โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 7 : ฝันร้าย (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 7 : ฝันร้าย (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

อากาศปลายหน้าฝนที่เมืองไทยเย็นสบาย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในเขตพื้นที่ของโรงน้ำชา เป็นที่ซึ่งพลังชี่ไหลวนหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ เสือขาวมังกรเขียว ขวานิ่งซ้ายเคลื่อนไหว หลักฮวงจุ้ยเหล่านี้ล้วนผูกเข้ากับความเป็นไปของโลกและจักรวาล รวมถึงทุกอย่างซึ่งประกอบเป็นที่นี่ด้วย

มนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เป็นสิ่งเล็กๆ ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ ทุกอย่างล้วนถูกขีดมาแล้วทั้งนั้น เป็นพยากรณ์ซึ่งจะรับรู้ได้โดยผู้ที่สวรรค์จะเปิดทางให้

เฉินเอินเวลานี้ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะไม้หวงฮวาหลีตัวใหญ่ที่มักใช้ชงชา ตรงหน้าเป็นแผ่นกระดาษสีขาวซึ่งเต็มไปด้วยแผนผังสัญลักษณ์ของการพยากรณ์

ชายหนุ่มไล้มือไปตามสัญลักษณ์ รอบกายไร้การเคลื่อนไหว สรรพเสียงนิ่งเงียบจนน่าแปลก จู่ๆ เลือดหยดหนึ่งก็หล่นแหมะลงบนกระดาษขาว

เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ต่อเมื่อสัญชาตญาณบอกให้ยกมือขึ้นไปแตะตรงจมูกเลือดก็ติดมือออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อก้มลงมองที่หน้าอกเพราะความเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นยังมีของเหลวบางส่วนซึมออกมาจากบริเวณหน้าอกจนเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกย้อมจนเป็นสีแดงชุ่มโชก

ภาพรอบกายหมุนเคว้ง ร่างสูงเอนกายล้มตัวพาดลงกับโต๊ะส่งเสียงกระแทกกระเทือน เขากระเสือกกระสนดิ้นรนพยายามหอบหายใจซึ่งแต่ละครั้งก็เจ็บเสียดบาดลึกลงไปจนทำเอาตาพร่าเลือนไปหมด

มือหนาปัดป่ายไปโดนถ้วยและป้านชาบนโต๊ะตกลงกระทบพื้นจนแตกกระจาย บนพื้นนั้นมีสีแดงของน้ำชาหรือบางทีอาจจะเป็นเลือดที่ซึมไหลออกมาผสมปนเปจนแยกไม่ออก

ขณะลมหายใจสุดท้ายกำลังจะหมดเขาก็ผวาตัวหอบหายใจคว้าอากาศเข้าปอดได้ เฉินเอินลุกขึ้นนั่ง พบว่าแท้จริงแล้วนี่เป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น

ชายหนุ่มก้มหน้าลง อดยกมือขึ้นมาลูบตรงหน้าอกไม่ได้ มันไม่ได้มีสีแดงของเลือดแต่อย่างใด ผ้าฝ้ายเนื้อดีสีพื้นซึ่งเป็นชุดนอนยังคงสะอาดหมดจดเหมือนเมื่อตอนเข้านอน เพียงแต่ตอนนี้มันกลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อซึ่งผุดออกมายามพบเจอกับความฝัน

เพราะว่านอนไม่หลับสุดท้ายคนที่ยังหายใจได้ไม่ทั่วท้องจึงได้แต่พาตัวเองออกมาข้างนอก แสงจันทร์ยังคงส่องสว่าง ดวงดาวบนนั้นก็ยังคงประดับประดาสวยงาม แต่แม้จะงดงามแต่กลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายไกลโพ้นเมื่อวางบนผ้าใบสีน้ำหมึกเวิ้งว้างที่อยู่เหนือศีรษะ

ชายหนุ่มพาตัวเองลัดเลาะสวน ผ่านประตูพระจันทร์ออกมาด้านนอก ก้าวขึ้นสะพานก็นึกถึงตำนานเรื่องเล่าของคนตาย คนที่เขารักล้วนตายจากไปจนหมดสิ้นแล้ว เท้าก้าวไปข้างหน้าย่างเหยียบบนสะพานพลางนึกสงสัย หากข้างหน้าคือภพหน้าอย่างนั้นเล่า จะมีอะไรรออยู่

ต่อเมื่อสองเท้าก้าวเข้าไปยังหอกลางน้ำ สิ่งที่รออยู่กลับทำให้เขาขมวดคิ้วมอง

“ซิน…มาทำอะไร”

มโนชาสะดุ้งสุดตัว เธอไม่รู้ตัวว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ เหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดอะไรสักอย่าง ต่อเมื่อพบว่าเป็นคนที่เพิ่งจะได้สนทนากันเมื่อเย็นเธอถึงส่งยิ้มบางเบามาให้ มันไม่ใช่ยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้ง และในดวงตาคู่นั้นก็มีรอยกังวลปรากฏฉายอยู่

“ซินนอนไม่หลับค่ะ ฝันไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ชายหนุ่มนิ่งงันเมื่อได้ฟัง มันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่เช่นกัน

“ความฝันเป็นเพียงความฝันใช่จะเกิดขึ้นจริง” แม้จะพูดอย่างนั้นก็เถอะ “ว่าแต่เธอฝันอะไรหรือซิน”

“ซินฝันว่า…เอ่อ…ฟันหักค่ะ ตื่นมาก็ใจหายเลยออกมาข้างนอกนี่ คนไทยเราฝันแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดี เคยมีคนบอกว่าฝันแบบนี้คือคนใกล้ตัวจะ…” มโนชาเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว

“คือซินก็รู้นะคะ รู้ตลอดว่าอาม่าแก่แล้ว แถมยังเป็นแบบนั้นอีก อาจจะเป็นวันไหนสักวันก็ได้ แต่เรื่องแบบนี้ไม่มีใครพร้อมจริงๆ หรอกค่ะ”

“ฉันเข้าใจ” จะมีใครรู้ดีไปกว่าเขา แต่แม้จะรู้ว่าทุกคนเกิดมาพร้อมกับความตายที่รออยู่ข้างหน้า ถึงอย่างนั้นบางครั้งมันก็เหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่คล้ายจริงคล้ายไม่จริง เพราะเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเลยนึกเอาว่าวันนั้นคงยังมาไม่ถึง “ไม่มีใครพร้อมจริงๆ กระทั่งคนที่บอกตัวเองว่าพร้อมแล้วก็ตาม”

มโนชานิ่งฟัง จมจ่อมลงไปในความเงียบงันของช่วงเวลากลางคืน เฉินเอินเพียงแต่ทรุดตัวนั่งเงียบๆ ที่เดียวกับเมื่อตอนเย็นและไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นอีก เสียงลมพัดใบไม้ไหว เสียงแมลงกลางคืนร้องอยู่รอบกาย นอกจากนี้ก็ไม่มีเสียงอื่นใด

ปกติมโนชาไม่ค่อยถูกกับความเงียบนัก ทั้งยังไม่ชอบอยู่เฉยๆ ไม่ชอบนั่งเฉยๆ แต่แปลกที่ครั้งนี้ความเงียบระหว่างคนสองคนซึ่งไม่ได้สนิทสนมกันมากนักไม่ได้สร้างความอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

ลมพัดมาต้องผิว พอเริ่มรู้สึกว่าอากาศชักจะเริ่มเย็นความกังวลเรื่องก่อนหน้านั้นก็สลายหายไปหมดแล้ว น่าแปลกใจที่การปรากฏตัวของเขามักสร้างความรู้สึกอุ่นใจได้ อาจเพราะบุคลิกท่าทางมั่นคงสุขุมราวกับเป็นจะเป็นคนที่พึ่งพาและแบกรับเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ได้

มโนชาอดเหลือบตามองเขาไม่ได้พลางมือบางลูบแขนโดยไม่รู้ตัวเพราะอากาศยามค่ำคืนเริ่มจะเย็นลง อาจเพราะเธอขยับตัวเฉินเอินถึงได้ออกจากห้วงความคิดของเขาเช่นกัน ร่างสูงผุดตัวลุกขึ้นยืน

“พรุ่งนี้ฉันจะเข้ากรุงเทพ มีธุระต้องทำ เอกสารที่เคยให้แปลเธอน่าจะยังมีไฟล์อยู่ใช่ไหม ช่วยสำเนาให้ฉันอีกชุดได้ไหมซิน” มโนชาทำท่าคิดแล้วก็นึกได้ถึงสาแหรกครอบครัวที่พ่อบ้านจางนำมาให้แปลยามพบกันครั้งแรก

“ได้ค่ะ คุณเฉินจะเอาตอนนี้เลยไหมคะ” ชายหนุ่มยิ้ม ส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่ได้รีบถึงขนาดนั้น นี่ก็ดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้” มโนชาพยักหน้ารับคำมองหน้าเขาตาปริบๆ อย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ “แล้วก็ซิน…เธออยากจะไปกรุงเทพด้วยกันไหม”

“ได้หรือคะ” ดวงตาคู่สวยมีประกายดีใจ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมีรอยลังเลเล็กน้อย “แต่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุดซิน ถ้าอย่างนั้นซินลาได้ไหมคะ”

“ถ้าไม่ได้จะชวนเธอทำไม” มโนชาได้ฟังก็ยิ้มเขินๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ฝันร้ายถูกเขาปัดเป่าไปจนสิ้น

“เสียดายนะคะซินกับพี่เหมยซีไปพร้อมกันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องปิดร้าน ซินว่าจะพาเที่ยวเมืองกรุงเสียหน่อย ได้ข่าวว่าตั้งแต่มาเมืองไทยยังไม่ได้ไปไหนเลย”

เฉินเอินนิ่งไปอย่างครุ่นคิด ร้านจะปิดหรือเปิดไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่คนต่างหากที่ปิดไม่ยอมเปิด

“ลองชวนดู ถ้าเซี่ยเหมยซีตกลงเธอจะพาไปด้วยก็ได้ เพียงแต่ว่า…” เขาคิดว่าเซี่ยเหมยซีคงไม่ไป แผลใจอันนั้นทำให้เธอเกลียดเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายมากหน้าหลายตาไปเสียแล้ว

 



Don`t copy text!