โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 8 : นายตำรวจ (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 8 : นายตำรวจ (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เมื่อเฉินเอินกลับออกมาด้านนอกโรงแรมพระอาทิตย์ก็เริ่มราแสงลงแล้ว บรรยากาศเงียบเชียบของยามสนธยาวันนี้แปลกไปจากทุกที มันให้ความรู้สึกว่างโหวงคล้ายกับจะเป็นลางสังหรณ์ ท้องฟ้าอับลม ใบไม้ไม่กระดิก ชายหนุ่มรับรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างแปลกไป ไกลออกไปที่ไหนสักแห่ง เขารู้สึกราวกับกำลังถูกจับตาดู

พร้อมรบเดินออกมาส่งที่ด้านหน้าพร้อมกับที่โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง

“ไปเถอะไม่ต้องอยู่ส่ง สวีสุ่ยเหอคงใกล้จะถึงแล้ว”

ฝั่งนั้นโค้งตัวลงก่อนจะจากไปด้วยความลังเล แต่ชื่อของสวีสุ่ยเหอคงทำให้วางใจลงได้บ้าง เขาเห็นสีหน้าของพร้อมรบคิดว่าคงมีความคิดแบบเดียวกัน รู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล

หากว่าไม่แยกจากคงไม่มีทางได้รู้ว่าเป็นใครกันแน่ที่โดนติดตาม ทางฝั่งเขาซึ่งมีอันตรายแฝงตัวตามติดคล้ายเงา อีกฝั่งก็คงไม่แพ้กันด้วยคดีที่เข้าไปข้องเกี่ยวล้วนไปขัดขวางผลประโยชน์ของอำนาจมืดทั้งนั้น

พร้อมรบจากไปเพียงครู่ รถสีดำคุ้นตาก็มาจอดลงสนิทลงตรงหน้าพร้อมกับฟ้าที่ราแสงสุดท้ายจนเหลือเพียงราตรีมืดมิด สวีสุ่ยเหอก้าวลงมาเปิดประตูด้วยท่าทีปกติธรรมดาแต่สายตากลับสอดส่องไปทั่ว

“มีบางคนกำลังจับตาดูเราอยู่” เสียงนั้นเบาเพียงเสียงกระซิบ เขาเพียงแต่พยักหน้ารับรู้

“ลองดูว่าจะสลัดให้หลุดได้ไหม”

 

หน้าปัดนาฬิกาดิจิทัลส่องแสงสว่างในที่มืด เวลานี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว มโนชาซึ่งกลับมาถึงบ้านรีบทำความสะอาดบ้านให้พอนอนได้ เมื่อคนไม่อยู่ฝุ่นก็เข้ามาอยู่แทน พอปฏิบัติการคลุกฝุ่นจบลงเธอก็ฟุบหลับไปอย่างหมดแรงทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ

ตอนนี้นอนนึกดู ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเธอจะจับพลัดจับผลูไปลงเอยที่โรงน้ำชากลางป่าเขาได้ แต่จะว่าไปแล้วที่ผ่านมาทั้งชีวิตก็มีเรื่องพลิกผันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด พบการสูญเสียทั้งพ่อแม่ กระทั่งตอนนี้อาม่าก็ยังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่

เหตุการณ์นั้น มโนชาเป็นทุกข์อยู่หลายเดือน ทั้งวันแทบไม่อยากขยับทำอะไร รอเพียงเวลาที่จะได้ไปเกาะขอบเตียงพูดคุยกับคนที่ได้แค่เพียงหลับตาจะรับรู้หรือเปล่าเธอก็ไม่อาจรู้ได้จนพี่มนได้เอ่ยเตือนสติ

‘แม่เคยสอนให้พวกเราเข้มแข็ง แม่เองก็เข้มแข็งมากนะซิน คงไม่อยากให้ซินเป็นแบบนี้’ เสียงนุ่มนวลปลอบโยนของอีกบุคคลที่เธอเคารพรักเอ่ยขึ้นก่อนจะส่งรูปถ่ายมาให้

รูปบ้านหลังนี้ ครอบครัวของเธอซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ยังมีรูปโรงเจที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงามก่อนถูกไฟไหม้ไปพร้อมบ้านของพ่อแม่ ลานปูนที่เธอเคยปั่นสามล้อถีบทั้งที่ผูกผมแกละ และอาม่าที่ยิ้มอย่างมีความสุขสุดจิตสุดใจ

คืนนั้น หญิงสาวนอนหลับฟุบไปข้างเตียงของอาม่าในโรงพยาบาลทั้งน้ำตา พอตื่นขึ้นมาโลกก็ดูเปลี่ยนไปทันตา จริงอย่างที่พี่มนว่า อาม่าเองก็คงไม่อยากให้คนรอบตัวต้องเศร้าเสียใจไปกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มโนชาได้แต่ใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณ ไหลล่องไปตามสิ่งที่ผ่านเข้ามา พยายามตั้งสติและสุขกับมันเท่าที่จะทำได้

มโนชาขยี้ตา หลังจากหลับไปด้วยความเหนื่อย เมื่อตื่นนอนขึ้นมาสมองเลยอาจจะเลื่อนลอยเรื่อยเปื่อย สุดท้ายเลยตัดสินใจลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา มองสำรวจตัวเองในกระจกแล้วก็ไหวไหล่เบาๆ ให้กับชุดเสื้อยืดตัวโคร่งสีขาวกับกางเกงช้างขายาวตัวเก่ง มันเป็นชุดที่เหมาะแก่กาลเทศะที่จะไปลุยกินสตรีตฟูดกลางกรุงแบบสุดๆ

เธอเดินออกจากบ้านโดยใช้ทางลัด เลาะซอยเล็กๆ เดินเลียบริมคลองที่ขุดลัดมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อนานมาแล้ว ชุมชนแถวนี้เป็นชุมชนเก่าแก่ เต็มไปด้วยเรื่องราว ทั้งวัด ทั้งศาลเจ้าและโรงเจ รวมถึงที่พักอาศัยของผู้คนล้วนอยู่ปะปนกันไป สำหรับเจ้าถิ่นอย่างเธอแล้วให้หลับตาเดินยังทำได้ แต่หากเป็นคนที่ไม่เคยมาก่อนคงจะงงจนหลงว่าถนนที่เดินอาจจะพาไปโผล่อยู่ยังเมืองลับแลก็เป็นได้

กว่าจะเดินออกมาถึงแหล่งที่กินก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว สีสันของมหานครแห่งนี้ไม่ได้มีทีท่าจะลดลงเลย ชีวิตของคนกลางคืนดูแตกต่างจากคนกลางวันราวคนละโลก หลายคนแต่งตัวสะสวยมีท่าทีสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเตรียมพร้อมไปตะลุยราตรี ขณะที่คนกลางวันเมื่อถึงตอนนี้ก็หมดแรงกะปลกกะเปลี้ยขณะตะเกียกตะกายหาของกินลงท้องให้อิ่มก่อนจะกลับไปเอาหัวทิ่มหมอน ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือทุกคนต่างให้ความสำคัญกับเรื่องกิน

หลายคนว่าสำหรับคนไทยเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ มโนชาเองก็เห็นด้วยกับข้อนี้

หญิงสาวซื้อโจ๊กหมูหนึ่งถุงและต้มเลือดหมูอีกหนึ่งถุงไว้เผื่ออุ่นกินในตอนเช้า ยังไม่ลืมแวะซื้อน้ำเต้าหู้อีกสองถุงใหญ่ๆ ทุกอย่างกำลังร้อนจนควันฉุยขณะเจ้าของร้านตักใส่ถุง ร่างบางเดินแกว่งแขนสูดกลิ่นอาหารพร้อมฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี

แต่ก็ดีอยู่ได้ไม่นานนักเมื่อมีชายสองคนที่โผล่มาจากไหนไม่รู้วิ่งผ่านไปอย่างที่ไม่สนใจไยดีว่าจะชนใครก็ตามที่ขวางทาง หากเป็นกลางวันที่คนอยู่กันเยอะแยะเธอคงตะโกนตำหนิออกไปแล้ว เพียงแต่เวลานี้ที่ฟ้ามืดสนิท และในซอยที่พักอาศัยเต็มไปด้วยคนกลางวันที่ต่างเข้าบ้านพักผ่อนกันแล้วเสียส่วนใหญ่ ทุกบ้านล้วนปิดประตูเงียบเชียบผิดจากแหล่งของกินริมถนนที่ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนชนชาวกลางคืน หากตะโกนด่าไปแล้วเกิดฝั่งนั้นไม่พอใจมีเรื่องขึ้นมา ใครจะช่วยเธอได้

มโนชากัดฟันวางเฉย ทั้งที่ควรเดินหนีแต่ไม่รู้ทำไมสองขากลับพามาหยุดยืนแอบฟังอยู่ห่างๆ แม้จะกังวลในสวัสดิภาพและความปลอดภัยของตัวเองแต่ไอ้ขาคู่นี้ทำไมมันไม่ยอมเดินจากไปก็ไม่รู้

หญิงสาวกลั้นใจกลัวจะเล็ดลอดแม้แต่เสียงหายใจออกไปให้ได้ยิน หูยังแว่วยินเสียงร้อนรนของฝั่งนั้นที่ดูลุกลี้ลุกลนมองหาอะไรสักอย่าง หรือบางที…อาจจะหาใครสักคนอยู่

“หายไปไหนวะ โธ่เว้ย…โดนยิงเข้าไปนึกว่าจะจอด รู้อย่างนี้ไม่น่าออมมือไว้เลย”

“ถ้าตายแล้วจะได้อะไร ที่ตามอยู่นี่เพราะจะเอาตัวมันมาเค้นไม่ใช่หรือไงว่ามันเกี่ยวกับไอ้พร้อมรบยังไง ดูท่าจะเป็นตำรวจฝั่งจีนด้วยฝีมือไม่ธรรมดาเลย ไอ้คนขับรถมันก็ไม่ใช่คนขับรถธรรมดาแน่ น่าจะเป็นตำรวจเหมือนกัน หวังว่ามือหนึ่งของฝั่งนั้นมันจะหนีรอดมาได้ เดี๋ยวเกิดเป็นตำรวจจริงแล้วโดนจับเค้นขึ้นมาไม่พากันซวยไปหมดหรือไง”

“จะแหกปากทำไมแถวนี้บ้านคน” ชายอีกคนหันไปต่อว่าก่อนจะส่ายหน้าพึมพำกับตัวเอง “คุณภาทิศนะคุณภาทิศ เป็นนักธุรกิจดีๆ ไม่ชอบจะไปยุ่งกับพวกมันทำไมวะ มึงไปทางนั้นกูจะดูแถวนี้เอง”

หญิงสาวที่แอบฟังอยู่ไกลๆ ใจเต้นระทึกเป็นกลองรัวเมื่อได้ยินชื่อที่รู้จักอย่างแทบไม่เชื่อหู ฟังจากข้อความแล้วไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ยังมีคนถูกยิงด้วย ถูกยิงตอนไหนเมื่อไร เธอไม่ได้ยินเสียงปืน อาจจะเป็นที่อื่นแล้วหนีเข้าซอยวกวนมาแถวนี้เข้ามาก็ได้เพราะดูแล้วเหมาะสำหรับเป็นที่ซ่อนตัวไม่น้อยเลย

หญิงสาวยกมือขึ้นอุดปากตัวเอง ค่อยๆ ถอนตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ และสุดท้ายก็หายเข้าไปในซอยที่ใกล้ที่สุด แม้จะต้องเดินอ้อมไกลกว่าจะถึงบ้าน แต่ก็ยังดีกว่าถูกจับได้ว่าเป็นพยานรับรู้บทสนทนาต้องห้ามนั้น คิดว่าพออยู่รอดปลอดภัยถึงบ้านแล้วจะโทร.แจ้งตำรวจ

บทสนทนาที่ได้ฟังมา มโนชาจะเรียกว่าแปลกใจก็ไม่เชิง ที่แปลกใจก็คือโลกทำไมถึงกลมได้ขนาดนี้ เธอรู้ว่าภาทิศทำธุรกิจหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นก็ยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ซึ่งทำเพื่อขายกลุ่มคนจีนอีกเป็นจำนวนมาก

แต่ก็ช่างมันเถอะ เธอไม่อยากคิดอะไรมากมายในตอนนี้ ยิ่งคิดไม่ออกเพราะความตื่นเต้นกดดัน แถมสมองก็ยังไม่มีอะไรมาช่วยขับเคลื่อนเพราะท้องยังว่างโหวง แค่รอดจากตรงนี้ไปได้ก็พอ

อุณหภูมิกลางคืนคืนนี้ร้อนอบอ้าว มันเหมือนกับลมหยุดนิ่ง อากาศไม่ไหลเวียนถ่ายเท ยิ่งทำให้คนที่รีบเดินจ้ำอ้าวหายใจได้อย่างยากลำบาก ทุกสิ่งโดยรอบไร้การเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง เธอรู้สึกคล้ายจะเบาใจแต่ก็ไม่…ไม่จนกว่าเท้าจะเหยียบถึงบ้าน

มโนชาใช้ประโยชน์ตรงที่เป็นเจ้าถิ่นคิดหาทางหลบเลี่ยงออกมาจากทางเดินหลัก แต่ซอยเล็กๆ เหล่านี้วันนี้ทำไมยิ่งดูก็ยิ่งมืด อาจเพราะความกลัวทำเอาจินตนาการของเธอเตลิดเปิดเปิงไปไกล กลัวว่าหากวินาทีใดวินาทีหนึ่ง เมื่อหนึ่งในสองคนนั้นโผล่ออกมาเธอจะทำหน้ายังไง

ยิ่งลึกเข้าไปบรรยากาศก็ยิ่งเหมือนหนังผีหนังฆาตกรรมเข้าไปกันใหญ่ ฝั่งหนึ่งเป็นคลองน้ำนิ่งสีดำสนิท ส่วนอีกฝั่งก็เป็นห้องแถวที่ถูกปิดตายปล่อยร้างเอาไว้เพราะเต็มไปด้วยหยากไย่และยังปิดไฟเงียบเชียบ แม้แต่ไฟหน้าบ้านก็ไม่มีเปิดแม้สักดวง

มือบางหยิบมือถือขึ้นมากดเปิดไฟฉาย รอบตัวมีแต่ความเงียบกับเสียงรถราที่ดังแว่วอยู่ไกลๆ จากถนนที่ห่างออกไปด้านนอกอีกฝั่งคลอง เธอจะถือเป็นลางดีก็แล้วกันที่ไม่ได้ยินเสียงของผู้ชายสองคนนั้นแว่วมาให้ได้ยิน

แสงสว่างจากมือถือให้รัศมีไม่ไกลนัก เธอส่องกราดไปด้านหน้าและด้านข้างรอบตัวก็พบเพียงถนนซอยอันว่างเปล่า แต่เมื่อมันไปตกกระทบกับมุมหนึ่งบริเวณประตูห้องแถวที่ทำจากไม้ทาสีเขียวอ่อนกระดำกระด่างบ่งบอกถึงความเก่าแก่ทรุดโทรม มโนชาก็ได้พบกับบางสิ่งที่ดูแปลกแยกออกไป

…ร่างของคน…

ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อสีขาวแต่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงสดเป็นวงกว้าง เขากำลังนั่งพิงประตูไม้นั้นอยู่ด้วยท่าทีนิ่งสนิท มีชีวิตอยู่หรือเปล่าเธอเองก็ไม่อาจแน่ใจได้ บทสนทนาเรื่องที่ว่ามีคนถูกยิงหนีเข้ามานั้นแวบเข้ามาในความคิด และชายคนนี้ก็คงจะเป็นคนนั้นที่กำลังถูกติดตามไล่ล่า

มโนชาเหลียวมองซ้ายขวาหัวใจเต้นกระหน่ำจนแทบจะหลุดออกมา รู้สึกจะบ้าตายเสียให้ได้ เมื่อแน่ใจว่าสองคนร้ายไม่ได้อยู่แถวนี้ เธอถึงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้

ต่อเมื่อแสงจากโทรศัพท์สาดส่องลงไปราวกับเป็นการรบกวนเขา ชายที่นั่งนิ่งพิงหลังกับประตูก็ยกมือขึ้นมาบังตาด้วยสัญชาตญาณ แต่ขณะที่แขนของเขาค่อยๆ เลื่อนขึ้น ขณะที่มือหนานั้นกำลังจะได้บดบังใบหน้าอันเหยเกด้วยพิษของบาดแผล เธอก็ได้เห็นหน้าเขาเสียก่อน

ดวงตาของมโนชาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อพบว่าบุคคลนั้น ผู้ชายที่เลือดไหลโซมกายดูไร้เรี่ยวแรง เขาคือคนที่ตามกำหนดการได้นัดหมายกันไว้ว่ามะรืนนี้เธอจะต้องนั่งรถกลับไปด้วยพร้อมกัน

เขาคนนั้นเองคือเจ้านายของเธอที่โรงน้ำชา

“คุณเฉิน!”

 



Don`t copy text!