โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 4 : ซินที่แปลว่าหัวใจ (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 4 : ซินที่แปลว่าหัวใจ (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เพราะมโนชาไม่มีรถ หลังจากตอบพ่อบ้านจางไปว่าพร้อมเริ่มงานได้ทันทีหญิงสาวก็กลับบ้านมาจัดกระเป๋าเดินทาง กำหนดการคือวันมะรืนนี้ สำหรับเธอที่ไม่มีภาระอะไรก็คงมีอยู่เรื่องเดียวคือต้องไปบอกอาม่าว่าจำเป็นต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดสักพัก

มือบางหยิบกรอบรูปซึ่งถ่ายคู่กันกับหญิงชราในวันรับปริญญาขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มปนเศร้า ครู่เดียวเท่านั้นก็กลับมาฮึกเหิมใหม่อีกครั้ง ตัดใจไปทำสิ่งที่ต้องทำ เก็บของเสร็จเร็วหน่อยก็จะได้อยู่กับอาม่านานขึ้นหน่อย

อาม่าของมโนชาเป็นหญิงชราวัยเกือบแปดสิบ หากว่าสองคนที่รักกันกลับไม่ใช่สายเลือดเดียวกันโดยแท้เพราะมโนชาเป็นญาติทางสามีของอาม่าซึ่งเป็นคนไทย ส่วนอาม่าก็เป็นคนจีนแต่เกิดในเมืองไทย บรรพบุรุษของอาม่าอพยพลงมาจากเฉาโจวเช่นเดียวกันกับชาวจีนโพ้นทะเลอีกหลายแสนหลายล้านชีวิต

เพราะพ่อแม่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้และญาติใกล้ชิดไม่มีใครที่พอจะเป็นที่พึ่งได้ สุดท้ายมโนชาก็จับพลัดจับผลูมาอยู่กับตาเล็กและอาม่าซึ่งบรรดาลูกๆ ต่างเติบโตกันหมดและอยู่ในวัยทำงานกันหมดแล้ว มโนชาซึ่งเป็นเด็กเพียงคนเดียวในบ้านเลยกลายเป็นความสดใสเป็นความชุ่มฉ่ำใจให้กับหญิงชราซึ่งอยู่บ้านตัวคนเดียวในตอนนั้นเพราะทุกคนต้องไปทำงานกัน

แม้ตาเล็กและอาม่าจะเป็นเพียงชนชั้นกลางไม่ร่ำรวยแต่มโนชาก็ถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ยิ่งเวลาผ่านชีวิตความเป็นอยู่ก็เริ่มดีขึ้นเพราะลูกๆ บ้านนี้การงานก็เริ่มมั่นคงก้าวหน้า ถึงขนาดที่ว่ามโนชามีโอกาสไปเรียนต่อภาษาที่เมืองจีนจนจบรับปริญญา

 

สองเท้าพาเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านเดี่ยวในโครงการหมู่บ้านจัดสรรซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งของเมือง หากไม่มีธุระอะไรมโนชามักจะมาที่นี่ในวันเสาร์หรืออาทิตย์

“พี่มน…ซินต้องไปทำงานต่างจังหวัดสักพักนะคะเลยแวะมาเยี่ยมมาอยู่กับอาม่าสักหน่อย พี่มนมีธุระต้องออกไปไหนไหมซินจะดูอาม่าให้ เดี๋ยวดึกๆ ซินค่อยกลับบ้าน” บ้านที่ว่าก็คือบ้านหลังเก่าของตาเล็กและอาม่าที่เธอเคยเติบโตมาทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังเก่าที่ถูกไฟไหม้

ตาเล็กจากไปได้สามปีแล้ว อาม่าก็เลยย้ายออกมาอยู่กับลูกสาวและลูกเขยเพื่อความสะดวก ส่วนมโนชาซึ่งเรียนจบกลับมาจากจีนก็อยู่ที่บ้านหลังเดิมเพราะว่าใกล้ที่ทำงาน เมื่อปีที่แล้วนี่เองที่เกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดขึ้น อาม่าหกล้มในห้องน้ำและก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราตั้งแต่ตอนนั้น

“พี่ว่าจะออกไปซื้อของไม่นานเดี๋ยวก็คงจะกลับ นี่ซิน…พี่บอกตั้งหลายครั้งว่าไม่ต้องให้แล้วนะเงินน่ะ พี่ไม่เดือดร้อนอะไร” เอ่ยพร้อมกับยัดซองซึ่งบรรจุเงินจำนวนหนึ่งคืนใส่มือของมโนชา น้องสาวซึ่งนับได้ว่าเป็นญาติห่างๆ คนนี้เพิ่งจะทำงานได้ไม่นานแต่ก็ยังอุตส่าห์แบ่งเงินเอามาให้ทุกเดือนทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้เพราะไม่มีใครบังคับ

“ซินไม่ต้องใช้อะไรค่ะ งานใหม่กินก็ฟรีอยู่ก็ฟรี ซินอยากช่วยค่าใช้จ่ายของอาม่าบ้าง ถ้าพี่มนไม่โอเคก็ถือว่าเป็นค่าเช่าบ้านก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่เอาก็แสดงว่าเห็นซินเป็นคนนอก ซินจะโกรธจริงๆ เบื่อแล้วต้องมาเถียงกับพี่มนทุกเดือนเนี่ย” บ่นไปก็ยู่ปากเบ้หน้าไปจนคนฟังอดยกมือขึ้นมาตีแขนไม่ได้

“เอ๊ะ เดี๋ยวเถอะ ตัวเองไม่อยากได้กระเป๋ารองเท้ายี่ห้อดีๆ แบบคนอื่นเขาใช้กันบ้างหรือไง เอาเงินมาให้ทางนี้หมด” คร้านจะเถียงมากเข้าก็เลยต้องรับเอาซองกลับมาด้วยท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ซินรวย” เป็นประโยคที่น่าหมั่นไส้กระทั่งต้องจบการสนทนาด้วยความเอือมระอาปนเหนื่อยใจ จนต่อเมื่อคล้อยหลังเจ้าของบ้าน มโนชาก็ต้องมานั่งหัวเราะตัวเองว่าขี้โม้ชะมัด ‘รวยอะไรก่อน รวยอะไร เอาอะไรมารวย’

หญิงสาวเดินไปมาในครัวราวกับเป็นบ้านตัวเอง ค้นหาอะไรกินครู่เดียวก็กลับมานั่งข้างเตียงอาม่า มือบางจับมืออันเหี่ยวย่นผอมแห้งของหญิงชราซึ่งนอนหลับตาพริ้มราวกับจมอยู่ในห้วงนิทราอันแสนสุข

ใบหน้าอ่อนเยาว์ของมโนชาแต้มรอยยิ้มบางๆ ขณะตะแคงคอมองคนที่อยู่บนเตียงก่อนจะถอนใจยาวออกมา ครู่เดียวที่ย้อนคิดไปไกลถึงวัยเด็ก ดวงตาคู่งามก็พร่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำตาของภาพความทรงจำอันแสนสุขที่เคยได้ใช้เวลาฟังอาม่าเล่าเรื่องต่างๆ

“ซินจะไปทำงานต่างจังหวัดนะคะอาม่า อาจไม่ได้มาบ่อยๆ แต่ถ้ามาได้ซินจะมาเยี่ยมค่ะ”

 

ฤดูฝนเมืองไทยคนโบราณว่าไว้ว่าจะมีฝนมากในช่วงต้นและปลายฤดู ช่วงนี้อากาศจะเต็มไปด้วยความชื้นสัมพัทธ์อันหนาแน่น ยิ่งรถวิ่งตามทางขึ้นเหนือไปมากเท่าไร ความร่มครึ้มและสีเขียวของต้นไม้ก็ดูจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้น้ำมาตลอดหลายวัน

ที่ติดตัวมโนชามามีเพียงเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งกับของใช้ส่วนตัว และของสำคัญที่สุดก็คือแล็ปท็อปกับแท็บเล็ตคู่ใจเพื่อเอาไว้เปิดพจนานุกรมภาษาจีนสำหรับแปลเอกสารต่างๆ

หลังจากที่คิดทบทวนดู เมื่อมาอยู่ยังโรงน้ำชาเธอคิดว่าคงจะมีโอกาสได้ออกไปข้างนอกไม่บ่อยนักเพราะตัวเองไม่มีรถ ก็เลยคิดว่าจะลองแปลนิยายจีนดูในช่วงวันหยุดประจำสัปดาห์ที่ไม่ได้ออกไปไหน

มโนชาฟังเรื่องคร่าวๆ มาจากพ่อบ้านจางเกี่ยวกับที่ทำงานใหม่รวมถึงบุคคลที่ต้องพบเจอ

คนแรกที่เขาแนะนำและมาด้วยกันในครั้งนี้ก็คือผู้ช่วยส่วนตัวซึ่งทำงานจิปาถะให้เจ้าของโรงน้ำชา คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มอายุสามสิบปีท่าทางเข้มแข็งขึงขังนามว่าสวีสุ่ยเหอ

คนต่อไปคือเซี่ยเหมยซีซึ่งเธอเคยได้พบแล้ว ยังมีแม่ครัวที่พ่อบ้านจางบอกให้เธอเรียกว่าป้าจู และสุดท้ายก็คือเจ้าของโรงน้ำชาซึ่งเธอยังไม่เคยได้พบหน้า คนคนนั้นพ่อบ้านจางเรียกเขาว่าคุณเฉิน

นอกจากบรรดาคนหลักๆ เหล่านี้ที่มาจากเมืองจีนแล้ว พ่อบ้านจางบอกว่าคนอื่นซึ่งทำงานเป็นแม่บ้านและคนสวนล้วนถูกจ้างมาจากบริษัทตัวแทนซึ่งมักจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันเข้ามา ชายชราหัวเราะอย่างจนใจเมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ยอมรับว่าตนจำใครไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียวเพราะคุยกับคนเหล่านั้นไม่รู้เรื่องเลยสักคนเดียว

หลังจากนั่งรถจนก้นแฉะอยู่หลายชั่วโมง ในที่สุดสี่ล้อคันงามก็เริ่มค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ และคืบคลานเข้าสู่เขตของโรงน้ำชา เหมือนกับครั้งที่แล้ว ทันทีที่ลอดซุ้มประตูแบบจีนซึ่งโอ่อ่าโอ่โถงเข้ามามโนชาก็คล้ายจะรู้สึกขนลุก มันเป็นความรู้สึกขนลุกแบบดีไม่ใช่แบบร้ายซึ่งยากจะบรรยายให้เข้าใจได้ ต่อเมื่อนานไปถึงได้รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นจากพลังงานชี่ที่ไหลเวียนอยู่ที่นี่

มโนชาก้าวลงจากรถด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ต่างจากคราวที่แล้วโดยสิ้นเชิง คนที่เคยเป็นแขกของร้านต่อแต่นี้ก็จะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่

คนแรกที่มโนชาได้พบหลังลงจากรถยังคงเป็นเซี่ยเหมยซี พ่อบ้านจางเอ่ยแนะนำชื่อเล่นของเธอและขอตัวไปพักผ่อนล้างหน้าล้างตาก่อนหลังจากนั่งเมื่อยในรถมายาวนานอย่างน่าสงสารเพราะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ได้กำชับเอาไว้ว่าช่วงเย็นจะพาไปแนะนำกับเจ้าของที่นี่

สวีสุ่ยเหอช่วยมโนชาเอากระเป๋าเดินทางขนาดยี่สิบสี่นิ้วลงมาก่อนจะช่วยเป็นธุระเอาไปไว้ที่ห้องให้ กระเป๋าใบนี้เป็นใบเดียวกันกับที่เธอใช้ใส่ของกลับมาจากเมืองจีนหลังจากสำเร็จการศึกษา บนพื้นผิวของกระเป๋าเต็มไปด้วยสติกเกอร์หลากสีเข้ากับนิสัยที่แม้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ยังซ่อนมุมที่เป็นเด็กเอาไว้อยู่

เดินลัดเลาะสวนจีนผ่านพุ่มไม้ดอกไม้ใบ ผ่านประติมากรรมหินสลักและก้อนหินจากธรรมชาติน้อยใหญ่ก็ปรากฏให้เห็นประตูพระจันทร์ซึ่งกางกั้นระหว่างสวนชั้นนอกและชั้นในเอาไว้ แบ่งแยกชัดเจนว่าที่ใดสำหรับแขกของร้านและส่วนไหนเป็นที่รโหฐาน

ภายในแบ่งออกเป็นสองอาคาร หลังแรกเป็นที่พักของพนักงานซึ่งมีลานอเนกประสงค์ตรงกลางและยังมีครัวของร้านรวมอยู่ในอาคารนี้ด้วย จากประตูครัวสามารถเปิดทะลุกับส่วนด้านหน้าได้เพื่อความสะดวก

ถัดไปด้านในเลยอาคารที่พักพนักงานผ่านทางเดินที่ปูด้วยหิน ซ่อนตัวอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ปรากฏอาคารสองชั้นขนาดเล็กซึ่งเป็นที่พักอาศัยของเจ้าของโรงน้ำชาซึ่งเธอยังไม่มีโอกาสได้พบหน้า

มโนชาได้ห้องพักมีห้องน้ำในตัวติดกันกับเซี่ยเหมยซีที่ชั้นล่างสามารถเปิดประตูออกไปยังสวนได้ เพราะว่าโรงน้ำชาเพิ่งจะเปิดมาไม่กี่เดือนห้องนี้ก็เลยยังไม่มีใครเคยใช้มาก่อน

หญิงสาวกระโดดขึ้นเตียงเมื่อมีเวลาส่วนตัว นอนกลิ้งไปมานึกทึ่งในโชคชะตา กำลังกังวลใจที่ออกจากงานมาอย่างไม่ดีนักขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ก็ร่วงหล่นมาจากฟ้า ก็ได้แต่หวังว่าขนมเปี๊ยะชิ้นนี้จะดีกว่าชิ้นก่อนและเจ้าของโรงน้ำชาจะไม่เป็นเหมือนเจ้านายคนก่อน

เพราะจินตนาการในหัวว่าคนที่เปิดโรงน้ำชาแบบนี้ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยม อีกทั้งจำนวนเงินที่ใช้ในการก่อสร้างสถานที่นี้ก็คงมากมาย รวมถึงการที่ทุกคนเอ่ยเรียกเขาอย่างค่อนข้างเคารพยำเกรงทำให้มโนชาคาดเดาเอาว่าเจ้าของโรงน้ำชาคงเป็นชายอายุไล่เลี่ยกันกับพ่อบ้านจางที่อยากหากิจกรรมทำหลังเกษียณ อายุจะมากจะน้อยอย่างไรก็คงไม่น้อยไปกว่าภาทิศ

แต่ว่าเธอคิดผิด ผิดไปถนัดใจ

คนที่ยืนหันหลังอยู่ยังหอกลางน้ำในเวลานี้คือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสมส่วน บุคลิกเค้าโครงมีความสง่างามจับตาจนน่าแปลก ภาพตรงหน้าราวกับมีมนตร์สะกดและจุดรวมสายตาของภาพก็มีแรงดึงดูดอย่างมหาศาล

แผ่นหลังที่ตั้งตรงนั้นดูแข็งแรงตั้งตระหง่านราวหินผา ไม่ได้ดูคุดคู้ค้อมลงราวกับแผ่นหลังของผู้ที่ล่วงเข้าวัยชราเช่นพ่อบ้านจางเลยแม้แต่น้อยซึ่งนั่นเรียกรอยสงสัยขึ้นมาในแววตาของคนมาใหม่

ต่อเมื่อเขาหันหน้ากลับมา เธอก็ต้องถึงขั้นแปลกใจเพราะผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของโรงน้ำชานี้ นามที่ถูกขนานเรียกด้วยความเคารพว่า ‘คุณเฉิน’ ชายผู้นี้เพิ่งจะอยู่ในวัยล่วงยี่สิบปีมาไม่เท่าไร เขาคลี่ยิ้มออกมาทำให้เส้นสายเค้าโครงหน้าละมุนตา ยิ่งทุกองคาพยพที่ประกอบมาล้วนแต่วิจิตรบรรจงทั้งสิ้น

“มาแล้วหรือ เดินทางราบรื่นดีไหม…ซิน…” เสียงนุ่มทุ้มนั้นเอ่ยขึ้น ใบหน้าเขาเรียบเฉยหากดวงตาสีดำสนิทคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อนุญาตให้ฉันเรียกเธอแบบนี้ได้ไหม”

มโนชามองดูอย่างใช้ความคิด ค่อนข้างหวาดระแวงเล็กน้อย

แม้เขาจะพูดจาอย่างสุภาพ แต่อยู่ดีๆ ก็มาเรียกชื่อเล่นกันอย่างสนิทสนมแบบนี้ทำเอาอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ แม้จะรู้ตัวดีว่าตัวเองอาจไม่ได้สวยแบบหญิงงามล่มเมืองอะไรแต่ก็เรียกได้ว่าสวยที่สุดในซอยแถวบ้านแล้ว เธอเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ไม่ดีมา แถมคนนั้นยังเป็นเจ้านายเก่า

แต่พอมาทบทวนดู มนุษย์ใช่จะเหมือนกันไปทั้งหมดและเธอคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น มโนชาก็เลยสะบัดความคิดอคตินี้ทิ้งไปพลางส่งยิ้มอย่างจริงใจไปให้

“เรียกได้ค่ะ มโนชาก็ออกจะยาวเกินไป”

ดวงตากลมโตใสวาวราวกับแก้วนั้นไม่ได้หลบตา ประกายคมกล้าแสดงความมั่นใจออกมา ไม่ปิดบังแม้แววสงสัยหรือความประหลาดใจเมื่อแรกเห็น ช่างเป็นคนที่ดวงตาพูดได้อย่างแท้จริง และหนึ่งในความรู้สึกที่ปรากฏผ่านสายตาในทีแรกที่เขาสัมผัสได้ก็คือความระแวดระวัง

เพียงครู่ที่สองคนจ้องมองกันอยู่อย่างนั้น คนที่มาด้วยและเริ่มรู้สึกว่าตนเป็นเพียงอากาศธาตุถึงได้เอ่ยขึ้นลอยๆ

“เห็นทีจะไม่ต้องแนะนำแล้วกระมัง” พ่อบ้านจางทำท่ารู้ทันคนชอบแอบฟัง ไม่เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่ามโนชามีชื่อเล่นว่าอะไร “แล้วคืนนี้ตกลงจะยังเล่นหมากล้อมกันอยู่หรือเปล่า”

ชายหนุ่มผู้นั้นโบกมือไปมาในอากาศ ดวงตายังคงจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวอยู่อีกครู่ใหญ่ถึงละมามองใบหน้าคุ้นตาของชายชราก่อนจะยิ้มปนหัวเราะหยิบยกเรื่องอายุมาล้อเล่นเช่นที่เคย

“เดินทางมาเหนื่อยก็พักสักวันเถอะคุณจาง อายุอานามไม่ใช่น้อยแล้ว”

หญิงสาวแปลกใจขึ้นไปอีก ทว่าพ่อบ้านจางกลับหัวเราะเสียงดังทำให้เดาได้ว่าเจ้านายและพ่อบ้านสองคนคงจะสนิทสนมกันคล้ายคนในครอบครัว

“เล่นหมากล้อมเป็นไหม…ซิน” ดูเหมือนชื่อเธอที่ออกจากปากเขาจะให้ความรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก เธอบอกไม่ได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่เสียงทุ้มนุ่มนั้นก็ทอดเสียงเป็นสำเนียงน่าฟังทีเดียว

“เล่นไม่เป็นค่ะ” มโนชาตอบตามตรง

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะสอนให้”



Don`t copy text!