โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 7 : ฝันร้าย (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 7 : ฝันร้าย (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

รุ่งเช้ามโนชาก็ตามเซี่ยเหมยซีพบที่หลังเคาน์เตอร์ขณะกำลังเตรียมชุดชงชาพกพาให้กับเจ้าของโรงน้ำชาอยู่ มโนชาเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายแต่ก็ดูไร้ผล จริงดังที่เขาว่าเซี่ยเหมยซีเอ่ยปฏิเสธโดยไม่ลังเล แม้กระทั่งเฉินเอินซึ่งตามมาทีหลังก็ยังไม่อาจโน้มน้าวได้

ความศิวิไลซ์ทั้งหลาย ตึกสูงเสียดฟ้า เมืองที่เจริญเกินขีดจำกัด สิ่งเหล่านี้ทำให้นัยน์ตาของเด็กสาววัยสิบหกเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนกลับมาอีกครั้ง มันไหวระริกขณะหันไปสบเข้ากับดวงตายาวรีที่ทอดมองอยู่ก่อนพอดี ชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้นถอนใจยาวออกมา เข้าใจในทันที

ไม่นานรถซีดานสีดำสัญชาติยุโรปคันใหญ่ก็เคลื่อนมาจอดหน้าโรงน้ำชาก่อนสวีสุ่ยเหอจะเดินมาเปิดประตูผู้โดยสารทางด้านหลังให้คุณเฉินแล้วรับเอาชุดชาจากเซี่ยเหมยซีมาเก็บไว้ตรงที่เก็บของท้ายรถ

มโนชาโบกมือให้หญิงสาวอีกคนพร้อมสัญญาว่าจะซื้อขนมไทยแปลกๆ มาฝาก ก่อนจะเปิดประตูด้านหน้าเพื่อจะขึ้นไปนั่งคู่กับคนขับแต่ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะที่นั่งนั้นมีคนยึดครองไปก่อนหน้า

“ป้าจูไปไหนคะ ไปกรุงเทพด้วยหรือคะ”

“ฮึ้ย ป้าจะไปตลาด ขอติดรถไปลงในเมืองหน่อยเดี๋ยวขากลับให้เจ้าจี๊ดขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งก็ได้ อ้าว…แต่ว่าน้องซินจะไปกับเขาด้วยคนหรือ ถ้างั้นป้าโทรเรียกเจ้าจี๊ดมารับแล้วกัน…” หญิงวัยกลางคนรูปร่างตุ๊ต๊ะทำท่าจะผุดลุกขึ้นจากเบาะด้านหน้าดูทุลักทุเลแกมวุ่นวาย

“ไม่ต้องลงหรอก ซินเธอมานั่งนี่แล้วกัน พอป้าจูลงค่อยย้ายไปนั่งแทน” ป้าจูยิ้มกว้างถูกใจปิดประตูในทันใด

มโนชาไหวไหล่เบาๆ โบกมือให้เซี่ยเหมยซีอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งด้านหลังคู่กับเจ้าของโรงน้ำชา แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ย้ายที่อย่างที่เขาบอกเพราะหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ครัวใหญ่ของโรงน้ำชาลงรถไปตอนไหน หันมองไปอีกฝั่งก็พบกับชายหนุ่มคนเดิมนั่งเอนหลังพิงเบาะหลับตาอยู่

หญิงสาวค่อยๆ กระเถิบตัวไปด้านหน้า โผล่หน้าไปตรงช่องว่างข้างคนขับก่อนจะกระซิบ

“ซินเผลอหลับไป พี่สุ่ยเหอจอดรถให้ซินลงไปนั่งด้วยดีไหมคะ”

“ชู่ว์ เบาๆ ซิน ขยับกลับไปนั่งเฉยๆ เถอะ เดี๋ยวคุณเฉินตื่น”

น้ำเสียงกึ่งตำหนิทำเอาคนเพิ่งตื่นค่อยๆ ถดตัวกลับที่ของตน วิวข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ภูเขาสูงที่รายรอบเริ่มหดตัวเล็กลงและกลายเป็นเพียงเนินเล็กๆ อยู่ด้านหลังเมื่อขับห่างออกมา พื้นที่สีเขียวค่อยๆ บางตาแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้างประปรายซึ่งทำให้มองแล้วตาลายมากกว่าจะสบายตา หญิงสาวเลยละสายตาจากนอกหน้าต่างกลับมามองคนที่กำลังหลับอยู่ภายในรถแทน

ขนตาของเขายาวเธอก็เพิ่งจะเคยสังเกต อาจเพราะเวลาลืมตามันถูกบดบังด้วยประกายสีเข้มแฝงรอยเศร้าเอาไว้แทน คิ้วเข้มพาดผ่าน จมูกโด่งเป็นสันแต่มีปลายมนเล็กน้อย อาจจะโด่งไม่เท่ากับคนขับรถของเขาซึ่งมีเชื้อสายอุยกูร์จากเมืองซินเจียง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ส่งให้ใบหน้าดูละมุนแบบคนใจดี ริมฝีปากของเขาสวยได้รูปและมักจะประดับยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ทว่าเวลานี้มันทอดตัวเป็นเส้นตรง บางครั้งเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าแม้เขาจะยิ้มแต่ก็เป็นยิ้มที่ดูเศร้ายังไงพิกล และทุกคนที่นี่ก็ดูจะคล้ายกันไปหมดเพราะเหมือนจะเคยผ่านเรื่องราวต่างๆ มาไม่มากก็น้อย

ขณะคิดเพลินเรื่อยเปื่อย อยู่ดีๆ คนที่ถูกลอบสังเกตอยู่เป็นนานก็ลืมตาขึ้นมาราวกับรู้ว่ากำลังถูกจ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตาย คนที่โดนจับได้ก็เลยแกล้งตายรีบหลับตาเอาเสียดื้อๆ

“ถึงไหนแล้ว” เสียงเขาถามคนขับรถก่อนจะขยับตัวขึ้นตั้งตรง

“อีกสักสองชั่วโมงน่าจะถึงครับ ถ้าคุณเฉินตื่นแล้วอย่างนั้นผมจะขอแวะเติมน้ำมันสักหน่อย” สวีสุ่ยเหอเอ่ยสบตาผ่านกระจกมองหลัง

“เอาสิ จะได้ไปเดินยืดแข้งยืดขาเสียหน่อย ซินเธออยากไปหาอะไรรองท้องหน่อยไหม” มโนชาเปิดตาขึ้นมาหนึ่งข้างก็พบกับสายตาที่มองอยู่ก่อนอย่างรู้ทัน หญิงสาวค่อยๆ ยืดตัวขึ้นยังไม่วายแสร้งหาวเบาๆ

แปลกที่ไหนกันหากเธอจะมองเขานานไปสักนิด ไม่แปลกเลย และสิ่งที่ยืนยันว่าเธอเป็นผู้หญิงปกติธรรมดาก็คือบรรดาสายตาของหญิงสาวหลายคนในร้านสะดวกซื้อซึ่งกำลังมองตามร่างสูงตรงนั้นทุกย่างก้าวของเขาเช่นกัน

ความสูงเกินร้อยแปดสิบ บุคลิกเรียบง่ายแต่น่าดึงดูด ผิวขาวเนียนละเอียด ทั้งยังแต่งตัวดีมีรถหรู เธออยากจะได้บอกสาวๆ พวกนั้นเหลือเกินว่าตอนนี้มีโอกาสก็รีบมองไว้เถอะ เพราะหลังเสร็จธุระนี่แล้วชายผู้นี้ก็คงเข้าไปเก็บตัวเงียบเชียบอยู่กลางป่ากลางเขาเหมือนเดิม

“มานี่หน่อยซิน” เสียงเรียกมาพร้อมกับอาการกวักมือข้างที่ว่าง ส่วนมืออีกข้างก็มีขวดชาเขียวพร้อมดื่มนอนหงายฉลากขึ้นวางอยู่ “ทำไมชาบรรจุขวดที่นี่ต้องเติมน้ำตาล”

“ที่จีนไม่เติมน้ำตาลหรือคะ” เธอไม่ตอบแต่กลับตั้งคำถามเพราะความสงสัย

“ไม่…เอ่อ…ไม่รู้สิ คิดว่าไม่นะ ไม่เคยลองดูสักที คนเราจะดื่มชาบรรจุขวดไปทำไมในเมื่อการชงชานั้นทำได้ง่ายๆ ด้วยอุปกรณ์ไม่กี่อย่าง” ชายหนุ่มถามก่อนจะขมวดคิ้วหลังจากได้ลองดื่มเข้าไป

“คุณเฉินจ่ายเงินก่อนสิคะแล้วค่อยดื่ม” เธอเอ่ยเตือนเพราะเรื่องกินก่อนจ่ายเคยเป็นประเด็นว่อนโซเชียลมาแล้ว

“ไม่ทันแล้ว” ชายหนุ่มกระแอมเบาๆ ด้วยความกระดาก “ไม่บอกเร็วกว่านี้”

มโนชายิ้ม เพิ่งจะเห็นว่าเขาเองก็มีมุมที่ดูเป็นเด็กอยู่บ้าง

“ชาบรรจุขวดก็สะดวกไงคะ ใครจะพกป้านชาหอบเตามาชงกินที่อื่นกัน อ้อ…คุณเฉินน่าจะพกมา ที่พี่เหมยซีเตรียมไว้ให้ท้ายรถ” มโนชาตอบยิ้มๆ หรี่ตามองเชิงล้อเลียน “ส่วนที่ต้องเติมน้ำตาลเพราะมันอร่อย จะว่ายังไงดีคะ น้ำชาไม่ใช่ของที่เราดื่มกันเป็นปกติที่เมืองไทย อย่างที่จีนน่าจะดื่มจนเหมือนน้ำเปล่าคนเลยคุ้นชินกับรสชาติ แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับมันก็จะรู้สึกว่าชามีรสขม แม้จะหอมชื่นใจแต่ก็ดื่มยากเลยเติมน้ำตาลเพื่อให้ดื่มง่ายมั้งคะ อันนี้ซินคิดเองนะคะ”

“แล้วเธอชอบหรือเปล่า ชาเติมน้ำตาลแบบนี้” เขาถามขณะเดินเลือกของกินเล่นสองสามอย่างด้วยความใส่ใจเผื่อคนขับรถก่อนจะนำมายังจุดรับชำระเงินด้วย

“ก็ดื่มได้ค่ะ หวานๆ ดีแต่ไม่หอมเท่า แต่อยากกินอันนั้นมากกว่า ถ้าซินซื้อคุณเฉินจะว่าไหมคะ มันจะผิดมโนธรรมของลูกจ้างโรงน้ำชาหรือเปล่า” นิ้วเรียวนั้นชี้ไปยังร้านชานมไข่มุกด้วยดวงตาเป็นประกายวาววาม

“ถ้าไม่ให้ซื้อเธอจะร้องไห้ลงไปดิ้นที่พื้นไหม” มโนชานิ่งไปทำท่าคิด ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าอย่างจนใจ เพียงครู่เขาก็เอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็เอาเถอะฉันเข้าใจ”

มโนชานึกขันในใจ นี่เขาคงไม่คิดว่าเธอจะลงไปดิ้นจริงๆ หรอกใช่ไหม

เจ้าของโรงน้ำชาเดินนำไปยังร้านชานมไข่มุกซึ่งตกแต่งด้วยกระจกสวยงามด้านนอกโดยมีคนอยากกินเดินมาด้วยโดยเว้นระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เขาผลักประตูเข้าไปก่อนจะยืนงงเพราะตาลายกับตัวเลือกมากมายบนแผ่นป้ายหลากสีเหนือศีรษะ

“ชานมไข่มุกหวานน้อยสองแก้วค่ะ” มโนชาสั่งออกไปโดยไม่ได้ดูเมนู

เหมือนเดจาวู ชายหนุ่มนึกถึงเด็กสาวสองคนที่เคยเข้ามาสั่งชานมไข่มุก มุกเยอะๆ หวานเน้นๆ ยังดีที่คนตรงหน้าสั่งแบบหวานน้อย เขาบอกไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเองจะร้องห้ามขัดออกไปหรือเปล่าหากเธอจะสั่งแบบนั้นบ้าง

ร่างสูงมองดูคนขายตักผงชาผสมนมตักไข่มุกก่อนจะนำเข้าเครื่องซีลปิดฝา หันมาอีกทางก็เห็นคนหน้าระรื่นเหมือนเด็กได้ของเล่นแล้วก็ต้องส่ายหน้าด้วยความระอาปนขบขัน

โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยโดยไร้สุ้มเสียงขึ้นมาขัดความคิด ไม่จำเป็นต้องตั้งเสียงเตือนก็รู้ได้ มือหนาล้วงมันออกมาอ่านข้อความนัดหมายด้วยสีหน้าเคร่งขรึมปนคาดหวังก่อนจะเก็บกลับคืนลงไป

“ของคุณเฉินค่ะ อย่าเพิ่งปฏิเสธนะคะ ถือว่าศึกษาเอาไว้เป็นความรู้เวลามีลูกค้ามาถามคุณเฉินจะได้ปฏิเสธได้เต็มปากเพราะอย่างน้อยก็เคยลองมาแล้ว”

“เหตุผลดี แต่เหมือนถูกบังคับให้กินยาขม” เขาดูไม่เต็มใจนักแต่ยังรับเอามาถือไว้ในมือ

“ชาขมยังกินได้ ชานมก็ต้องกินได้สิคะ” มโนชาตอบเคี้ยวเม็ดไข่มุกหนึบหนับ

“ขมคือดีถึงกินได้ หวานเป็นพิษถึงเลือกจะไม่กิน นั่นเธอกลอกตาอยู่หรือซิน” เขาถามปรายตามองด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ทำเอาปากบางหุบฉับหยุดเคี้ยวก่อนจะส่งยิ้มแหยมาให้ด้วยเพราะลืมตัวว่าเขาเป็นเจ้านาย

“ซินขอโทษค่ะ อาม่าก็ชอบว่าซินนิสัยเสีย พอดีได้ชาไข่มุกเข้าไปเลยลืมตัวไปหน่อย”

“ช่างเถอะ นิสัยแบบนี้ฉันเริ่มจะชินแล้ว” นึกถึงชายชราที่ป่านนี้คงนั่งๆ นอนๆ นินทาผู้มีพระคุณเอากับทุกคนที่ยอมฟังแล้วก็เริ่มปลง คำพูดวันนั้นที่ว่าจะโดนนับเป็นเพื่อนเล่นสักวันชักลอยเข้ามากลายๆ คล้ายจะเป็นจริงในเร็ววัน

ก็ใบหน้านี้นี่นะ มันไม่ยอมแก่ลงเลยสักนิด

 

เฉินเอินให้สวีสุ่ยเหอขับรถไปส่งเธอถึงที่บ้าน เพียงแต่ว่าบ้านเก่าซึ่งเคยเป็นของตาเล็กและอาม่าหลังนี้อยู่ในซอยเล็กซอยน้อยริมน้ำทั้งยังถูกล้อมรอบไปด้วยชุมชนทำให้รถเข้าลำบาก มโนชาเลยขอให้ส่งเพียงแค่ถนนด้านนอก นัดหมายเวลากันว่าอีกสองวันจะกลับโรงน้ำชาพร้อมกันหลังจากที่เขาทำธุระเสร็จและเธอไปเยี่ยมอาม่าเรียบร้อยแล้ว

หญิงสาวยืนส่งรถสีดำคันนั้นจนลับตาแล้วจึงออกเดิน นึกสงสัยว่าเขามีธุระที่ต้องเข้ากรุงเทพฯ จริงหรือเปล่า สาแหรกครอบครัวนั้นและเอกสารที่เกี่ยวข้องเธอก็แปลเสร็จไปตั้งนานแล้วทำไมเขาเพิ่งจะใช้งาน หรือบางทีอาจจะเพราะสงสารเธอก็ได้ถึงได้ใช้โอกาสนี้ให้เธอติดรถมาด้วย

มโนชาส่ายหน้าคิดไม่ออก ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอามาขบคิดนี่ เฉินเอินดีกับทุกคน สิ่งที่เธอทำได้ก็เพียงทำหน้าที่ของตัวเองที่โรงน้ำชาให้ดี และตอบแทนเขาเท่าที่ทำได้เมื่อมีโอกาส

แต่ว่าสาแหรกครอบครัวแผ่นนั้นคือตระกูลของใครกันแน่ มโนชาหยุดเดินมองย้อนกลับไป รถสีดำคันนั้นหายลับไปแล้ว ในนั้นมันไม่ใช่แซ่ของเขาคือแซ่เฉิน แต่กลับเป็นแซ่หง หรือบางทีเขาอาจจะกำลังสืบค้นบางเรื่อง หรือศึกษาประวัติศาสตร์อะไรสักอย่างก็ได้เพราะเท่าที่ดูข้อมูลที่นำมาให้แปลก็นับว่าย้อนกลับไปไกลอยู่



Don`t copy text!