โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 16 : ความจริงที่เผยออกมา (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 16 : ความจริงที่เผยออกมา (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นเทือกเขาในมณฑลยูนนาน ทอดตัวยาวมีรูปร่างคดเคี้ยวคล้ายมังกรและถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี ปลายเดือนมีนาคมแบบนี้หิมะยิ่งหนาฟู อากาศบนที่สูงซึ่งเยียบเย็นอยู่แล้วก็เลยยิ่งเย็นยะเยือกขึ้นไปอีก

ด้านล่างตรงทางขึ้นมีหุบเขาเล็กๆ เรียกกันว่าหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน สายน้ำที่ไหลวนอยู่ในบริเวณนั้นรินไหลลดหลั่นกันมาผ่านแอ่งเล็กๆ หลายชั้นกระทั่งทอดตัวรวมกันเป็นทะเลสาบสีเขียวสดใส น้ำที่ไหลลงมานี้เกิดจากการละลายของหิมะของภูเขามังกรหยกเบื้องบน ว่ากันว่าเมื่อมองพระจันทร์ซึ่งสะท้อนกับผืนน้ำนี้ในเวลากลางคืนจะเห็นพระจันทร์กลมโตดวงนั้นเป็นสีน้ำเงิน

การจะขึ้นมาบนนี้หลายคนมากับทัวร์ ส่วนที่นั่งรถส่วนตัวมามีจำนวนน้อยคงเพราะไม่ใช่คนพื้นที่ ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องเอารถมาจอดรวมกันที่ลานจอดรถด้านล่างก่อนจะขึ้นรถบัสของหน่วยบริการขึ้นไปด้านบนพร้อมกับคนอื่นๆ อยู่ดี เป็นการป้องกันไม่ให้ธรรมชาติถูกทำลายจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนขึ้น

พอลงจากรถมโนชาก็ได้รับกระป๋องออกซิเจนที่ไกด์สองสามีภรรยาคู่ข้าวใหม่ปลามันเตรียมไว้ให้พร้อมทั้งกำชับกำชาว่าให้เดินขึ้นช้าๆ อย่าเดินเร็วจนเกินไปนักร่างกายจะปรับตัวไม่ทัน

แต่ผลปรากฏว่าคนที่ออกอาการคนแรกทั้งที่ยังไม่ได้ขึ้นกระเช้ากลับกลายเป็นคนที่เอ่ยเตือนนั่นแหละ เซี่ยเหมยซีเนื่องจากเหนื่อยจากงานแต่งงานเลยทำให้ร่างกายสู้สภาพการเปลี่ยนแปลงพวกนี้ไม่ค่อยจะไหว

“นั่งรออยู่ที่ร้านอาหารด้านล่างดีกว่า หากเธออยากมาพี่จะพามาอีก”

“พี่เหมยซีเชื่อพี่ต้าชานเถอะค่ะ คนเยอะแยะพอขึ้นกระเช้าก็เดินตามๆ เขาไปก็ได้ คุณเฉินก็ยังอยู่ทั้งคนซินไม่ได้ไปคนเดียวเสียหน่อย” ปลายประโยคมโนชาหันไปหาเขาซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังจมดิ่งอยู่กับความคิดตัวเอง เธอต้องเรียกซ้ำอีกครั้งเฉินเอินถึงรับคำ โดยที่มโนชาไม่รู้เลยว่ากำแพงที่หย่อนลงของเขาเมื่อวานนี้ วันนี้ปราการนั้นกลับมากางกั้นตัวเองอีกครั้ง ปราการน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลายเช่นเดียวกับหิมะบนภูเขามังกรหยก

 

เมื่อตกลงกันได้ดังนั้น เซี่ยเหมยซีและเสิ่นต้าชานจึงขอไปรออยู่ที่ร้านอาหารด้านล่าง ส่วนอีกสองคนก็ต่อแถวเตรียมตัวขึ้นกระเช้า เขากระชับเสื้อกันหนาวให้เธอ ขยับผ้าพันคอให้และดูจนแน่ใจว่าจะอบอุ่นพอ ครู่เดียวมือหนาก็ล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาวแล้วหยิบช็อกโกแลตโฮมเมดซึ่งบรรจุอยู่ในกระป๋องพลาสติกซีลด้วยฝาอะลูมิเนียมขึ้นมา

“อันนี้ที่ซื้อมาเมื่อวานนี้นี่คะ” มโนชาจำได้ เขารับคำเบาๆ ในลำคอก่อนจะดึงห่วงเปิดฝาอะลูมิเนียมออก มือเขากำลังเปิดแต่ตาเขาไม่ได้ดูเพราะเขากำลังใช้มันมองดูเธออยู่ แววตานั้นเหมือนมีแววอะไรบางอย่างคล้ายความลังเลไม่แน่ใจ มีอาการคล้ายต้องการจะหยั่งเชิงอะไรบางอย่าง

มโนชามองเขาตอบด้วยความสงสัย คิ้วเรียวขมวดมุ่น ต่อเมื่อเขาก้มลงดูมือตัวเองเธอถึงมองบ้าง แล้วก็ต้องเบิกตากว้างและอุทานอย่างตกใจเพราะฝากระป๋องอะลูมิเนียมนั้นมันฝังตัวบาดลึกลงบนผิวเนื้อของเขาระหว่างกึ่งกลางนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือ พลันเลือดสีแดงสดก็หยาดหยดลงมา

“เลือดออกแล้ว ทำไมเปิดไม่ดูมือเลยคะ เอามาทำไมช็อกโกแลตกระป๋องเนี่ย แบบแท่งเมื่อวานซินก็ซื้อมา รู้อย่างนี้น่าจะเอามาด้วย เจ็บไหมคะ” มโนชาพล่ามออกไปอย่างร้อนรนด้วยความเป็นห่วง เธอล้วงหาและคว้าเอาผ้าผูกผมผืนเล็กที่ยังไม่ได้ใช้เจอที่ซอกมุมหนึ่งของกระเป๋าแล้วใช้มันกดห้ามเลือดให้เขา

“กลับลงไปทำแผลกันไหมคะ มันลึกอยู่เหมือนกันนะคะ ไปเจออากาศเย็นเข้ามันจะเจ็บกว่าเดิมหรือเปล่า”

“เจ็บก็ดีเหมือนกันจะได้เตือนสติว่าแม้จะมีเลือดเนื้อ แต่อย่างไรก็ไม่เหมือนคนอื่นเขา”

“คุณเฉินเป็นอะไรคะ หรือว่าเพราะเสียใจเรื่องพี่เหมยซีแต่งงาน” มโนชาเริ่มเสียงสั่นด้วยความโมโหปนไม่เข้าใจ น้ำเสียงที่เขาเอ่ยเหมือนจะตัดพ้อใครหรืออะไรสักอย่าง ไม่ได้สนใจเลือดสีแดงที่กำลังซึมออกมาจากบาดแผลเลยสักนิด

ในตอนนี้ บรรดาอาอี๋ที่ยืนรอคิวขึ้นกระเช้ากันอยู่ด้านหน้าก็หันมาสังเกตเห็นและเริ่มพ่นภาษาจีนใส่ด้วยความเป็นห่วง หลายคนควานหายาหาปลาสเตอร์เป็นการวุ่นวาย

ชายหนุ่มก้มหัวขอบคุณและตอบออกไปว่าไม่เป็นไร เขาหยิบผ้าจากมือเธอมากดเอาไว้ก็พอดีถึงคิวที่จะต้องขึ้นกระเช้าแล้ว ทุกคนเลยถูกเบนความสนใจและรีบพาตัวเองขึ้นไปยังพาหนะซึ่งจะนำไปสู่จุดหมายบนยอดเขาสูง

“กินช็อกโกแลตนั่นเสียสิ อย่าให้ฉันเสียเลือดไปเปล่า แบ่งบรรดาคุณป้าด้วยอุตส่าห์พากันเป็นห่วง” ประโยคนี้เขาพูดมันออกมาด้วยภาษาไทยก่อนจะใช้สายตามองไปยังลูกทัวร์คนอื่นๆ ในกระเช้าเดียวกัน

“ใครจะไปกินลงล่ะคะ” ถึงปากจะว่าอย่างนั้นแต่มือของเธอกลับหยิบมันเข้าปากก่อนจะเอาชิ้นหนึ่งป้อนเขาด้วย เป็นครั้งแรกของวันที่เฉินเอินนึกขันขึ้นมา ขณะที่คนหนึ่งกำลังทุกข์ร้อนแต่อีกคนเรื่องกินยังคงเป็นเรื่องสำคัญเสมอ

บรรดาอาอี๋เมื่อได้ช็อกโกแลตเข้าไปก็ยิ่งเอ็นดูสองหนุ่มสาว จัดท่าจัดทางถ่ายรูปให้เป็นการใหญ่ เฉินเอินไม่สนุกเสียแล้ว ทั้งที่บรรยากาศสวยงามและคนข้างกายก็เป็นความงามความสดใสที่ฉาบฉายผ่านเข้ามาในชีวิต

แต่มันก็คงชั่วครู่ชั่วยาม เธอคงเป็นเพียงแค่แสงแดดที่จะให้ความอบอุ่นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นขณะที่เขาต้องติดอยู่ท่ามกลางความมืดมิดและราตรีอันยาวนานนี้ชั่วนิจนิรันดร์

 

เมื่อลงกระเช้า ทางที่ขึ้นไปด้านบนเป็นสะพานไม้ทอดตัวยาวไปยังผาหินรูปร่างแปลกตาขนาดมหึมา และคนอย่างมโนชาที่มักไม่เคยให้ความสำคัญกับจุดหมาย เมื่อเห็นอะไรน่าสนใจระหว่างทางก็หยุดดู เธอมักจะเพลิดเพลินกับช่วงเวลาตรงหน้า สองเท้านั้นก็เลยกระโดดโลดเต้นไม่ได้ระวังก่อนจะล้มจ้ำลงไป

“ไปต่อกันเถอะค่ะ” เธอยิ้มเขินก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น นึกเกรงใจเขาที่ต้องมาหยุดรอเธอเล่นอยู่อย่างนี้ เขาไม่มีอารมณ์จะเล่นเธอรู้ดีแต่เขาก็ไม่ได้ขัด เฉินเอินเห็นดังนั้นถึงได้ยื่นมือออกมาเพื่อให้เธอจับเป็นหลักยึด มโนชาส่ายหน้าปฏิเสธ

“มือเจ็บอยู่นี่คะ”

“ไม่เจ็บแล้ว” เขาไม่ฟังคำทัดทานและอาการปัดป้องของเธอ ชายหนุ่มใช้มือข้างที่เจ็บนั่นเองจับมือของเธอก่อนจะออกแรงดึงมโนชาขึ้นมา คนที่เพิ่งจะตั้งหลักได้ห่วงก็ห่วงโมโหก็โมโห เธอต่อว่าเขาออกไปหลายคำก่อนจะรีบเปิดผ้าที่พันไว้เพื่อดูบาดแผล

แต่ว่ามันไม่มี บาดแผลนั้นหายไป รอยขีดข่วนแม้แต่น้อยก็ไม่มี

มโนชาคิดว่าตัวเองจำผิด เธอดึงมือเขาอีกข้างขึ้นมาดูและพบว่ามันว่างเปล่าปราศจากบาดแผล เธอมองหน้าเขาอีกครั้งด้วยท่าทีไม่เข้าใจ เขาเองก็มองเธออยู่ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย แม้สีหน้าจะไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ทว่าแววตากลับฉายแววหม่นหมอง

“ก็บอกว่ามันไม่เจ็บแล้ว มันหายแล้ว เหมือนวันนั้นที่โดนยิง บาดแผลพวกนี้มันหายเร็วเหมือนปาฏิหาริย์เลยใช่ไหมซิน”

มโนชาสับสน เธอก้าวไปด้านหลังหนึ่งก้าว พยายามคิดทบทวนในตอนที่เขาโดนฝากระป๋องช็อกโกแลตบาด เธอก้มลงดูผ้าในมือ ใช่…มันมีรอยเลือดอยู่ เลือดของเขา เหมือนอย่างรอยเลือดบนเสื้อสีขาววันนั้นวันที่เขาถูกยิง แล้วมันก็หายราวปาฏิหาริย์ แต่ไม่สิ…เขาเกือบตายเพราะแผลของเขาติดเชื้อไม่ใช่หรือไง

ใช่…แต่หลังจากนั้นล่ะ หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้เห็นมันอีก แผลเขาหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีอาการเจ็บ ไม่กี่วันถัดมาที่เขาพบกับตำรวจและเด็กคนนั้นเธอยังเห็นเขาชงชาอยู่เลย

“ซิน…ซิน…” เขาเรียกเธออีกครั้ง “…มโนชา…”

“อะไรคะ…” คนถูกเรียกกะพริบตาอย่างงงๆ ไม่เข้าใจ เธอรู้สึกว่าใบหน้าชาและมือเท้าก็ชาไปหมด สมองก็เบลอเพราะร่างกายกำลังเผชิญภาวะขาดออกซิเจน

“หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ หายใจ” มือหนานั้นนำกระป๋องออกซิเจนขึ้นมาจ่อปากและจมูกก่อนจะกดพ่นให้เธอสูดหายใจ “เหมือนปรัชญาหมากล้อมที่เราคุยกันวันนั้น ตั้งสติดูลมหายใจ”

มโนชาทำตามที่เขาว่า เสียงเขาเหมือนแว่วมาจากที่ไกล ล่องลอยเหมือนกับละอองปลิวของหิมะ แต่ก็ชัดเจนและคุ้นหูเหลือเกินในความรู้สึก มือเรียวจับแขนเขาเอาไว้แน่นอย่างไม่มีสาเหตุ รู้เพียงแต่ว่าความรู้สึกอะไรบางอย่างกำลังบอกเธอว่าเขาจะออกห่าง เขาจะหายไปถ้าเธอไม้คว้าเขาเอาไว้

“กลับลงไปกันดีกว่า เดินไหวไหม ฉันคิดอะไรของฉันกันถึงมาบอกกับเธอที่นี่” เขาบ่นตัวเองอย่างหัวเสียก่อนจะให้เธอขึ้นหลังและแบกลงมายังกระเช้า คนสองสามคนเข้ามาดู มีบางคนที่เกิดอาการเอเอ็มเอสและก็ต้องการการปฐมพยาบาลเช่นกัน

“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามเมื่อกลับลงมา มโนชาหน้าซีดและมีเม็ดเหงื่อผุดพรายตามไรผม เธอดูสิ้นเรียวแรงจากการพยายามที่จะไขว่คว้าเอาอากาศเข้าปอด ถึงอย่างนั้นมือบางก็ยังกำแขนของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

เธอดึงมือเขาอีกครั้งและสำรวจมันทั้งสองข้าง และผลก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม

“มีคำอธิบายไหมคะ”

“มีแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ตอนที่เธอยังไม่พร้อม ฉันผิดเองที่เลือกเวลาและสถานที่ไม่ดีเอาเสียเลย ครุ่นคิดตั้งแต่เมื่อคืนจนเช้าวันนี้ กระทั่งตอนอยู่ในรถ คิดวนเวียนเรื่องตัวเองและเรื่องที่จะบอกกับเธอยังไงและเธอจะเชื่อไหม และมันจะเกิดอะไรต่อไป…”

“ซินต้องการรู้ตอนนี้ค่ะ”

เฉินเอินคิดว่าเขาเป็นคนดื้อ เขารู้ตัวดี สิ่งที่เขาทำไม่ว่าใครก็คัดค้านไม่ได้ ผ่านมานานแค่ไหนนิสัยนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน แต่ในเวลานี้เขาต้องยอมรับว่าเขาคงต้องยอมแพ้ให้กับมโนชา

“ถ้าฉันบอกว่ายังไม่เล่าล่ะ” ดวงตายาวรีหรี่ลงเป็นเชิงเตือนแต่มันช่างไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง

มโนชาไม่มีสมองจะคิดอะไรแล้วทั้งนั้นในตอนนี้ แค่จะหายใจยังลำบาก เธอจะไปมีวิจารณญาณคิดว่าอะไรเป็นอะไรได้ยังไง ฐานะเจ้านายลูกน้องหรือ เธอโยนมันทิ้งไปตั้งแต่ออกมาจากเมืองไทยแล้ว

“ซินก็ยังยืนยันคำเดิม” มโนชาเอ่ยช้าและเน้นย้ำทุกคำ ทั้งยังอดท้าทายราวกับเด็กเอาแต่ใจไม่ได้ แววตาของเธอคุกรุ่นวาวโรจน์และความอดทนต่อความสงสัยของเธอก็สิ้นสุดลงแล้วในวันนี้ “ก็ลองพาซินลงไปสิคะ พยายามแบกซินขึ้นหลังอีก ลองดูว่าจะเป็นยังไง”

สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ ไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องมาทรมานร่างกายเธออีก มือหนาถอดเสื้อโคตออกและนำมันมาห่อหุ้มตัวเธอเอาไว้อีกชั้น เขาขยับเข้าไปใกล้และให้มโนชาใช้ไหล่เขาพิงศีรษะก่อนจะเอ่ยเล่า

“แผลของฉันหายเร็วกว่าคนปกติอย่างที่เธอได้เห็นแล้ว” เขาเริ่มเรื่องราวแบบนี้

“หลายอย่างที่โรงน้ำชาเชื่อว่าเธอเองก็คงสงสัย ฉันเคยคิดจะบอกเธอมาแล้วหลายครั้ง เพียงแต่ไม่รู้สิ ฉันเอาแต่บอกตัวเองว่ายังหาโอกาสไม่ได้ ดังนั้นฉันเลยไม่ได้บอกออกไป”

มีเพียงความเงียบท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิวและฝ้าอากาศที่ปะทะเข้ากับหน้ากากของกระป๋องออกซิเจนเมื่อเขากดลงที่ขวดสเปรย์ ไหล่ของเขาสัมผัสถึงน้ำหนักของศีรษะและร่างกายเธอที่เอนพิงอยู่ มือบางที่จับแขนยังคงกำแน่นไม่ยอมปล่อย

“เธอจำเรื่องโฮ่วอี้และน้ำอมฤตวันนั้นที่เราคุยกันได้ไหมซิน” เขาเริ่มต้นอีกครั้ง “น้ำอมฤตที่คนดื่มแล้วจะเป็นอมตะไม่มีวันตาย” มโนชาขมวดคิ้วใช้สมองอันเชื่องช้าพยายามประมวลผลข้อความที่ไม่เกี่ยวข้องนี้ออกมาแต่ก็ยังขบคิดไม่เข้าใจ

เฉินเอินจ้องมองเธอครู่ใหญ่ด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันคิดว่าฉันได้บังเอิญดื่มน้ำนั้นเข้าไป”

มโนชาลดหน้ากากออกซิเจนลง เธอหันไปมองเขาเพื่อจะจ้องดูชัดๆ ว่าเขากำลังล้อเล่นอะไร แต่แล้วก็พบคำตอบว่านี่คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แววตาของเขาไม่มีแววล้อเล่น และสีหน้าเขาก็ไม่ได้บอกว่าเป็นอย่างนั้นเลย

“ซินขอฟังต่อค่ะ” เธอเอ่ยอย่างพยายามไม่ตัดสินอะไร เขาเพียงพยักหน้าและใช้แขนข้างที่ว่างเลื่อนหน้ากากออกซิเจนกลับให้เธอใหม่ มโนชาจับไว้โดยดีและหายใจเอาอากาศเข้าไปอีกเฮือก

“ฉันอยู่มานานมากซิน นานจริงๆ เป็นเฉินเอินที่หากว่าไม่มีอุบัติเหตุร้ายแรงหรือโดนยิงเหมือนอย่างในวันนั้น ฉันก็จะไม่มีวันตาย” คำว่าตายสำหรับทุกคนมันดูน่ากลัว แต่สำหรับเขาคำว่าไม่มีวันตายกลับร้ายยิ่งกว่า

“หมายถึงเป็นอมตะหรือคะ” มโนชาขมวดคิ้ว “ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

“เป็นคำถามที่ดี” เขาเอ่ย “ฉันไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่ในทีแรก ฉันเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น กระทั่งเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น พอรู้ตัวอีกที ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่มีวันตาย”

“คุณเกิดเมื่อไหร่คะ” เธอเปลี่ยนคำถาม เชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นไปได้หรือไม่ได้ คำพวกนี้ไม่มีในหัว เธอแค่ถามในสิ่งที่สงสัย คำถามเฉพาะหน้าที่ตัดปัจจัยความเป็นไปได้ทุกอย่างทิ้งไป และพยายามโฟกัสกับสิ่งที่เขาเอ่ยเล่าเท่านั้น

“นานมาแล้ว ในตอนที่ฉันเกิดจีนได้เสียแผ่นดินตอนเหนือไปและย้ายเมืองหลวงมายังเมืองหลินอันแล้ว” ชื่อเมืองนั้นเลือนรางอยู่ในหัว ตอนหลินอันเป็นเมืองหลวงคือยุคไหนกันแน่

มโนชาสติเลื่อนลอยออกไปทุกที ภาพสีขาวของหิมะตรงหน้าหนาตาและพร่าเบลอลงเรื่อยๆ หิมะยังคงตกไม่หยุด มันร่วงหล่นจากฟากฟ้าสีขุ่นมัวลงไปยังพื้นสีขาวสีเดียวกัน เธอรู้สึกหนาวยะเยือกอยู่ข้างในทว่าก็กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวคนข้างๆ เช่นเดียวกัน

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหิมะก็ยังตกอยู่อย่างนั้นอยู่ดี



Don`t copy text!