โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 10 : เขาเป็นใครกันแน่ (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 10 : เขาเป็นใครกันแน่ (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เช้าของวันใหม่ยังไม่ทันก้าวเข้ามา แทนที่ดวงตะวันก็กลับกลายเป็นสวีสุ่ยเหอซึ่งแหวกฟ้าท้าฝนที่ยังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องเข้ามาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าบ้าน คนเจ็บถูกแบกขึ้นหลังผู้ช่วยคนสำคัญโดยมีมโนชากางร่มให้อย่างทุลักทุเล เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันทีทั้งที่ยังหมดสติ

มโนชาติดตามเขาขึ้นรถมาด้วยกันเผื่อแพทย์จะเรียกซักถามข้อมูลขึ้นมาจะได้ตอบได้ แต่กลายเป็นว่าเธอกลับโดนสอบอย่างละเอียดยิบจากผู้ช่วยส่วนตัวของเขาแทน

“ตอนแรกแผลก็ไม่แย่อย่างนี้หรอกค่ะ ไม่อย่างนั้นซินไม่ปล่อยจนถึงตอนนี้แน่นอน ทีแรกเลือดหยุดไปแล้วด้วยซ้ำแต่ไม่รู้ยังไงซินนอนไม่หลับก็เลยลงมาดูถึงได้พบว่าคุณเฉินไข้ขึ้น เช็ดตัวเอายาให้กินเสร็จซินก็โทรหาพี่สุ่ยเหอเลย”

“เป็นไปไม่ได้” เธอได้ยินเสียงเขาพึมพำแผ่วเบา เป็นคำเดียวกันกับที่เจ้านายเธอเปรยขึ้นมาเมื่อตอนเช้ามืดนี่เอง

“ก็เป็นไปแล้วนี่คะ” เอ่ยพลางหาวหวอด

เมื่อรู้ว่าเฉินเอินอยู่ในมือหมอและปลอดภัยแล้วความตื่นเต้นกดดันทุกอย่างก็หายวับไปด้วย กล้ามเนื้อที่ตึงเปรี๊ยะอยู่ก่อนหน้าของเธอเริ่มผ่อนคลาย สมองก็ชักจะเฉื่อยชา และใบหน้าก็เริ่มซึมเซาจากอาการเหนื่อยล้าและอดนอนมาทั้งคืน สวีสุ่ยเหอเห็นดังนั้นก็เลยปล่อยเธอเอนหัวพิงผนังนั่งหลับตาโดยไม่ได้รบกวนอีก

มโนชานอนหลับในท่าที่ไม่ได้สบายนัก แทนที่จะหลับสนิทก็กลับฝันไปวุ่นวาย ฝันถึงห้องสีขาวภายในโรงพยาบาล เห็นเตียงคนป่วยพร้อมกับเครื่องมือแพทย์และสายระโยงระยางเต็มไปหมด สายไฟทุกเส้น หน้ากากออกซิเจน สารน้ำที่ต่อเข้ากับร่างกาย ทุกอย่างล้วนหมายถึงชีวิต

คนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเมื่อขยับเข้าไปใกล้และจ้องมองให้ชัดเจน เธอถึงพบว่าคนคนนั้นก็คือเฉินเอิน

มโนชาบังเกิดความสับสนไม่แน่ใจว่าตนฝันหรืออะไร เธอกะพริบตาอีกครั้ง คราวนี้ภาพตรงหน้านั้นเปลี่ยนไป ที่แท้คนที่นอนอยู่บนเตียงกลับไม่ใช่เฉินเอินเจ้านายของเธอแต่คือหญิงชราซึ่งเป็นอาม่าของเธอต่างหาก

หญิงสาวเอื้อมมือออกมาอย่างเหม่อลอยเพื่อจะจับมือเหี่ยวย่นนั้น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อเสียงเครื่องตรวจวัดชีพจรร้องส่งสัญญาณ ครู่เดียวแพทย์และพยาบาลในชุดเครื่องแบบเลยกรูกันเข้ามาหมด และปฏิบัติการยื้อชีวิตก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับที่คนยืนมองเกิดอาการอกสั่นขวัญหาย

“อาม่า” มโนชารู้สึกว่างโหวงในท้อง ภาพของห้องผู้ป่วยรอบตัวดูพร่ามัวสับสนและสั่นไปมาคล้ายเกิดแผ่นดินไหว และจู่ๆ พื้นที่เท้าของเธอเหยียบอยู่ก็โคลงเคลงขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน

ครืด…ครืด…

นานติดกันอยู่หลายวินาทีกว่าเธอจะสำนึกได้ว่ามันเป็นเสียงสั่นของโทรศัพท์

มโนชาขมวดคิ้วมุ่น ลืมตาขึ้นมาอย่างจับต้นชนปลายไม่ได้

“พี่มน” เสียงแหบพร่าราวกับไม่ใช่เสียงของเธอกรอกลงไปในสายเมื่อพบว่าคนที่โทร.มาคือญาติสนิท หรือว่า…ขออย่าให้ใช่อย่างที่คิด ขออย่าให้ใช่อย่างที่คิด

“ซินอย่าเพิ่งตกใจ แม่ยังอยู่กับเรา เพียงแต่ว่าเมื่อคืนนี้หมอบอกว่าน้ำท่วมปอดก็เลยโคม่าหัวใจหยุดเต้นไปเกือบนาทีแต่ก็ยังเรียกกลับมาได้ พี่ไม่อยากให้ซินเป็นกังวลเลย เพียงแต่พี่น้องคนอื่นบอกว่าซินควรรับรู้ทุกอย่างเหมือนกันพี่ก็เลยโทรมา”

“แล้วตอนนี้อาม่าอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้างคะ”

เมื่อสอบถามโรงพยาบาลและหมายเลขห้องซึ่งคนไข้พักอยู่แล้วมโนชาก็ทิ้งตัวลงกับโซฟาอย่างหมดแรง ที่วันนั้นเธอฝันไม่ดี มันเป็นฝันบอกเหตุแท้ๆ นึกพร้อมกับที่ใจหายวาบ ร่างบางที่นั่งเซื่องซึมอยู่ถึงได้ผวาตัววิ่งทะยานไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่เฉินเอินน่าจะนอนอยู่ในนั้น แต่กลับพบเพียงเตียงที่ว่างเปล่า

“ย้ายไปห้องพิเศษแล้วค่ะ” เสียงพยาบาลบอกออกมาเมื่อเห็นเธอวิ่งหน้าตาตื่นผ่านเคาน์เตอร์ไป

หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

เดินลงไปยังห้องพิเศษด้วยความรู้สึกที่ทั้งมือและเท้าเบาหวิวเพราะอดนอน แต่อย่างน้อยคนหนึ่งในฝันนั้นก็อาการไม่ได้แย่ หญิงสาวถอนใจออกมาก่อนจะชะเง้อดูผ่านกระจกห้องพิเศษหมายเลขห้าศูนย์หนึ่งสองเข้าไปด้านใน

คนป่วยในชุดของโรงพยาบาลลุกขึ้นนั่งได้แล้ว แม้สีหน้าที่มองผ่านกระจกช่องเล็กจะดูซีดเซียว แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีสติ ผิดกับเมื่อตอนเช้ามืดที่ทุกคนพยายามเรียกแต่เขาก็ยังไม่รู้สึกตัวจนน่าเป็นห่วง

มือบางกำลังจะเคาะลงที่ประตูแต่ก็ชะงักค้างเมื่อพบว่าด้านในนอกจากสวีสุ่ยเหอแล้วยังมีคนอื่นอยู่ ผู้ชายคนนั้นมีสีผิวค่อนข้างคล้ำและตัดผมสั้นเกือบติดหนังศีรษะ รูปร่างสันทัดและเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ บางอย่างบอกเธอว่าเขาเป็นตำรวจ แต่เขาไม่ได้ใส่เครื่องแบบมา

ขณะลังเลอยู่ว่าจะเคาะไม่เคาะจะเข้าไม่เข้าไปดี ชายหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดคนไข้ก็หันมาเห็นเข้าพอดี เขาขยับตัวเล็กน้อยและทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มทักทายเธอผ่านกระจก คนอื่นถึงได้มองตามออกมาด้วย มโนชาจึงถือโอกาสนี้ผลักประตูห้องพิเศษเข้าไป

“ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้วต้องขอตัวก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ต้องเป็นห่วง ขอเพียงแต่คุณเฉินพักรักษาตัวให้หายและขอให้ทราบว่าผมจะรอโทรศัพท์อยู่ด้วยใจจดจ่อ”

ชายแปลกหน้าคนนั้นกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม เขาก้มหัวให้คนป่วย หันไปสบตาสวีสุ่ยเหอ ก่อนจะพยักหน้าทักทายเธอหนึ่งครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป เฉินเอินส่งภาษามือบอกให้สวีสุ่ยเหอตามออกไปส่งแขกด้วย ทั้งห้องตอนนี้ก็เลยเหลือเพียงเธอและเขาอยู่สองคนเท่านั้น

“ตำรวจที่คุณเฉินว่าไปเจอมาก่อนเกิดเรื่องคือคนนี้หรือคะ”

“ใช่” เขาตอบก่อนจะเอนหลังพิงศีรษะลงกับเตียงคนไข้ที่ถูกปรับไว้ในระดับที่เกือบจะตั้งตรงดูไม่น่าสบายเอาเสียเลย ที่มือของเขามีสายน้ำเกลือต่อเอาไว้และสีหน้าเขาดูอ่อนเพลียต่างจากปกติอยู่หลายส่วน

มโนชาเดินล่องลอยเข้ามาหยุดอยู่ตรงข้างเตียงแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร จะเริ่มตรงไหนก่อนดี จะถามอาการหรือจะถามเรื่องความคืบหน้าเรื่องคนร้าย ไหนจะปืนพวกนั้นอีก

“เมื่อคืนนี้ เธอได้นอนบ้างหรือเปล่าซิน”

แน่ละว่าเธอไม่ได้นอน นอกจากจะต้องมาเช็ดตัวเขาและเฝ้ารอดูอาการ รอสวีสุ่ยเหอ ไม่นับว่าที่นั่งสัปหงกหัวพิงข้างฝาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินที่แม้เวลาจะผ่านไปหลายชั่วโมงแต่เธอก็ไม่ได้หลับอย่างแท้จริงเพราะฝันวุ่นวายไปหมด ตื่นมายิ่งจะเหนื่อยไปกว่าเดิมอีก แต่ที่เธอตอบออกไปมีเพียง…

“นิดหน่อยค่ะ” มโนชาตอบสั้นก่อนจะเอ่ยเข้าเรื่องต่อไป ก่อนที่คนป่วยจะบอกให้เธอไปเยี่ยมอาม่าโดยที่ไม่ต้องเป็นห่วงทางเขา มโนชาเองก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะคิดหรือพูดอะไรได้อีก เธอได้แต่เพียงพยักหน้าและตอบคำถาม

เมื่อเขารู้ว่าอาม่าของเธออยู่ที่ไอซียูเขาก็จัดแจงให้เธอโทร.กลับไปถามเวลาเยี่ยมซึ่งจะไปได้อีกทีก็คือช่วงเย็น เฉินเอินรับปากจะให้สวีสุ่ยเหอไปส่ง มโนชาก็ยอมว่าตามเขา

“ถ้าอย่างนั้นก็นอนพักสักหน่อยก่อนเถอะ” เขาเอ่ยเบือนหน้าไปทางเตียงคนเฝ้าที่ด้านหนึ่ง “ตอนบ่าย เธอค่อยไปก็ยังไม่สาย”

มโนชาพยักหน้ารับคำพาร่างเดินลอยออกจากข้างเตียงคนป่วยไปหยุดตรงเตียงคนเฝ้าอย่างว่าง่าย

“ในตู้เย็นมีนมกับแซนด์วิช เธอกินเสียก่อนแล้วค่อยนอน”

หญิงสาวหันหัวเรือบ่ายหน้าตรงไปยังตู้เย็นและคว้าเจ้าของสองสิ่งที่เขาว่าติดมือมาด้วย คิดจะถามว่าเขากินหรือยังก็เผอิญหันไปเห็นถาดอาหารที่พร่องลงไปกว่าครึ่ง เธอถึงก้มหน้าก้มตากินไม่ปริปาก น้ำตาหยดหนึ่งร่วงแหมะลงมา

“อย่าเพิ่งคิดอะไรมากไปเลยมโนชา” เขาเอ่ยเรียกเธอด้วยชื่อจริง “ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยดี”

เขาอยากเอ่ยปลอบเธอด้วยถ้อยคำที่ดีกว่านี้แต่ไม่อาจทำได้ เกิดแก่เจ็บตายตามหลักพุทธศาสนาเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่จวงจื่อ (1) ยังกล่าวว่า ความเกิดและความตายแท้จริงนั้นไม่มี เป็นเพียงกระบวนการเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนของธรรมชาติ เช่นเดียวกับฤดูทั้งสี่ คนทั่วไปมักยินดีกับการเกิด แต่โศกเศร้ากับความตาย ซึ่งความจริงแล้วเกิดกับตายมีค่าเท่ากัน แต่การจะเรียนรู้เข้าใจในสิ่งนี้นั้นไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆ จะซึมซับได้ กระทั่งเขาเองก็ยังทำไม่ได้

เฉินเอินระบายลมหายใจออกมา เมื่อเห็นเธอกินตามที่บอกจนหมดก่อนจะล้มตัวลงนอนเขาก็ไม่ได้ว่ายังไงอีก ร่างสูงบนเตียงเบือนใบหน้าซีดเซียวออกไปทางด้านนอกซึ่งตอนนี้แสงตะวันของเวลาสายได้ฉาบฉายเข้ามา มันสะท้อนเส้นผมและดวงตาสีดำสนิทที่ฉายแววเศร้าปนครุ่นคิด

มโนชาลืมตานอนมองเขา เจ็บหนักอยู่แบบนี้ทว่ารอบกายไม่เห็นมีครอบครัวอยู่เลยสักคนเดียว มีแค่เธอและสวีสุ่ยเหอซึ่งต่างเป็นลูกจ้างของเขาเพียงเท่านั้น อ้อ…ยังมีตำรวจอีกคน…

บางทีคนเราอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ชีวิตเขาที่เธอเคยมองว่ายิ่งใหญ่สง่างาม มีเงินมากมายและก็คงมีอำนาจพอดูแท้จริงแล้วดูช่างโดดเดี่ยว เบื้องหลังของเขาเป็นยังไงเธอไม่เคยรู้ ชีวิตก่อนหน้าก่อนจะมาทำโรงน้ำชา เพราะเหตุใดถึงทำเอาคนอย่างเขาระหกระเหินจากบ้านเกิดเมืองนอนมา ความสงสัยมากมายทยอยเข้ามาพร้อมกับดวงตาที่ค่อยๆ หรี่ลงด้วยความอ่อนล้าก่อนที่จะปิดลงสนิทดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราในที่สุด

มโนชาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลาบ่ายสามโมงเพราะเสียงสั่นของโทรศัพท์ มือบางเอื้อมออกไปข้างตัวโดยอัตโนมัติ แต่มันไม่ใช่ของเธอ เฉินเอินยกมือของเขาที่มีโทรศัพท์อยู่โบกขึ้นในอากาศแล้วทำท่าให้เธอนอนต่อ มโนชาเอนตัวลงก่อนจะหันหลังให้กับเตียงคนป่วย แม้ตาจะหลับแต่เธอไม่ได้หลับจริงเพราะหูยังคงทำงานอยู่

“ฉันไม่เป็นไร อย่าร้องเลยเหมยซี” เขาเอ่ยกระซิบ “ซินเองก็ปลอดภัยดีไม่ต้องเป็นห่วง ได้…เข้าใจแล้ว…แล้วพบกัน…” แล้วห้องทั้งห้องก็กลับมาถูกครอบครองโดยความเงียบอีกครั้งเธอถึงได้ยินเสียงทอดถอนใจอย่างชัดเจน มโนชาพลิกตัวกลับมา ดวงตากลมมีประกายแวววาวสดใสเพราะนอนหลับเต็มอิ่มหันไปมองเขา

เฉินเอินตะแคงคอมองด้วยท่าทีรอคอยเพราะดูเหมือนว่าเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาเพราะเล่นจ้องเอาๆ อยู่เป็นนาน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เอ่ยปากจนเขาเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง

“หลับดีไหม”

“ดีค่ะ คุณเฉินไม่ได้นอนเลยหรือคะ”

“หลับไปครู่หนึ่งเหมือนกัน เธอตื่นก็ดีแล้ว สวีสุ่ยเหอรออยู่ที่ร้านกาแฟด้านล่าง เธอลงไปหาอะไรรองท้องก่อนค่อยไปเยี่ยมอาม่าเข้าใจไหม” มโนชาพยักหน้า “แล้วคืนนี้ฉันก็อยากให้เธอกลับมานอนที่นี่ บ้านหลังนั้นอย่าเพิ่งกลับไปเพราะฉันยังไม่ไว้ใจ ไม่รู้ว่าตำรวจจัดการไปถึงไหนสถานการณ์เป็นอย่างไร”

“ซินเข้าใจค่ะ แต่ว่า…แล้วทางนี้ล่ะคะ” ถามอย่างเป็นห่วง

“เผื่อเธอจะลืมว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาล มีคนเดินเข้าออกตลอดเวลาและกล้องวงจรปิดก็มีอยู่ทั่วทุกมุม” เป็นอีกครั้งที่เธอไม่อาจปฏิเสธเขาได้

 

สวีสุ่ยเหอปรากฏตัวเป็นครั้งที่สองของวันพร้อมกับพาหนะคันใหม่ซึ่งดูกะทัดรัดกว่าและดูหรูหราน้อยกว่าคันเดิมเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดูดีเกินค่ามาตรฐานของคนทั่วไปไม่น้อย เธอเดาเอาว่าเพราะเรื่องเมื่อวานจึงทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนรถ

มโนชามาถึงโรงพยาบาลก่อนหน้าเวลาเยี่ยมเล็กน้อย พี่มนและบรรดาพี่ๆ น้องๆ ผลัดเปลี่ยนกันมาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะนอกจากจำกัดเวลาเยี่ยมยังจำกัดจำนวนคนเยี่ยมด้วย เธอมีโอกาสเดินเข้าไปและอยู่ดูอาม่าแค่ไม่กี่นาทีก็ต้องกลับออกมา

“แม่พ้นขีดอันตรายแล้วซิน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ทางนี้พวกพี่ก็ช่วยกันดูอยู่ เจ้านายของซินเท่าที่พี่ฟังก็ดูเป็นคนดี ซินกลับไปตั้งใจทำงานไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เรื่องอะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด พี่ว่าแม่รับรู้ว่าลูกหลานทุกคนรักและเป็นห่วง เพราะฉะนั้นไปทำงานให้สบายใจ”

มโนชาน้ำตาหยดลงมา มือบางล้วงลงไปในกระเป๋าหยิบซองบรรจุเงินปึกหนึ่งออกมายัดใส่มือของญาติผู้พี่ก่อนจะทนไม่ไหวร้องไห้ออกมาจนอีกฝ่ายต้องดึงตัวมากอดปลอบ

ก่อนจะจากมาเธอหันหน้ากลับไปมองยังห้องไอซียูอีกครั้ง สูดหายใจเข้าอย่างเรียกกำลังใจแล้วจึงหันหลังเดินจากมาด้วยใจที่หนักแน่นขึ้น

 

เป็นเวลากว่าสามวันที่เฉินเอินนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล สีหน้าเขาเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเลือดฝาดที่ค่อยๆ กลับมาทีละนิด เธอใช้เวลาส่วนมากที่นี่และส่วนน้อยไปเยี่ยมอาม่าที่อีกโรงพยาบาล

ในที่สุดวันที่สี่หลังจากเข้ากรุงเทพฯ มาเฉินเอินก็ประกาศว่าหมอให้เขาออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว มโนชานึกถึงของที่ทิ้งไว้ที่บ้านพวกนั้น ทั้งปืนทั้งเสื้อเปื้อนเลือดที่เธอยังไม่ทันจะได้จัดการ และเธอก็มีของที่อยากจะได้เอาติดตัวไปโรงน้ำชาด้วยอีกหลายอย่าง

“ไปสิ ห้าโมงตรงก็เจอกันที่นี่ แล้วเราจะกลับโรงน้ำชากัน…ได้ไหม…” ปลายประโยคเขาทอดเสียงเป็นเชิงถามกึ่งขอร้องกึ่งไม่แน่ใจ เฉินเอินรู้ตัวเหมือนกันว่าที่ผ่านมาตัวเองช่างจัดแจงเสร็จสรรพขนาดไหน ยังดีที่มโนชาซึ่งปกติช่างถามมากช่างสงสัยไม่ได้ต่อต้านอะไร

มโนชาปฏิเสธว่าจะกลับบ้านไปเก็บของเองถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมตาม เจ้านายของเธอยืนกรานให้เธอมีเพื่อนไปด้วยโดยอ้างเรื่องความปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังชี้ให้เห็นสิ่งที่เธอลืมไปคือปืนสองกระบอกนั่น ลำพังแค่ตัวเธอจะจัดการกับมันยังไงก็ยังไม่รู้ ดังนั้นแล้วจึงต้องเป็นสวีสุ่ยเหอ

มโนชาใช้เวลาเก็บข้าวของไม่นานมาก ก็แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดและของใช้จำเป็นไม่กี่อย่าง ก่อนจะวกเข้าไปหอบถุงดำที่บรรจุเสื้อเปื้อนเลือดของเฉินเอินตัวเมื่อคืนติดมือออกมาด้วย

“คุณเฉินเลือดออกเยอะขนาดนี้เลยหรือ” มือหนานั้นคว้าเสื้อขึ้นมาจ้องดูพลางขมวดคิ้ว เธอแอบเห็นว่าบนหลังมือของสวีสุ่ยเหอมีแผลเป็นแต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเพราะความสนใจอยู่ที่เรื่องอื่น

“เลือดออกเยอะมากจริงๆ ค่ะ ตอนแรกที่เจอนึกว่าจะแย่แล้วเสียอีก แต่ตอนซินเปิดแผลดูมันก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น แต่ก็นั่นแหละซินไม่ใช่หมอ เสื้อตัวนี้คุณเฉินให้ทิ้งไป แล้วก็ปืนสองกระบอกนี่…” ด้วยความหวาดกลัวปนรังเกียจ มโนชาค่อยๆ ใช้เท้าเลื่อนกล่องที่ใส่ปืนคนร้ายที่แอบไว้ออกมาจากใต้โต๊ะกลางตัวเล็กตรงโซฟา

“เดี๋ยวพี่จัดการเอง ถ้าซินเสร็จแล้วอย่างนั้นเราไปกันเถอะ”

กลับมาถึงโรงพยาบาล คนไข้ก็นั่งรออยู่บนเตียงโดยที่สายน้ำเกลือถูกถอดออกเหลือเพียงขวดเปล่าแขวนอยู่กับเสาโลหะ เฉินเอินใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตที่ถูกรีดจนเรียบกริบกับกางเกงสแล็กสีดำ ที่ดูๆ ไปก็คล้ายชุดนักศึกษาอยู่เหมือนกัน

ดวงตาของเขากำลังจับจ้องจอโทรทัศน์ซึ่งฉายข่าวเรื่องกลุ่มทุนจีนที่กำลังตกเป็นประเด็นเพราะถูกขุดคุ้ยความผิดขึ้นมา เรียกว่ายิ่งสาวไปก็ยิ่งเจอความผิดที่หมกเม็ดเอาไว้ยาวเป็นหางว่าวและตำรวจกำลังอยู่ในขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐาน

และหากมองไม่ผิด ที่ผ่านสายตาไปแวบหนึ่งในขณะนักข่าวกำลังสัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าของคดีกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถัดไปด้านหลังคนใหญ่คนโตราวกับไม่ใช่คนสำคัญแต่เธอกลับคิดว่าคงอยู่เบื้องหลังการสืบสวนสอบสวนนี้ด้วยคือบุคคลที่เธอเห็นมาปรากฏตัวอยู่ข้างเตียงคนป่วยในช่วงสายของเช้าวันนั้น

ถูกที่ว่าเขาเป็นตำรวจ แต่ตำรวจกับเถ้าแก่โรงน้ำชามาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง หรือบางทีคุณเฉินอาจจะชี้เบาะแสของกลุ่มทุนจีนนั้นได้ ความเกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งฝั่งตำรวจและผู้ร้ายทั้งฝั่งไทยและฝั่งจีนมันเกินจะคาดเดาได้ ไหนจะภาทิศอีก แต่จนข่าวจบก็ไม่ได้มีรายงานถึงผู้ร้ายสองคนที่ถูกยิงแต่อย่างใด เป็นไปได้ว่าอาจหนีไปได้ หรือบางทีก็อาจถูกจับอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้เป็นข่าวเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากซึ่งจะโยงมาถึงตัวบุคคลที่นี่

มโนชาหันไปมองเขาอย่างพิจารณาเลือกที่จะไม่โพล่งถามออกมา แต่ใช่ว่าจะไม่สงสัย

สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายหลังซุ้มประตูอันโอ่อ่าและกลิ่นหอมของน้ำชาไม่แน่ว่าถูกหรือผิดกฎหมาย

เฉินเอินคนนี้ แท้จริงแล้วเขาเป็นใครกันแน่

 

เชิงอรรถ : 

(1) จวงจื่อ ปรมาจารย์ฝ่ายเต๋า ลำดับถัดมาจากเล่าจื่อ



Don`t copy text!