ่นที่เธอเคยได้รับ ก่อนมันจะถูกพรากไปเป็นเวลากว่าสิบห้าปี ความอาฆาตของเรไรเริ่มรุนแรงขึ้น ร่างระหงค่อยๆ ยืนขึ้น แล้วเริ่มเหวี่ยงค้อนปอนด์กระทบกับหินอ่อนที่สลักชื่อนางทับทิมแรงๆ อย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมกับปลดปล่อยความเคืองแค้นที่เก็บกักเอาไว้อย่างสุดกำลัง เพื่อทำลายสิ่งก่อสร้างที่ปกปิดความจริงมานานหลายปีให้แตกออกจากกัน

เศษซากหินอ่อนที่แฝงไว้ด้วยการหลอกลวงกระจายอยู่รอบตัว เรไรได้เห็นความจริงที่อยู่ภายในนั้น โกศสีทองและข้าวของที่เจอตอนพบศพถูกเก็บเอาไว้ด้วยกันอย่างดี หนึ่งในนั้นคือแหวนทองของแม่ ซึ่งเหมือนกับของที่เธอมีอย่างไม่ผิดเพี้ยน มืออันสั่นเทาถือแหวนทองทั้งสองเทียบกัน

“แม่…” หญิงสาวร้องไห้แทบขาดใจ เมื่อหยิบโกศทองเหลืองออกมา แล้วมองดูเถ้ากระดูกที่เหลืออยู่ในนั้น สิบห้าปีที่ผ่านมามันยาวนานเหลือเกิน และเธอไม่รู้เลยว่าแม่นั้นรอลูกสาวอยู่ตรงนี้มาโดยตลอด ภายใต้ชื่อของนางทับทิมซึ่งใช้ที่แห่งนี้ตบตาคนทั้งโลก

น้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าไม่ขาดสาย ขณะที่เรไรกอดโกศไว้แนบอกแล้วกรีดร้องสุดเสียง ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานสุมอกจนหายใจแทบไม่ออก แต่นั่นยังไม่เท่ากับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับแม่ของเธอ ซึ่งมันเสียดแทงเข้าไปในจิตวิญญาณของลูกที่รอคอยแม่กลับมาตลอด

“หนูจะให้พวกมันต้องชดใช้ให้ได้ หนูสัญญา…” เธอตั้งสัตย์ปฏิญาณต่อเถ้ากระดูกของแม่ การตายของแม่จะต้องไม่สูญเปล่า เพราะเธอจะหาทางเพื่อเปิดโปงสิ่งที่พวกมันทำ และนำมันมาคุกเข่าต่อหน้าเถ้ากระดูกของแม่ให้จงได้

“แม่กลับไปกับหนูนะ หนูจะแสดงให้แม่เห็นเองว่าพวกมันต้องเจอกับอะไรบ้าง” มือสั่นเทาลูบโกศทองเหลืองที่กอดไว้แน่น และต่อไปนี้เธอจะเริ่มต้นการเดินหน้าเพื่อแสดงให้โลกเห็นถึงความเลวร้ายของฆาตรกรในคราบนักบุญ แม้เส้นทางนั้นจะเต็มไปด้วยอันตรายแค่ไหนก็ตาม เธอก็จะไม่มีวันหันหลังกลับอย่างเด็ดขาด

“ฉันจะลากพวกแกลงหลุมให้หมด…”

ดวงตาของเธอลุกโชนด้วยความเกรี้ยวกราด ทุกย่างก้าวจะมีแต่จุดหมายอันแน่วแน่ เธอจะรื้อเครือข่ายลวงโลกของมธุกรลงให้ราบคาบ และเปิดเผยความจริงว่าพวกมันได้พรากแม่ไปจากเด็กหญิงคนหนึ่งไปเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว

 

ระหว่างหญิงสาวร่ำไห้กอดโกศทองเหลืองเอาไว้แนบอก เธออาจไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ได้เห็นฉากอันน่าสะเทือนใจนี้ด้วย เขาเดินมาดูตั้งแต่ได้ยินเสียงเหมือนใครกำลังทุบทำลายของบางอย่าง แต่ก็ไม่อาจเข้าไปห้ามเธอได้ ด้วยสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังที่ออกมาจากตัว

และพอหญิงสาวเริ่มสงบลงได้แล้ว พฤกษ์ผู้ได้เห็นฉากการพังทลายของที่เก็บกระดูกคนตายด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เธอมี ก็เริ่มกังวลถึงความปลอดภัยของทรัพย์สินในวัด รวมถึงความรู้สึกที่แตกสลายของคนที่กำลังร้องไห้แทบขาดใจ โดยไม่ต้องรีรอ เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหา เพื่อจะทำความเข้าใจถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของเธอ

“คุณครับ…เป็นอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความระแวดระวังเรียกหญิงสาว พฤกษ์พยายามทำใจเย็นๆ ในขณะที่ก้าวเข้าไปหาเธอ ด้วยไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรต่อไปบ้าง

ใบหน้าสวยหันมาด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม มีเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้นที่ตอบกลับเขาไป

“เกิดอะไรขึ้นครับคุณ…” เขาพยายามที่จะพูดคุยกับเธออย่างใจเย็น ระหว่างนั้นเธอก็เริ่มสงบลงแล้วหันมาตอบเขา

“ฉัน…ฉันแค่มาเอาแม่ค่ะ”

เธอเอ่ยออกมาแค่นั้น แต่เท่าที่เห็นพฤกษ์ก็สัมผัสได้ถึงความแตกสลายในตัวเธอ ราวกับว่าผู้หญิงคนนี้กำลังพบเจอกับบางสิ่ง ที่ทำให้เธอไม่สามารถคงสติสัมปชัญญะของตัวเองเอาไว้ได้

“แน่ใจนะครับว่าคุณไม่เป็นอะไร”

“ค่ะ…”

ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วพยายามทำความเข้าใจกับเหตุการณ์วุ่นวายที่ได้พบเห็น เมื่อสังเกตมือของผู้ที่ถือโกศเอาไว้ ก็พบว่าเธอมีร่องรอยของการบาดเจ็บปรากฏอยู่

“ให้ผมดูแผลที่มือคุณไหมครับ”

ชายหนุ่มพยายามเดินเข้าไปใกล้ ทว่าหญิงสาวกลับร้องห้ามเอาไว้

“ไม่ค่ะ…อย่าเข้ามาใกล้ฉัน”

“โอเคครับ แต่คุณเพิ่งทำลายทรัพย์สินของวัดไปนะ” พฤกษ์มองดูเศษหินอ่อนที่อยู่รอบๆ ตัวเธอ เพื่อสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจ ว่าตอนนี้เธอกำลังทำลายทรัพย์สินส่วนหนึ่งของวัดไปแล้ว

“นี่เป็นที่เก็บกระดูกของแม่ ฉันแค่มาเอาของคืนเท่านั้น”

เขาได้แต่ขมวดคิ้วกับเหตุผลของเธอ แต่ถึงยังไงจากที่เห็น คงเอาอะไรกับเธอไม่ได้อยู่ดี

“เข้าใจครับ…ยังไงคุณก็น่าจะแจ้งเจ้าอาวาสท่านก่อน”

และเหมือนคำพูดของเขาจะกลายเป็นลมผ่านหูเธอไปเสียแล้ว เมื่อหญิงสาวที่เพิ่งพังที่เก็บกระดูกไปเมื่อครู่ กำลังเดินจากไปและแม้ว่าเขาจะพยายามเรียกเอาไว้เธอก็ไม่ยอมหันกลับมา

“คุณ…คุณ!…ไปซะแล้ว” พฤกษ์ได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วมองดูเศษซากที่กระจัดกระจายตามพื้น พอหยิบมันมาปะติดปะต่อกัน ก็ได้เห็นว่าที่เก็บกระดูกคนตายที่เธอเพิ่งทำลายไปนั้น เป็นของนางทับทิมเจ้าของแชร์ลูกโซ่คนดัง ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในวงกว้างเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว

“เป็นลูกของนางทับทิมเหรอ”

เขามองดูอย่างไม่เชื่อสายตานัก อย่างที่รู้ว่านางทับทิมตายไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อสิบห้าปีก่อน และคดีความที่ค้างอยู่ก็เหมือนจะเงียบหายไป ถึงเป็นอย่างนั้นลูกหลานก็น่าจะอยู่ดีกินดีจากเงินที่ฉ้อโกงชาวบ้านมาไม่ใช่หรือ แล้วเธอคนนั้นจะมาระบายอารมณ์กับที่เก็บกระดูกแม่ตัวเองทำไมกัน

ชิ้นส่วนปริศนาเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของพฤกษ์ มันเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นตามสัญชาตญาณของอดีตนักข่าว ที่ตอนนี้ผันตัวออกมาเป็นนักข่าวพลเมืองและทำเพจเล็กๆ เป็นของตัวเอง เขาจำเรื่องราวการฉ้อโกงของนางทับทิมได้เป็นอย่างดี เพราะแชร์นางทับทิมนั้นได้สร้างหายนะกับคนนับไม่ถ้วน รวมถึงครอบครัวคนรู้จักของเขาก็เป็นเหยื่อด้วยเหมือนกัน และนั่นยิ่งทำให้หญิงสาวที่เขาเพิ่งเคยพบมีความน่าสนใจขึ้นมาในทันที

“มีอะไรรึเปล่าโยม อาตมาได้ยินเสียงผู้หญิงร้องดังไปถึงกุฏิเลย”

ขณะเดียวกันพระสงฆ์รูปหนึ่งในวัดก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางสงบ ซึ่งตรงข้ามกับที่ความวุ่นวายยังไม่เรียบร้อยดี

“แค่มีคนมาเอาโกศของแม่เขาไปครับ” พฤกษ์ตอบเท่าที่รู้ ในใจยังคิดวนเวียนถึงเรื่องนางทับทิมอยู่

“ทำไมไม่มาบอกกันดีๆ ก่อนนะ ต้องทุบทำลายกันด้วยเหรอ”

น้ำเสียงของพระรูปนั้นคล้ายจะปลงตกอยู่ในที พฤกษ์เองก็ไม่รู้จะตอบเช่นไร เพราะเขาก็ไม่เข้าใจการกระทำของเธอเหมือนกัน แต่เมื่อความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่า เขาจึงลองถามกลับไป

“หลวงพ่อครับ เคยเห็นลูกของนางทับทิมบ้างไหมครับ”

“นางทับทิมเหรอ” พระลูกวัดหันไปมองที่เก็บกระดูกที่ถูกทุบทำลาย สายตาที่สงบนิ่งอยู่เมื่อครู่เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจขึ้นมา “แปลกจัง อาตมาไม่เคยเห็นญาติเขามาไหว้เลยสักครั้ง”

“งั้นเหรอครับ” สิ่งที่ได้ยินทำเอาพฤกษ์เกิดข้อสงสัย หากเธอคนนั้นคือลูกของนางทับทิมจริง เหตุใดถึงไม่เคยมาหาแม่บ้าง แล้วทำไมต้องมาทำลายเพื่อเอาโกศกลับไปด้วย กลายเป็นว่าตอนนี้ในหัวเขามีแต่คำถามมากกว่าคำตอบเสียแล้ว

“แล้ว…หลวงพ่อจะแจ้งความไหมครับ”

“ถ้าเป็นลูกเขาเอาไปเอง อาตมาคงไม่ไปแจ้งความหรอก เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ไปเปล่าๆ”

ว่าจบแล้วพระสงฆ์รูปนั้นก็เดินจากไป ราวกับไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องนี้สักเท่าไร นั่นยิ่งจุดประกายความอยากรู้อยากเห็นในใจของพฤกษ์ จากการที่มาวัดเพื่อสงบจิตใจ กลายเป็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระตุ้นให้เขาอยากรู้เรื่องราวของหญิงสาวปริศนาคนนั้นมากขึ้น

“มันดูแปลกๆ รึเปล่านะ” เขาไม่อาจสลัดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจนี้ออกไปได้ และมันทำให้พฤกษ์ยิ่งรู้สึกขัดใจ ลางสังหรณ์บอกตัวเองว่ามันจะต้องมีความจริงอะไร ที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีหน้าโศกเศร้าของผู้หญิงคนนั้น ซึ่งอยากรู้เหลือเกินว่าความลับที่ซ่อนอยู่ภายในเจดีย์ที่ถูกทุบทำลาย มันมีความเชื่อมโยงอะไรระหว่างเธอกับโกศเจ้าแม่แชร์ผู้ไร้ซึ่งคนเหลียวแลมานานปีหรือไม่

 

เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงที่เส้นขอบฟ้า แลเห็นเงาทอดยาวไปทั่วบริเวณวัด เรไรผู้เดินจากจุดเกิดเหตุแล้วมายังรถที่จอดรออยู่ ด้วยหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความโศกเศร้า พอขึ้นรถไปได้เธอก็เหลียวกลับไปมองชายหนุ่มที่มีโอกาสสนทนาอยู่เมื่อครู่

“น่าสนใจดีนะ…” ภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา เรไรสลัดความโศกเศร้า และมองไปยังคนที่เดินออกมาจากจุดเดียวกันกับเธอเมื่อครู่ ก่อนที่เขาจะขึ้นรถไปเช่นเดียวกัน

“ใครเหรอเรย์” ทิพย์ที่อยู่ในตำแหน่งคนขับหันมาถาม ความรู้ใจที่มีมานาน ทำให้เธอเริ่มเดาถึงความรู้สึกภายในใจของเรไรได้บ้าง

“ผู้ชายคนนั้น อยากรู้จังว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง”

ในระหว่างที่เศษขนมปังเริ่มโปรยลงไปแล้ว และมันได้จุดประกายให้ใครคนหนึ่ง เขาอาจแค่สงสัย หรือจะทำให้เป็นเรื่องจริงจังหรือไม่นั้นก็สุดแต่จะคาดเดาได้ แต่จากสายตาและความอยากรู้อยากเห็น เรไรก็พอจะเดาได้ว่า ดวงตาที่เปล่งประกายการแสวงหาความจริง เขาไม่อาจหลบซ่อนมันเอาไว้ได้

“สืบให้หน่อยได้ไหมว่าเขาเป็นใคร”

ทิพย์มองไปยังทะเบียนรถที่แล่นออกไป ไม่นานเธอก็จำมันได้อย่างขึ้นใจ

“ได้สิ…”

เรไรลูบโกศของแม่อย่างเบามือ ทิพย์เป็นคนเก่งเรื่องการสืบ สมกับที่อยู่กับทวิชมาตั้งแต่เด็กๆ เช่นเดียวกับเธอ ต่างกันก็ตรงที่ทิพย์ถูกฝึกให้แข็งแกร่งจากภายนอก ส่วนเธอนั้นถูกเลี้ยงไว้อย่างดีและเอาแต่ปิดหูปิดตาเรื่องไม่ดีของเขา จนวันที่ได้รู้ความจริงเรื่องแม่

และหากสิ่งที่คิดไว้ถูกต้อง ในไม่ช้าผู้ชายคนนั้นอาจกลายเป็นพันธมิตรที่คาดไม่ถึงก็ได้

 

ซึ่งพฤกษ์ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เพียงไม่กี่วันหลังจากได้เจอหญิงสาวปริศนาคนนั้น ความอยากรู้อยากเห็นก็นำเขามาสู่งานฌาปนกิจของทวิชจนได้ สายตาของเขาสอดส่องไปทั่วฝูงชนที่มารวมตัวกัน เพื่อไว้อาลัยต่อการจากไปของทวิช บรรยากาศรอบตัวอึมครึมไปด้วยโทนสีหม่นหมอง ตรงกันข้ามกับภายนอกที่เป็นเมืองซึ่งมีแต่เสียงจอแจอย่างสิ้นเชิง

พฤกษ์ก้าวลงจากรถ พร้อมกับเสียงบ่นปนความอยากรู้ของคนที่มาด้วยกัน ถึงเหตุผลของการมางานศพของคนที่พวกเขาแทบไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ

“ถามอีกที เรามางานนี้ทำไมวะ ไอ้พฤกษ์” ผู้กองรุจ เพื่อนสนิทไม่กี่คนของพฤกษ์เอ่ยถามอย่างสงสัย และมองดูเหล่าคนที่มางานด้วยสีหน้าสับสน เพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี

ขณะที่คนถูกถามถอนหายใจกับความช่างถาม พลางสอดส่ายสายตามองหาคนที่คุ้นเคย ท่ามกลางผู้ที่มาร่วมไว้อาลัย

“ทวิชเป็นคนสำคัญ แถมยังเป็นคนสนิทของอดีตรัฐมนตรี ที่ช่วยให้พวกพ้องตัวเองรอดคุกรอดตารางมาตั้งเยอะ” เขาตอบ

“เออ…เรื่องนั้นฉันรู้” คนฟังเอ่ยอย่างขัดใจ ถูกอย่างที่พฤกษ์บอก ทวิชขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ทำเรื่องท้าทายต่อกฎหมายอย่างไม่เกรงกลัว และในฐานะที่เป็นตำรวจเขาก็อดขัดใจไม่ได้ที่ไม่มีใครสามารถจับทวิชได้เลย “แล้วแกหวังจะได้อะไรจากงานนี้วะ”

“เขามีอิทธิพลมาก เรามาที่นี่วันนี้ อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่ามีใครต้องพึ่งพาอิทธิพลของเขาบ้าง ฉันได้ข่าวมาว่าเขามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือธุรกิจหลอกเอาเงินลงทุนที่เพิ่งถูกจับไป ในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน แล้วก็เรื่องฟอกเงินด้วย”

“นี่แกยังจะเล่นเรื่องแชร์นั่นอีกเหรอวะ มันอันตรายมากนะโว้ย แกก็รู้ว่าถ้าพวกนั้นไม่ใหญ่จริง ป่านนี้เราคงจับโมรีลูกสอสออิทธิพลในข้อหาร่วมกันฟอกเงินได้แล้ว นี่เธอยังลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตหรูหราอยู่เลย” รุจเตือนเพื่อนรัก ด้วยรู้ว่าอดีตนักข่าวอย่างพฤกษ์นั้น ชอบการเปิดโปงพวกหลอกลงทุนธุรกิจเป็นที่สุด นี่อาจเป็นเหตุให้เพื่อนของเขาต้องออกจากงาน จนผันตัวมาทำแฟนเพจข่าวและสร้างกลุ่มเกาะติดพวกหลอกลงทุนโดยไม่เปิดเผยตัวตน และเตือนภัยให้กับคนที่คิดจะเข้ามาสู่กลโกงของคนพวกนี้

“ฉันต้องกระชากหน้ากากคนที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจหลอกลวงคนให้ได้ ถึงเจ้าของจะถูกจับไปแล้ว พวกมันที่เหลือก็ยังลอยนวลอยู่ตั้งมาก โดยเฉพาะโมรี แม่นั่นยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของคนโกงอย่างไม่กลัวกฎหมาย ถ้าจะมีใครทำแบบนั้นได้ก็ต้องเป็นพวกตัวใหญ่อย่างทวิชเนี่ยแหละ ถ้าฉันไม่หาข้อมูลเพื่อเปิดโปงพวกนั้น ก็จะมีคนแบบพี่ฉันตกเป็นเหยื่อของพวกมันอีก” พฤกษ์กัดฟันกรอด ยิ่งนึกถึงหายนะอันเกิดขึ้นกับครอบครัวพี่ชาย ที่สูญเงินไปกับการถูกหลอกลงทุน สุดท้ายก็ต้องหนีไปบวชหวังใช้ธรรมะสงบจิตใจ เขายิ่งทนไม่ไหวที่เห็นคนพวกนั้นยังอยู่สุขสบาย กับเงินทองที่หลอกคนอื่นมา

“ฉันเข้าใจแกนะพฤกษ์” ผู้กองหนุ่มตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ แต่จากประสบการณ์ทำงาน เขาก็รู้ดีว่าพวกคนเหล่านี้นั้นใช่ว่าจะเอาผิดกันง่ายๆ ขนาดหาหลักฐานมัดตัวจนคิดว่าดิ้นไม่หลุดแล้ว สุดท้ายพวกมันก็มักจะหาทางรอดได้เสมอ เพราะไม่เช่นนั้นคนอย่างทวิชคงถูกจับไปตั้งแต่แชร์นางทับทิมล่มแล้ว

พฤกษ์ยืนนิ่งและกวาดสายตามองคนที่มางานอย่างละเอียด ท่ามกลางญาติมิตรที่โศกเศร้าอยู่นั้น มันจะมีบุคคลที่ห่างไกลกับคำว่าน่าชื่นชมอยู่กลุ่มหนึ่ง หลายคนในนั้นคืออาชญากรที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของทวิช ซึ่งอาจมาแสดงความเคารพผู้มีพระคุณครั้งสุดท้าย หรือไม่ก็กำลังหาแหล่งพึ่งพิงแห่งใหม่อยู่

แต่ท่ามกลางคนผู้ทำผิดกฎหมายเป็นอาจิณ การปรากฏตัวของหญิงสูงวัยคนหนึ่ง กลับทำให้พฤกษ์รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา

“นั่นมัน…”

เช่นเดียวกันกับคนที่มาด้วย เมื่อเห็นเศรษฐินีใจบุญยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คน เขาก็ร้องออกมาอย่างประหลาดใจ

“คุณมธุกร ประธานมูลนิธิโลกในฝันไม่ใช่เหรอ ทำไมมาอยู่ที่งานนี้ได้นะ” รุจเริ่มให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่ดูต่างกันมากๆ เมื่อมาอยู่ด้วยกัน มันมักจะมีบางอย่างแอบแฝงไว้เสมอ

“นั่นสิ แถมยังอยู่กับนายภมร สามีของโมรีด้วย แกว่า…สิ่งที่เราเห็นมันเริ่มจะน่าสนใจแล้วหรือยัง” พฤกษ์ให้ความสนใจกับมธุกรเป็นพิเศษ จนเขาเริ่มอยากรู้ว่าภายใต้ฉากหน้าบุคคลที่ชอบการกุศลอย่างเธอ แท้จริงแล้วมีอะไรแฝงอยู่กันแน่ โดยเฉพาะการสนิทสนมกับภมรลูกชายของนางทับทิม ผู้ที่อาจเกี่ยวข้องกับเจ้าของบริษัทหลอกลงทุนเหมือนกับเมียตัวเอง

“แกคิดว่าจะมีการฟอกเงินผ่านมูลนิธินั้นเหรอวะพฤกษ์”

“ก็นะ…แกก็รู้ว่ามันมีความเป็นไปได้” เขาตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับทรัพย์สินของสองผัวเมียที่ปกปิดเอาไว้ และสายสัมพันธ์บางอย่างระหว่างมูลนิธิกับแชร์ลูกโซ่ที่เขากำลังตามเรื่องอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้พฤกษ์ประหลาดใจที่สุดก็คือ ใบหน้าของหญิงสาวที่เขาเคยเห็น ซึ่งปรากฏอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มาร่วมไว้อาลัย และเขาจำได้เป็นอย่างดี

“ฉันรู้จักผู้หญิงคนนั้น” ชายหนุ่มชี้ไปยังหญิงสาวที่อยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ เขาไม่อาจลืมการเผชิญหน้ากันเมื่อครั้งก่อนได้ และการที่เธอมาปรากฏตัวที่งานศพของทวิช ในบุคลิกที่แตกต่างกว่าคราวที่แล้ว มันก็ทำให้พฤกษ์ยิ่งนึกแปลกใจ

“ไหน…” รุจมองไปตามที่เพื่อนชี้ และไปพบกับใบหน้าสวย ซึ่งกำลังยืนส่งแขกกลับ “ทำไมฉันไม่รู้สึกคุ้นหน้าเลยวะ”

“น่าจะเป็นลูกของทับทิมเจ้าแม่แชร์ลูกโซ่เมื่อสิบห้าปีก่อนน่ะ ฉันเคยเห็นเธอตรงวัดที่เก็บกระดูกนางทับทิมเอาไว้” พฤกษ์เลือกที่จะไม่เล่าเหตุการณ์ที่เธอทำลายที่เก็บกระดูกอย่างบ้าคลั่งไปด้วย

“เหรอ…ถ้าเป็นลูกของนางทับทิม ก็ต้องเป็นน้องของภมรสิ ไม่ยักจะจำได้ว่าหมอนั่นมีน้องสาวกับเขานะ”

“หมายความว่ายังไงวะ” ความสงสัยของร้อยตำรวจเอกรุจ จุดประกายความประหลาดใจในตาของพฤกษ์ขึ้นมาอีกครั้ง

“ถ้าแกตามเรื่องแชร์ลูกโซ่กับเมียไอ้ภมรอยู่ก็น่าจะรู้นะ ว่าหมอนั่นก็เป็นลูกของนางทับทิม แถมยังเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้องด้วย” ผู้กองหนุ่มพูดตามข้อมูลที่ตัวเองรู้ ถึงจะทำเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจหลอกลงทุนที่เพิ่งจับเจ้าของบริษัทไปนั้น มีหลายอย่างที่น่าสงสัย โดยเฉพาะการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินของโมรี ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครเอาผิดเธอได้

“จริงด้วย ทำไมเรื่องนั้นฉันถึงคิดไม่ออกวะ” คนที่เพิ่งจะนึกออกเริ่มฉุกคิด และสัญชาตญาณการหาข้อมูลก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ในหัวของเขาเต็มไปด้วยปริศนาที่ปะติดปะต่อทุกคนเข้าด้วยกัน แต่นั่นก็ยังขาดความเชื่อมโยงอยู่ดี

แล้วสายตาของพฤกษ์ก็จับจ้องไปที่หญิงสาวที่เขาเคยเจอ ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นมีบางอย่างที่มากกว่าความโศกเศร้า ท่าทีสำรวมของเธออาจมีความมืดมิดบางอย่างที่ซ่อนอยู่ และเขาก็สัมผัสได้ว่างานศพนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวที่ซับซ้อนกว่าที่คิด

“แกคิดจะทำอะไรวะพฤกษ์” รุจเริ่มสนใจดวงตาคมกล้าเป็นประกายของเพื่อนรัก ราวกับเขากำลังมีความมาดหมายในบางสิ่งอย่างแรงกล้า

“ฉันต้องไปคุยกับผู้หญิงคนนั้น” พฤกษ์ไม่รอช้าที่จะคลี่คลายคำถามในใจตัวเอง เขาเดินผ่านคลื่นความไว้อาลัยของคนในงาน อันอาจกลายเป็นงานศพแห่งความลับ และสิ่งซ่อนเร้นอย่างผิดกฎหมาย ไม่แน่ว่าในแต่ละก้าวที่เขาเข้าใกล้ตัวเธอมากขึ้นนั้น อาจนำไปสู่การคลี่คลายปมปริศนาในใจ และเปิดเผยความเชื่อมโยงที่เขาหาคำตอบอยู่ก็เป็นได้



Don`t copy text!