เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 11 : ความจริงของศพในรถ
โดย : จันทร์จร
เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co
ด้วยจิตใจที่ปั่นป่วนและหาทางออกไม่ได้ รู้ตัวอีกทีพฤกษ์ก็มายืนอยู่ที่บ้านของเรไร ขณะกำลังจ้องมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ตอนนี้ทุกอย่างที่อยู่ภายนอกของเธอเปลี่ยนไป อย่างแรกคือแววตาที่เฉียบคมราวกับกำลังอ่านใจเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ท่าทางที่แน่วแน่ ผิดกับผู้หญิงที่มีแต่ความซุกซนและสายตาขี้เล่นที่เขาเคยเจอลิบลับ ใบหน้าสวยสงบนิ่งราวกับภาพวาด แต่เป็นภาพของหญิงสาวที่มีแต่ไฟในใจ และเป็นคนที่มั่นใจว่าเขาไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน
“คุณเรย์ ผมมีบางอย่างต้องคุยกับคุณ”
“ในที่สุดคุณก็สืบเรื่องของฉันจนได้สินะคะ” เธอตอบอย่างรู้ทัน “แต่ฉันคิดว่ามีบางอย่างที่จะต้องให้คุณเห็น ก่อนที่จะตอบเรื่องที่คุณสงสัยค่ะ”
“ทำไม…” เขาเริ่มเสียงแข็ง
เรไรไม่พูดอะไร แม้จะถูกสายตาคมของชายหนุ่มจ้องอย่างหนัก แต่แทนที่จะตอบ เธอกลับเดินหันหลังเข้าบ้านเพื่อให้เขาเดินตามไป พฤกษ์รู้สึกทึ่งกับความใจเย็นของเธอ และยังคงระวังตัวเล็กน้อยเมื่อเดินตามหญิงสาวเข้าไปถึงห้องทำงาน
“ผมไม่มีเวลากับคุณมากนักนะ…”
เขาหยุดพูดเมื่อเจ้าของบ้านเริ่มเปิดไฟในห้อง และพฤกษ์ก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อมองเห็นภาพตรงหน้า ทั้งห้องเต็มไปด้วยภาพถ่าย แผนผังและการเชื่อมโยงทุกอย่างไว้ด้วยด้ายสีแดงเด่น ทุกอย่างถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันและเป็นระเบียบอยู่บนบอร์ดติดผนัง ขนาดของมันใหญ่มาก และเขาก็ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตัวเองเห็น ก่อนจะคิดออกว่านี่คือแผนการกระชากหน้ากากของมูลนิธิของหญิงสาวที่มีรายละเอียดซับซ้อน
“ทีแรกผมมาเพื่อจะถามคุณว่าทำไมคุณถึงอยู่กับทวิช น้องชายของคนที่โกงเงินแม่คุณ แต่นี่มัน…” เขามองดูสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวของเรไรอย่างไม่เชื่อสายตา
“ตอนนั้นฉันไม่มีทางเลือกค่ะ” เสียงของเรไรดังผ่านความเงียบของห้อง “ฉันมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง วันแล้ววันเล่าว่าแม่ของฉันจะต้องกลับมา แต่สุดท้ายแล้วแม่ก็ไม่เคยกลับมาหา จนมารู้ความจริงว่าแม่ตายไปแล้ว”
“ทำไมคุณถึงมั่นใจขนาดนั้น ในเมื่อคุณบอกว่าเธอหายตัวไป บางทีแม่ของคุณอาจอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้” ชายหนุ่มที่รู้สึกเห็นใจกับสิ่งที่เธอต้องเจอพยายามถาม
สีหน้าของเธอแสดงความเจ็บปวดออกมา นัยน์ตาฉายแววเศร้าก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์
“คงไม่มีใครที่ไหนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหรอกค่ะ ถ้าไม่ใช่ตัวเองต้องการเช่นนั้น หรือเว้นแต่มีคนไม่ต้องการให้คุณหาพบ ในส่วนของแม่ ฉันรู้ได้ด้วยตัวเองเพราะหลักฐานที่พวกเขาคิดไม่ถึงค่ะ” เธอกล่าวอย่างมีเลศนัย และปล่อยให้คำพูดของตัวเองค้างคาอยู่อย่างนั้น
“หมายความว่ายังไง”
“คุณรู้ไหมคะ ว่าทำไมเจ้าของแชร์ลูกโซ่อย่างนางทับทิมถึงตาย” เรไรเริ่มประเด็น ด้วยเสียงที่ทุ้มนุ่มและสงบเยือกเย็น
พฤกษ์ไม่สบอารมณ์นักที่คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบ และเขาไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้จะดำเนินไปถึงไหน ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกจะตอบเกี่ยวกับรายละเอียดที่รู้
“นางทับทิมเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนแรก…ทุกคนคิดว่าทับทิมได้หายตัวไปเพื่อหนีคดีแชร์ลูกโซ่ แต่หลายเดือนต่อจากนั้น ก็มีคนพบรถของเธออยู่ที่ก้นบึง ในนั้นมีโครงกระดูกที่สันนิษฐานว่าเป็นของนางทับทิม เพราะมีหลักฐานเป็นทะเบียนรถ กระเป๋าถือ บัตรประชาชน แล้วก็เศษของเสื้อผ้าเหมือนกับที่ใส่ในวันที่หายตัวไป”
“ถ้าโครงกระดูกที่พบไม่ใช่ของนางทับทิมล่ะ คุณเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างไหม” เรไรถามด้วยรอยยิ้มลึกลับ
“คุณจะบอกว่าอะไรกันแน่ คุณเรย์” พฤกษ์ขมวดคิ้ว ถึงจะคิดว่าตามสิ่งที่เธอพูดทัน แต่เขาก็ไม่อยากเดาเอาเอง
“ถ้าศพที่พบในรถคันนั้นไม่ใช่ของนางทับทิม แต่เป็นของแม่ฉันล่ะคะ”
“มัน…ไม่มีทางเป็นไปได้” เขาตกตะลึงกับสิ่งที่เธอบอกออกมา ทฤษฎีนี้ช่างเหลือเชื่อและเขาเองก็คิดไม่ถึง แต่เรไรกลับไม่มีทีท่าล้อเล่นกับเขาเลย
“ฉันอยากให้คุณลองดูนี่ค่ะ” เธอพูดพร้อมกับชี้ไปที่รูปภาพหนึ่งบนผนัง เป็นภาพข่าวเก่าของวันที่พบศพนางทับทิม และอีกภาพที่เป็นรูปสิ่งของที่เจออยู่กับศพ ซึ่งมีแหวนวงหนึ่งวางอยู่
“คุณหมายถึงแหวนวงนั้นน่ะเหรอ” พฤกษ์ไม่เห็นว่ามันจะพิเศษตรงไหน แต่พอมองไปที่เธอ ก็พบว่าสายตาของหญิงสาวไม่ได้ละไปจากรูปถ่ายเลย
“ใช่ค่ะสำหรับคุณมันคือแหวนธรรมดา” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ถ้าคุณจะพอสังเกตเห็นสิ่งที่ประดับอยู่บนแหวน มันคือโกเมนล้อมด้วยไพลิน แต่พวกเขาคิดว่ามันเป็นแหวนธรรมดาเลยไม่ได้ถอดมันออก”
“คุณจะบอกว่านั่นเป็นแหวนของแม่คุณใช่ไหม”
เรไรถอดสร้อยที่เธอสวมประจำออกมา ในสร้อยมีแหวนวงเล็กๆ ที่ดูคล้ายกับแหวนในภาพ
“ถ้าเป็นแหวนธรรมดาฉันคงไม่กล้ายืนยัน แต่แม่ฉันสั่งทำแหวนไว้สองวง วงในภาพคือของแม่เป็นโกเมนล้อมด้วยไพลิน แต่วงที่ทำให้ฉันเป็นไพลินล้อมด้วยโกเมน ที่สำคัญด้านในเราสลักตัวย่อของชื่อเราสองคนไว้ และนี่ก็คือแหวนที่ฉันได้จากเจดีย์เก็บกระดูกของนางทับทิม”
เรไรวางแหวนที่เธอเอามาพร้อมกับโกศวางไว้ที่โต๊ะ เคียงข้างแหวนวงเล็กของตัวเอง พฤกษ์หยิบขึ้นมาดูแล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นการเรียงตัวของอัญมณีเม็ดเล็กที่มีเอกลักษณ์ และเมื่อเธอหยิบรูปถ่ายอีกรูปหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นภาพของเธอถ่ายไว้กับแม่ในวันที่ได้แหวน เรไรชี้ไปที่มือของทั้งสองคน ซึ่งเป็นแหวนวงเดียวกันกับที่เจอในศพ
“เห็นแล้วใช่ไหมคะ ว่านั่นไม่ใช่แหวนของทับทิม แต่เป็นของแม่ฉัน และสุดท้ายอาวิชก็ยืนยันกับฉันเอง ว่าแม่ฉันได้ตายไปแล้วจริงๆ” เธอเอ่ยออกมาอย่างมั่นคง ไร้ซึ่งการขอความเห็นใจใดๆ
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อเขารู้ความหมายที่เรไรพยายามจะสื่อ พฤกษ์รู้สึกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของการถูกหลอกลวง การทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจมาตลอดสิบห้าปี รวมถึงสภาพจิตใจของหญิงสาวผู้ทนทุกข์กับการรอคอยที่ไม่มีวันมาถึง
“ทำไมคุณไม่ไปหาคนที่มีอำนาจให้ช่วยจัดการในเรื่องนี้” ชายหนุ่มพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เธอเพิ่งเปิดเผย มองเผินๆ นี่อาจเป็นการแก้แค้น แต่ลองดูลึกๆ แล้วเธอกำลังเดินหน้าสู้กับกลุ่มคนที่อันตรายที่สุด ไม่ต่างอะไรกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟเลย
เรไรมองตาเขา แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าลึกๆ และเกือบจะสิ้นหวัง
“ฉันอยู่กับอาวิชมานานค่ะ นานพอจะรู้ว่าพวกเขามีวิธีการมากมายที่จะบิดบังอำพรางความผิดของตัวเอง เบื้องหลังของคนพวกนี้คือผู้มีอำนาจที่สามารถกลับดำให้เป็นขาวได้อย่างไม่มีใครสงสัย และถ้าคนอย่างทับทิมสามารถแกล้งตายแล้วหนีไปได้ แล้วคนที่ตายไปอย่างแม่ฉันจะมีความหวังอะไรกับการเปิดโปงความจริง ที่แทบไม่เหลือหลักฐานอะไรที่จะสาวถึงตัวคนทำได้ล่ะคะ” เธอยอมรับอย่างหมดจด โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นสิ่งที่ทวิชทำมาตลอดสิบห้าปี มันยิ่งทำให้เธอรู้ว่าการเรียกร้องความยุติธรรมจะสำเร็จหรือไม่นั้น มันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนกุมอำนาจไว้ต่างหาก
“ผมเข้าใจคุณนะ แต่คุณรู้ได้ยังไงว่ามธุกรคือทับทิม” พฤกษ์สงสัย ในขณะที่เขากำลังเห็นอกเห็นใจเธอ เขาก็จำเป็นต้องรู้ความจริงที่พิสูจน์ได้ด้วยหลักฐาน
“หลังจากแชร์ถูกเปิดโปง ความตายของนางทับทิมก็ถูกจัดฉากขึ้น มันอาจเป็นความบังเอิญที่แม่ของฉันเข้าไปในช่วงเวลานั้นพอดี หลังจากนั้นนางทับทิมก็หลบหนีข้ามชายแดนไป โดยมีคนใหญ่คนโตในพื้นที่ช่วยเหลือ”
เธอเริ่มต้นเล่าและอธิบายอย่างช้าๆ แล้วชี้ไปยังภาพหลักฐานที่เธอติดไว้กับบอร์ด
“พอเปลี่ยนตัวตนเสร็จ นางทับทิมก็ทำศัลยกรรมหมดทั้งรูปร่างหน้าตา และกลับเข้าประเทศด้วยภาพลักษณ์ของนักธุรกิจจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มาทำการค้าขายตามชายแดน แล้วแต่งงานกับข้าราชการในพื้นที่ ใช้นามสกุลแล้วกลับมาเป็นพลเมืองในประเทศอีกครั้ง นั่นคือตัวตนใหม่ที่ชื่อมธุกรค่ะ ทุกอย่างถูกวางแผนเป็นอย่างดีด้วยคนในองค์กรเดียวกัน และทุกเส้นทางการเคลื่อนไหวก็ถูกกลบไว้ด้วยอำนาจของเงินกับอิทธิพลที่มี แต่ถึงพวกเขาจะซ่อนเร้นมันได้ดีแค่ไหน พวกเขาก็ยังต้องเก็บหลักฐานเอาไว้ เผื่อในวันหนึ่งอาจต้องใช้เพื่อตัวเอง”
สิ่งนี้เองที่ทำให้เรไรตามรอยจนพอหาหลักฐานบางอย่างมาเชื่อมต่อกันได้ การเข้ามาในองค์กรทำให้เธอได้รู้ว่าไม่มีใครที่ไว้ใจกันแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกคนต่างมีตจุดอ่อนของคนอื่นไว้เพื่อเป็นเครื่องต่อรองให้ตัวเองทั้งสิ้น และเป้าหมายของเธอก็คือการตามหาสิ่งเหล่านี้เพื่อเปิดเผยเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนี้ทั้งหมด
คนที่ได้รับฟังรู้สึกมึนงงไปหมด เขามองภาพการศัลยกรรมของมธุกร ซึ่งพอจะทำให้คำพูดของเธอดูมีน้ำหนักอยู่มาก แต่นั่นหมายถึงฉากหน้าของเศรษฐินีหม้ายใจบุญ แท้จริงแล้วคือการทรยศหลอกลวงคนทั้งประเทศ และมันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อน
พฤกษ์มองไปที่เรไร เขาเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของเธอ นับเป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงความทุกข์ทรมาน กับความอยุติธรรมที่เธอต้องเจอ ผู้หญิงคนนี้ถูกบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับการทรยศที่คิดไม่ถึง จากคนที่เธอควรจะไว้ใจมากที่สุดอย่างทวิช เธอแค่ต้องการแสวงหาความเป็นธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเธอเอง แต่เพื่อแม่ของเธอด้วย
ในช่วงเวลานี้เองที่ความรู้สึกของพฤกษ์ที่มีเกี่ยวกับเรไรเริ่มเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่ปริศนาที่เขาต้องไขให้เจออีกแล้ว แต่เธอเป็นผู้หญิงที่สมควรได้รับการเอาใจใส่และการสนับสนุน เพราะอย่างน้อยทั้งสองก็มีเป้าหมายเดียวกันคือการเปิดโปงคนพวกนั้นให้คนในสังคมได้เห็น
ไม่มีความลับไหนในโลกที่จะอยู่เป็นอมตะ สำหรับเรไรก็เช่นกัน ความลับของเธอเป็นเรื่องเงื่อนไขของเวลาเท่านั้น ซึ่งในที่สุดดลพรก็สามารถไขกุญแจไปเจอตัวตนของหญิงสาวจนได้ และก็ส่งต่อข้อมูลให้กับนายของตัวเอง ถึงความจริงหลังภาพที่ซื่อสัตย์ เก่งฉกาจและแสนดีของเรไร
พอรู้ความจริง มธุกรก็เดินทางมาที่บ้านของเรไรในวันที่อากาศไม่ได้เป็นใจนัก มวลความโกรธเคืองก่อตัวอยู่ภายในขณะมองดูบ้านที่เคยเป็นของทวิช ซึ่งมันน่าจะเป็นของเธอหรือภมรโดยชอบธรรม ความรู้สึกนี้มันเหมือนกำลังถูกหักหลัง ทั้งความประหลาดใจและความขุ่นเคืองปนเปกัน
พอแขกที่ไม่ได้รับเชิญก้าวเข้ามาถึงในตัวบ้าน เจ้าของบ้านอย่างเรไรก็ไม่ได้รู้สึกตกใจกับการมาของมธุกรโดยไม่บอกกล่าว ใบหน้าของหญิงสาวยังคงสงบนิ่ง แววตาที่เฉียบขาดบ่งบอกว่าเธอคาดหวังการเผชิญหน้านี้มาโดยตลอด
มธุกรถูกทิพย์พาเข้ามานั่งในห้องรับแขก สายตาของเธอมองไปที่การตกแต่งโดยรอบของบ้าน ซึ่งเป็นการผสานกันอย่างลงตัวระหว่างงานหัตถศิลป์ของไทย และความสง่างามจากของตกแต่งสมัยใหม่ อันเป็นเครื่องยืนยันถึงรสนิยมของเจ้าของบ้านคนเดิมอย่างทวิช และเป็นสิ่งเตือนใจถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดของเธอกับเขาด้วย
“ฉันเชื่อเสมอว่าวิชไม่มีอะไรปิดบังฉัน แต่ดูเหมือนมีสิ่งหนึ่งที่เขามองข้ามไปจนฉันไม่รู้อยู่สินะ” เสียงของมธุกรดังตัดกับความสงบเงียบของโถงรับแขก ขณะที่เธอกำลังนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับเจ้าของบ้าน
ท่าทางของหญิงสาวไม่มีความสะทกสะท้าน และยังเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
“บางทีนี่อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งเดียวของอาวิชก็ได้ค่ะ” เธอตอบอย่างราบเรียบขณะที่รินชาใส่ถ้วย แล้ววางให้กับมธุกร โดยคำพูดที่แฝงไปด้วยความหมายที่ซ่อนเร้น นั่นคือความท้าทายที่อยู่ภายใต้หน้ากากความงามสง่าของเรไร
บรรยากาศของโถงรับแขกเต็มไปด้วยความตึงเครียด ความเงียบปกคลุมภายใน ระหว่างที่มธุกรจับจ้องไปที่เรไร และถามเธอออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“เธอเป็นใครกันแน่เรไร”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว เธอซ่อนทั้งเงามืดและความเจ็บปวด ในขณะสบตามกับมธุกรและพูดออกมาว่า
“ฉันคือลูกของคนที่คุณฆ่าค่ะ”
คำพูดที่ฟังดูไม่มีที่มาที่ไปนั้นเปรียบเหมือนข้อกล่าวหาที่น่าเกลียด แต่ก็พอทำให้หญิงสูงวัยถอยหลังเล็กน้อย ความสยองขวัญระคนตกใจแฝงอยู่ในแววตา ขณะที่เธอเริ่มเข้าใจในสิ่งที่เรไรเปิดเผย ความลับที่ทวิชปกปิดมาช้านาน ว่าหญิงสาวคนนี้คือลูกของผู้หญิงที่เธอใช้ร่างเป็นศพ เพื่อปกปิดการหลบหนีของตัวเอง
“ระ…เรื่องจริงเหรอนี่”
“ไม่คิดว่าฉันจะมีตัวตนอยู่ใกล้กับคุณใช่ไหมล่ะคะ เรื่องนี้คงต้องขอบคุณความละอายต่อบาปของอาวิช ที่ทำให้ฉันได้รู้ความจริงอันโสมมของพวกคุณ” เธอกล่าวอย่างจริงจังและเจ็บแค้น
แต่สิ่งที่เรไรอาจคาดไม่ถึงก็คือ การปกป้องตัวเองของมธุกร ที่มองเธอด้วยสีหน้าอมทุกข์ และฉายแววของความสงสารออกมาทางสายตา ราวกับว่าได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้มาเป็นอย่างดีเช่นกัน
“เข้าใจผิดแล้วเรไร ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แม่ของเธอน่ะกระโดดลงน้ำต่อหน้าฉัน ตอนที่ฉันดึงร่างของเธอขึ้นมาได้ เธอก็…ไปแล้ว…”
น้ำเสียงของคนพูดขาดหายไป และตามมาด้วยการกลั้นสะอื้น คล้ายกับว่าตนเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ตอนนั้นฉันเสนอหนทางที่พอจะช่วยเธอกับลูกแล้ว ฉันพยายามแล้ว แต่แม่ของเธอก็ไม่คิดจะฟังฉันเลย เขาโดดลงไปด้วยความสิ้นหวัง ช่างน่าสงสารเหลือเกิน”
มธุกรกำลังอ้อนวอนขอให้เรไรเชื่อ เพราะคนที่เธอกลัวมากที่สุดว่าจะรู้ความจริง ก็คือลูกของผู้หญิงคนนั้น และมันน่าเจ็บใจที่ทวิชเก็บงำตัวตนของเด็กนั่นเอาไว้ใกล้ตัวเธอแค่นี้เอง
“ลองคิดดูสิ ถ้าเธอเป็นฉัน เธอก็คงต้องทำเหมือนกัน นั่นคือความจำเป็น…ฉันไม่มีทางเลือกอื่น”
“คิดว่าฉันจะเชื่ออย่างนั้นเหรอ” น้ำตาเอ่อเป็นประกายในดวงตาของหญิงสาว เสียงของเธอเบาจนแทบไม่ได้ยินตอนที่พูดออกมา
มธุกรขยับเข้ามาใกล้เรไร แววตาของหญิงสูงวัยเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เธอโผเข้ากอดหญิงสาว แล้วพูดกระซิบแนบเรือนผมดำขลับ
“เชื่อฉันเถอะเรไร ถ้าฉันรู้แต่แรกว่าเธอเป็นลูกของใคร ฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอให้โดดเดี่ยวเลย แล้วดูตอนนี้สิเธอเติบโตมาเป็นคนแข็งแกร่งและฉลาด ฉันน่าจะรู้แต่แรก ไม่ควรให้เธอจับต้นชนปลายเอาเองแบบนี้เลย ต่อจากนี้ไปไม่ว่าเธอจะต้องการอะไร ฉันจะอยู่ข้างเธอเสมอ เราจะเป็นเหมือนแม่กับลูก…แล้วฉันจะให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ” คำพูดที่ฟังดูจริงใจและปลอบประโลมนั้น ซ่อนคำโกหกที่ฝังแน่นอยู่ในคำสัญญาที่พ่นออกมาจากลมปาก บดบังความจริงด้วยคำหวานและอ้อนวอนขอการให้อภัย เพราะในโลกที่มีแต่ความลับนี้ สิ่งที่มธุกรรู้ดีที่สุดก็คือการสร้างคำลวงให้เหยื่อตายใจ แล้วตลบหลังในตอนท้าย
เรไรดึงตัวเองออกจากเงื้อมมือของมธุกร เธอถอยห่างออกมาในขณะที่ดวงหน้าแสดงรอยยิ้ม ซึ่งแทบไม่ได้ปกปิดความโกรธที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในได้
“ขอบคุณนะคะคุณมธุกร สำหรับคำสารภาพของคุณ แต่ให้ฉันบอกคุณดีกว่าว่าอะไรที่ฉันต้องการจริงๆ” เธอปาดน้ำตา และเปล่งเสียงคล้ายกับกำลังเย้ยหยันกับรอยยิ้มจอมปลอมของคนที่ฆ่าแม่เธอ “ฉันอยากเห็นคุณเจ็บปวด ทุรนทุรายกับหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามา และรับรู้ว่าสิ่งที่คุณมีนั้นกำลังสูญสลาย เช่นเดียวกันกับที่แม่และฉันต้องเจอ คุณจะต้องถูกถอดหน้ากากต่อหน้าทุกคน ต้องรับความจริงว่าคุณคือคนที่คดโกงพวกเขา และใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหนือความทุกข์ทนของคนที่คุณหลอกลวง”
มธุกรถอยหนีราวกับถูกตบหน้าด้วยคำพูดของหญิงสาว ดวงตาของเธอเบิกกว้างและตกใจกับความกล้าท้าทายของเรไร แต่ทันทีที่ความประหลาดใจหายไปมันก็แทนที่ด้วยความอำมหิตเย็นชา เพราะที่เรไรยังอยู่รอดมาถึงวินาทีนี้ ก็เพราะสิ่งที่ทวิชซ่อนเธอเอาไว้เท่านั้น
“อย่างนั้นเหรอ…” มธุกรกัดฟันกรอด “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอให้เธอพยายามให้ดีที่สุดนะเรไร แล้วเราจะมาดูกันว่าเธอจะทำให้ฉันใจสลายได้ไหม”
ด้วยคำพูดที่เหมือนจะเป็นการประกาศสงคราม หญิงสาวได้แต่จ้องหน้าแขกของบ้านเขม็ง ทั้งสองแทบไม่ละสายตาออกจากกัน ขณะที่มธุกรยืนขึ้นและหายออกไปจากบ้าน ปล่อยให้เรไรยืนมองด้วยความแค้นเคืองกับวาจาก้าวร้าวที่หวังให้เธอกลัว
มธุกรกลับไปแล้ว ทิพย์ก็เคลื่อนตัวเข้ามาในโถงรับแขกที่ยังคงมีพายุอารมณ์หลงเหลืออยู่ เธอเหลือบมองเรไรที่ยืนตัวแข็ง พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความกังวล นี่อาจเป็นอีกด้านของเรไรที่เธอเห็นไม่บ่อยนัก ดูแล้วดิบเถื่อน และมีความอาฆาตแค้นอย่างน่าสะพรึงกลัว
“ทำไมเราไม่กำจัดมธุกรไปเลย ในเมื่อมันรู้ความจริงแล้ว” ทิพย์ไม่เข้าใจนัก ในเมื่อมธุกรมาถึงที่แล้ว หากเรไรสั่งแค่คำเดียว เธอก็พร้อมที่จะปลิดชีวิตผู้หญิงคนนั้นแล้วแท้ๆ
“คงเป็นเหตุผลเดียวกับที่เรย์ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละทิพย์ เรายังมีของที่มธุกรอยากได้ ส่วนเรย์ก็ไม่อยากให้มันตายไวนัก ถ้าแค่จะกำจัดทิ้งน่ะมันง่ายเกินไป เรย์อยากให้ทุกอย่างที่มันมีถูกทำลายทิ้งอย่างย่อยยับ และมธุกรเนี่ยแหละที่จะทำให้เราสาวไปถึงพวกคนอื่นๆ ในมูลนิธิ จากนั้นเราจะค่อยๆ เปิดโปงพวกมันทีละคน” คนพูดกัดฟันแน่นด้วยความอาฆาตในใจ ซึ่งนับวันเธอยิ่งอยากให้มธุกรอยู่ดีน้อยลงทุกที
“เรย์…” ทิพย์เริ่มต้นอย่างระมัดระวัง ด้วยน้ำหนักของสถานการณ์มันยิ่งทำให้เธออดเป็นห่วงอีกคนไม่ได้ “ระวังตัวหน่อยนะ สิ่งที่กำลังจะทำน่ะ…มันอันตราย ตอนนี้เป้าหมายเราใหญ่กว่าแค่เปิดโปงมธุกรกับภมรแล้ว”
เรไรหันหน้าเข้าหาทิพย์ แววตาของเธอวาวโรจน์ดั่งมีเปลวไฟวูบไหวอยู่ในดวงตา นั่นคือเครื่องพิสูจน์ความโกรธที่กำลังแผดเผาตัวเธอ
“ตั้งแต่ได้รู้ความจริง เรย์ไม่เคยรู้จักชีวิตที่ไม่อันตรายเลยทิพย์” น้ำเสียงนั้นหนักแน่น นัยน์ตาสั่นไหวด้วยเปลวไฟลุกโชน “แต่วันนี้แหละ ที่เรย์จะเปิดหน้าสู้กับมัน ทุกคนจะต้องได้รู้ถึงเบื้องหลังเหมือนที่เรารู้และพยายามปิดตามองไม่เห็นมาโดยตลอด บางทีนี่อาจเป็นการไถ่บาปให้กับคนที่ต้องสูญเสีย แล้วก็คงเป็นทางเดียวที่เรย์จะทำเพื่อแม่ได้”
คำพูดของเรไรสะท้อนคำมั่นถึงการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง นั่นคือพายุเพลิงที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งและทุกคนที่มาขวางทาง
ในคืนนั้นเป็นคืนที่เงียบสงัด เงามืดยามราตรีแผ่ขยายปกคลุมท้องฟ้า มีเพียงความสว่างจากแสงดาว ส่องกระทบหลังคาบ้านทรงไทยประยุกต์ ในขณะที่เจ้าของบ้านยังหลับลึก จมอยู่กับความฝันอันสงบสุขไม่ต่างจากบรรยากาศภายนอก
ในเวลาที่คนเราหลับใหล เราไม่อาจสนใจกับอันตรายที่คืบคลานเข้ามา ซึ่งอาจทำให้ห้วงนิทราของเธอกลายเป็นความหายนะในไม่ช้า และเปลี่ยนค่ำคืนนี้เป็นความฝันที่แสนโหดร้าย ด้วยบทเพลงแห่งความชั่วช้าซึ่งกำลังประกาศถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
กริ่งสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังตัดผ่านความเงียบของค่ำคืน ทำให้เรไรที่หลับอยู่สะดุ้งตื่น ตามมาด้วยกลิ่นฉุนของควันที่ลอดประตูเข้ามาจากภายนอก เมื่อเปิดประตูห้องนอนออกมา เธอก็ได้พบกับภาพของเพลิงนรกลุกโชนไปทั่วผนังและเฟอร์นิเจอร์ กลืนกินทุกสิ่งกีดขวางอย่างหิวกระหาย บ้านที่เคยสวยงามตอนนี้กลายเป็นทะเลเพลิง ไอความร้อนที่แผ่ออกมานั้นรุนแรงและอันตรายถึงชีวิต
“ทิพย์!” เรไรตะโกนออกมาและไอขณะที่ตนเองสูดควันหนาทึบ หัวใจของเธอเต้นแรงอยู่ในอกด้วยความกลัวสุดขีด
“เรย์…เราต้องออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้!” ทิพย์ตะโกนกลับมาจากที่ไหนสักแห่งในทะเลเพลิง เสียงของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
“แต่โกศของแม่…” เรไรร้องไห้ออกมา ความคิดของเธอหวนนึกถึงซากแม่ที่เหลืออยู่ ขณะที่เปลวเพลิงกลืนกินทุกสิ่ง กลายเป็นความโกลาหลของการทำลายล้าง ห้องที่คุ้นเคยเปลี่ยนเป็นฉากฝันร้ายของไฟที่ลุกโชน
อากาศในบ้านมีแต่ควันหนาทึบ เรไรสำลักควันอย่างรุนแรง ทุกประสาทสัมผัสและการมองเห็นพร่ามัวจนทำอะไรไม่ถูก หัวใจเต้นแรงอย่างสิ้นหวังระหว่างที่กำลังค้นหาโกศของแม่ เธอลนลานท่ามกลางเพลิงที่แผดเผาบ้าน แม้จะมีเสียงเตือนจากทิพย์เธอก็ไม่สน ด้วยคงทนไม่ได้ที่จะทิ้งสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ของแม่ให้เปลวเพลิงเผาผลาญซ้ำอีก หญิงสาวอดทนต่อความร้อนระอุ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะหยิบสายสัมพันธ์สุดท้ายที่จับต้องได้ของเธอกับแม่คืนมา
พอฉวยโกศไว้ได้แล้ว เรไรก็หลงอยู่กลางทะเลเพลิงอย่างขวัญเสีย แต่ครู่เดียวทิพย์ก็ดึงแขนเธอไปทางประตูหลัง โดยมีเปลวเพลิงคำรามอยู่ด้านหลังของคนทั้งสอง ดั่งสัตว์ร้ายที่หมายจะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า สองหญิงสาวพุ่งตัวออกมาจากบ้านอย่างคนที่เกือบหมดเรี่ยวแรง ยังความร้อนระอุที่เท้าซึ่งไม่มีสิ่งปกคลุม
เรไรและทิพย์เฝ้ามองความสยดสยองขณะที่บ้านกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างหายไปหมดสิ้น ทั้งบ้านของพวกเธอ ข้าวของทั้งหมดรวมถึงอดีตที่ผ่านมา ตอนนี้ดวงตาของเรไรมีแต่ไฟแค้นที่ลุกโชน และหัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธ
“พวกนั้นจัดการเราเร็วกว่าที่คิดไว้อีก”
“คิดว่ามธุกรอยากฆ่าพวกเราไหม” ทิพย์ที่ยังรู้สึกไม่ค่อยดีนักพูดพร้อมกับไอไม่หยุด เนื่องจากสำลักควัน
“ไม่…มันแค่ขู่ การตายของเราเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น”
เสียงของเรไรดังก้องในความเงียบสงัดของค่ำคืน เป็นคำพูดเดียวท่ามกลางเสียงปะทุของไฟ มันชัดเจนสำหรับเธอแล้ว มธุกรได้ประกาศสงครามและเรไรก็พร้อมจะสู้ เปลวไฟที่เผาไหม้บ้านของทวิชไปนั้นเหมือนจะจุดอะไรบางอย่างในตัวของหญิงสาว รวมถึงความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะไม่มีวันหยุดจนกว่าสิ่งที่เธอต้องการจะสำเร็จ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 16 : นางทับทิม
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 15 : หายไปอีกหนึ่ง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 14 : ก่อนไวน์จะหมดขวด
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 13 : มูลนิธิโลกในฝัน
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 12 : ไฟไหม้
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 11 : ความจริงของศพในรถ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 10 : ของเก่าที่ถูกทำลาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 9 : งานในมูลนิธิ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 8 : หนึ่งหญิงสองชาย
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 7 : โฉมหน้าฆาตกร
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 6 : เป้าหมายแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 5 : ความจริงของหญิงสาว
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 4 : ผู้ปลดปล่อยความโกรธ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 3 : การเผชิญหน้าครั้งแรก
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 2 : ตามหาความจริง
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 1 : ที่งานศพ
- READ เหลี่ยมเล่ห์เรไร : บทนำ