โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 16 : ความจริงที่เผยออกมา (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 16 : ความจริงที่เผยออกมา (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงงงวย ตอนนี้เธอนอนอยู่ที่ไหนสักที่ เมื่อเพ่งดูดีๆ ถึงได้เห็นฝ้าเพดานสีครีมอ่อนและมีไม้สีเข้มพาดเป็นคานซึ่งคุ้นว่าเป็นบ้านของเสิ่นต้าชาน เสียงกระซิบกระซาบของคนคุยกันแว่วมาเพียงแผ่วเบาจากด้านนอกพอจะเดาได้ว่าเป็นเสียงของใคร

“ตอนแรกเหมยซีคิดว่าคุณเฉินจะยังไม่บอกเรื่องความเป็นอมตะนี้ ยังมีเรื่องน้ำชาที่น้องซินต้องรู้อีกนะคะ แต่หากจะรับสองเรื่องพร้อมกันเหมยซีคิดว่าบางทีมันจะมากไป ยังมีเรื่องที่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่ออีก แค่เรื่องเดียวก็ยากจะเชื่อแล้ว”

“จะมากจะน้อยอย่างไรก็ต้องรู้ ฉันเองก็รับมือไม่ถูก ที่ผ่านมารอบตัวเรามีแต่คนรับน้ำชา ฉันไม่เคยต้องอธิบายหรือรับมือกับเรื่องแบบนี้มาก่อน ไม่รู้เลยว่าควรบอกยังไง ยิ่งเห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่าควรบอกตอนไหนเพราะเลือกสถานการณ์ได้ไม่เหมาะเอาเสียเลย…” น้ำเสียงของเขาดูหนักอึ้ง

มโนชาเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาและสันกรามที่ขบขึ้นด้วยความตึงเครียด เธอเหม่อมองดูเขาอยู่อย่างนั้นนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองคงเป็นลมหมดสติไป ครู่เดียวเขาก็เบนหน้ามาทางห้องที่เธอนอนอยู่ ตาสบตา

“ซิน…รู้สึกตัวแล้วหรือ”

นาทีถัดมาเธอก็เห็นร่างบางคุ้นตาของเซี่ยเหมยซีที่เมื่อครู่ถูกผนังห้องบดบังไว้รุดเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงด้วยความเป็นห่วง มือบางที่เริ่มมีริ้วรอยนั้นเอื้อมออกมาจับมือเธอและส่งยิ้มมาให้

“พอกันเลยเนอะเรา ก่อนขึ้นไปพี่เป็นลม ส่วนตอนลงมาก็น้องซินเป็นลม”

เฉินเอินเดินตามเซี่ยเหมยซีเข้ามา สองเท้านั้นพาร่างสูงมาหยุดอยู่ข้างเตียง มโนชาเลยค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งโดยมีเซี่ยเหมยซีช่วยให้ได้เอนตัวพิงผนังหัวเตียงอย่างสบาย เขามองดูเธอซึ่งยังคงมีสีหน้าซีดเซียวไม่หาย กว่าหญิงสาวจะยอมปล่อยแขนของเขากระทั่งพาเธอออกมาได้ก็ทุลักทุเลอยู่เอาการ

“เป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยถามออกมา ริมฝีปากยิ้มแต่ดวงตากลับไร้ประกาย

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้สึกเพลียนิดหน่อย ซินกลับมายังไงคะทำไมจำอะไรไม่ได้เลย” คำถามนั้นทำเอาเซี่ยเหมยซียิ้มออกมามองไปยังร่างสูงที่ยังคงยืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเพราะรู้ว่าเฉินเอินเป็นคนแบกมโนชากลับลงมา

“ขอสาวๆ คุยกันได้ไหมคะ” เจ้าสาวหมาดๆ หันไปเอ่ยกับผู้ชายคนเดียวในห้อง เขาพยักหน้าตกลง

“เมื่อกี้คุณเฉินกับพี่เหมยซีคุยกันเรื่องซินหรือเปล่าคะ” เด็กน้อยของเซี่ยเหมยซียังคงเป็นคนตรงเหมือนเดิม ดวงตาใสแจ๋วตอนนี้มีความดื้อดึงฉายอยู่ด้วยวาววับเป็นสัญญาณว่าจะไม่ถอยจนกว่าจะได้ฟัง

“ใช่จ้ะ ในเมื่อคุณเฉินตัดสินใจจะบอกพี่ก็จะบอก เพียงแต่ว่าเรื่องราวที่จะเล่านี่มันอาจจะเชื่อได้ยากไปสักหน่อย ซินลองคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมากับลองดูต่อไปข้างหน้า อย่าเพิ่งคัดค้านหรือต่อต้าน แล้วซินจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เชื่อได้ยากเลย”

มโนชาล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อแขนยาวที่ใส่อยู่ก่อนจะหยิบผ้าผูกผมผืนเล็กของเธอออกมา รอยเลือดยังคงอยู่ มือบางส่งมันให้เซี่ยเหมยซีซึ่งก็รับมาดูด้วยความสงสัย

“เลือดบนนั้นเป็นของคุณเฉินค่ะ บังเอิญคุณเฉินเปิดกระป๋องช็อกโกแลตแล้วบาดมือเข้า แต่ซินก็ได้เห็นเมื่อตอนอยู่ด้านบนว่าแผลของเขามันหายไปแล้วอย่างกับเล่นมายากล”

เซี่ยเหมยซียังคงฟังอย่างเงียบๆ มือบางวางผืนผ้าลงบนโต๊ะข้างเตียง

“เขาบอกว่าแผลของเขาหายเร็วมาก ซินได้เห็นมาแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาถูกยิง คุณเฉินว่าเขาเป็นอมตะไม่มีวันตาย”

“แล้วซินเชื่อไหมจ๊ะ” เสียงนั้นมีแววปลอบประโลมราวกับปลอบเด็ก

“มันยากจะเชื่อแต่ซินไม่อยากตัดสินอะไร จริงอยู่ว่าตัวของคุณเฉินนั้นลึกลับราวปริศนา เรื่องราวเกี่ยวกับเขาซินไม่เคยรู้เลยแต่ก็เลือกจะไม่ถามเพราะคิดว่าวันหนึ่งก็คงจะรู้เอง เพียงแต่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะกลายมาเป็นแบบนี้”

“แล้วมีเรื่องอะไรอีกไหมที่ซินอยากจะรู้”

“ซินสงสัยหลายอย่างค่ะ จนเมื่อครู่ที่ซินได้ยินพี่เหมยซีกับคุณเฉินคุยกันเรื่องน้ำชา…” มโนชากะพริบตาพยายามนึกถึงถ้อยคำที่ได้ฟังและนำมาปะติดปะต่อกับเรื่องราวที่สงสัย

“น้ำชาความทรงจำ” เซี่ยเหมยซีเอ่ยต่อไป “ซินอยากฟังไหม อยากให้พี่เป็นคนเล่าหรืออยากฟังจากปากคนที่รังสรรค์ชานั้นด้วยตัวเอง”

“พี่เหมยซีเล่าเถอะค่ะ เพราะซินอยากฟังตอนนี้เลย”

“น้ำชาความทรงจำ จะเรียกว่ายังไงดี คือเรื่องก่อนหน้านี้พี่ก็ไม่รู้แน่ชัด เอาเป็นว่าพี่จะเล่าเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตัวพี่ก็แล้วกัน เรื่องของพี่มันเริ่มเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนในตอนที่พี่อยู่เซี่ยงไฮ้…”

มโนชาฟังข้อความนั้น เธอเพิ่งจะฟื้นจากการหมดสติ ปฏิกิริยาตอบสนองกับเรื่องที่ได้ฟังนี้เลยเป็นไปอย่างเลื่อนลอยและสมองก็ไตร่ตรองเรื่องราวได้อย่างเชื่องช้าเต็มที ถึงอย่างนั้นเซี่ยเหมยซีก็ไม่ได้หยุดเล่า

ดวงตาของหญิงสาววัยสี่สิบเอ็ดปีลุกโพลงโชติช่วงด้วยความทรงจำที่ไม่ยอมล้างมันออกไป เธอข้ามฉากอันแสนเจ็บปวดแต่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าน้ำชานี้ทำงานยังไงและพาเธอมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง เล่าเรื่องคนรอบตัวที่ต่างผ่านเรื่องราวเลวร้ายและน้ำชาก็สามารถช่วยคนเอาไว้ได้อย่างไร เล่าถึงเงื่อนไขซึ่งบุคคลหนึ่งจะรับได้เพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต พอเล่าจบมโนชาก็โยนหนึ่งคำถามมาให้

“แล้วตัวคุณเฉินที่เป็นคนชงชาด้วยตัวเอง เขาเคยได้รับน้ำชานี้ด้วยหรือเปล่าคะ”

ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ชั้นล่างวางถ้วยชาลงกับโต๊ะไม้ ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับสั่นไหว เขาได้ฟังเรื่องราวที่เซี่ยเหมยซีเล่ามาโดยจนตลอด ไม่รู้ว่ามโนชาเชื่อหรือเปล่าเพราะเรื่องที่เล่านั้นมันดูราวกับเป็นเทพนิยายปรัมปรา เป็นตำนานอภินิหาร ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้คัดค้านหรือขัดอะไรออกมา เธอเพียงฟังและถามในสิ่งที่สงสัย

คำถามนั้น ‘เขาเคยได้รับชานี้มาก่อนหรือเปล่า’

เซี่ยเหมยซีไม่ได้ตอบ คนที่เล่าเรื่องราวมาพักใหญ่หยุดลงอย่างครุ่นคิดและเอนตัวพิงลงกับพนักพิงของเก้าอี้ข้างเตียงนอน

ลมหอบหนึ่งพัดโชยผ่านหน้าต่างเข้ามาม้วนเอากลิ่นหอมของดอกไม้ด้านนอกเข้ามาด้วย มโนชาทอดสายตาออกไปภายนอกหน้าต่างนั้นนึกถึงท่าทีของเฉินเอินที่ผ่านมา

ดวงตาเหงาเศร้ากับท่าทางเหมือนแบกโลก เขาย่อมต้องผ่านเรื่องราวมานับไม่ถ้วนหากเขามีชีวิตที่เป็นอมตะจริงอย่างที่ว่า ผู้คนที่เขาพบเจอล้วนแต่ประสบเรื่องราวเลวร้ายมา เขาคงต้องฟังเรื่องราวเหล่านี้ อยู่ใกล้ชิดกับคนเหล่านี้ ซึมซับเอาความเศร้าเสียใจและสุดท้ายก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของมันอย่างไม่รู้ตัว

มโนชามีคำตอบอยู่แล้วในใจ หากชาความทรงจำที่ว่านี้มีอยู่จริง เฉินเอินคนนี้…ย่อมไม่เคยใช้น้ำชานี้กับตัวเองอย่างแน่นอน

 



Don`t copy text!