โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 9 : สิ่งสำคัญคือลมหายใจ (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 9 : สิ่งสำคัญคือลมหายใจ (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ศีรษะได้รูปสวยนั้นผงกขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่คาดคิด เดิมทีเขาคิดว่าจะพักอยู่ตรงนี้เพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่พอได้นั่งลงพักหายใจ เรื่องราวต่างๆ ก็ไม่รู้ไหลย้อนประเดประดังกันเข้ามาจากทิศทางไหน ตรงกันข้ามกับเลือดภายในกายที่ไหลซึมออกมาเรื่อยๆ

บาดแผลจากกระสุนปืนนั้นไม่ได้เจ็บมากเจียนตายเพียงแต่ปวดหนึบกระทั่งชา ความรู้สึกเริ่มเลื่อนลอยออกไปยังที่ไกลแสนไกล ย้อนไปในอดีตกาล มีทั้งเรื่องราวความสุขและเรื่องเจ็บปวดใจ คิดว่าบางทีหากนั่งอยู่อย่างนี้ ความคิดทั้งหมดทั้งมวล ความรู้สึกทั้งหลายที่เคยรู้สึก ก็คงจะค่อยๆ จางหายเลือนลับไปในที่สุด

บางที…สิ่งที่เขารอคอยมานานอาจมาถึงเสียที

แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทั้งหลายบนโลกนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายและไม่ได้จบลงได้เรียบง่ายถึงเพียงนั้น เพราะทันทีที่สายตาสามารถปรับโฟกัสได้ เขาถึงได้พบว่าแสงสว่างนั้นมีที่มาจากโทรศัพท์มือถือและคนที่ถือแหล่งกำเนิดแสงนั้นก็เอ่ยเรียกชื่อของเขาด้วยความตระหนก

“คุณเฉิน!”

ร่างบางตรงปรี่เข้ามา เธอยื่นมือสั่นๆ ออกมาข้างหน้าหมายจะสำรวจดูแผลแต่ก็ชะงักค้างเพราะเลือดที่ไหลซึมออกมาดูน่ากลัวไม่น้อย ดวงตาคู่สวยมีแววตื่นตกใจและมโนชาก็หันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะทำยังไงจนเขาต้องเอ่ยเตือน

“ใจเย็นๆ ซิน กระสุนแค่แฉลบเท่านั้น” มือเปื้อนเลือดนั้นเลื่อนมาจับข้อมือบางเอาไว้ สัมผัสนั้นเพียงบางเบาแต่ก็ให้ความมั่นคง เขาฝืนยิ้มออกมา “ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”

“แต่ว่าเลือดออกเยอะมากเลยนะคะ” มือของเธอยังคงไม่หายสั่น จะห้ามเลือดก็ไม่กล้า กลัวเขาจะเจ็บ กลัวแผลจะแย่ไปกว่าเดิม ในหัวมีแต่ความคิดร้ายๆ วิ่งเข้ามาเรื่อยๆ

“ซิน…” น้ำเสียงที่เขาเรียกนั้นนิ่งเกินกว่าจะเป็นเสียงของคนซึ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ดวงตาของเขายิ่งเรียบนิ่งยิ่งกว่า “จำได้ไหมตอนเดินหมากกันฉันบอกไว้ว่ายังไง สิ่งสำคัญที่เราต้องดูคือลมหายใจของเราเอง เพราะฉะนั้นหายใจเข้าช้าๆ”

“ค่ะ จำได้” มโนชามองใบหน้าของเขานึกถึงวันแรกที่ได้พบกันกับปรัชญาเดินหมากนั่น

ในแววตานั้นเธอมองไม่เห็นความกลัวแม้แต่นิดเดียว เหมือนเขากำลังจะบอกว่าคืนนี้ก็เป็นแค่คืนธรรมดาอีกคืนเหมือนคืนนั้นที่เล่นหมากล้อมกัน เธอถึงเริ่มสงบจิตใจและพยามยามควบคุมลมหายใจตามที่เขาบอก ต่อเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอย สติสัมปชัญญะกลับมาทำหน้าที่เต็มร้อย สมองก็เริ่มประมวลผลเร็วจี๋

“บ้านของซินค่ะ อยู่อีกไม่ไกล แต่ว่าซินบังเอิญเจอสองคนนั้นพูดว่ากำลังตามหาตัวคุณอยู่ คุณเฉินลุกขึ้นไหวไหมคะ เราไปหลบกันก่อนค่อยโทรเรียกฉุกเฉินนะคะ”

“ได้ เอาตามที่เธอว่า” เขารับคำในทันที

ร่างสูงใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามประคองตัวลุกขึ้นโดยมีมโนชาคอยช่วย ก่อนจะสะดุ้งเมื่อด้านหลังของเขาสัมผัสเข้ากับถุงอาหารร้อนๆ ที่ห้อยต่องแต่งอยู่กับแขนของคนช่วยประคอง มโนชาหันมาส่งยิ้มแหยแบบขอลุแก่โทษให้

“ขอโทษค่ะ ข้าวเย็นซินเอง” มโนชาช่างเหมาะกับศัพท์วัยรุ่นสองคำนั้นที่เขาเคยพูดกับพ่อบ้านจาง

“ข้าวร้อนน่ะสิ” เขาประชดหัวเราะอย่างระอาอยู่ในคอ

มโนชาถลึงตาใส่ หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังจะมีอารมณ์มาเล่นอีก เธอถอนใจยาวกล่าวเป็นจริงเป็นจัง

“คุณเฉินอดทนหน่อยนะคะ เดินไปอีกนิดเดียวพอเลี้ยวไปอีกซอยก็ถึงบ้านซินแล้ว ซินว่าซินทิ้งพวกโจ๊กนี่ดีกว่าไม่ก็วางไว้ตรงนี้ก่อน พอส่งคุณเฉินเข้าบ้านค่อยออกมาเอา” เฉินเอินมองคนพูดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เวลาแบบนี้ยังจะมัวมาห่วงอาหารอีก ยิ่งไปกว่านั้นถึงขนาดจะวกกลับออกมาเอามันไม่เกินไปหน่อยหรือไง

มโนชาไม่เห็นสายตานั้น แน่นอนว่าไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดออกมามีความผิดปกติแต่อย่างใด เธอไม่ได้คิดมาก อันที่จริงคือไม่ได้คิดอะไร แต่เคยบ้างไหมที่เวลาคิดจะทำอะไรสักอย่างแต่ไม่ได้ทำเพราะมักจะมีอะไรมาขัดเข้า เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่อง เพียงแค่พูดยังไม่ทันจบประโยคดีคนที่เธอประคองอยู่ก็จับมือของเธอเอาไว้นิ่งเป็นสัญญาณให้เงียบ กล้ามเนื้อของเขาเขม็งเกร็งราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง

“เราหลบเข้าตรงนี้ก่อน” เขาพูดพลางดึงมือพาเข้าไปแอบที่ด้านข้างของตึกแถวเมื่อครู่ อาศัยเงามืดยามราตรีช่วยพรางตัว

แม้จะตื่นตระหนกแต่มโนชาก็มีสติครบถ้วนและไม่ได้สติแตกเพราะดูท่าอาการของคุณเฉินไม่ได้แย่เหมือนกับสภาพที่เห็นก่อนหน้า เธอพยายามถือถุงกับข้าวร้อนๆ ไม่ให้สัมผัสโดนเขา แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ร่างกายจะสัมผัสโดนกัน

นอกจากสันกรามที่ขบแน่นและกล้ามเนื้อที่เครียดเขม็งแล้ว เธอยังสัมผัสได้ว่าหัวใจของเขากำลังเต้นรัวเร็ว ซึ่งมันไม่ดีเลยสำหรับคนที่กำลังเสียเลือด เพราะมันยิ่งเร่งอัตราการสูบฉีดให้มากขึ้นไปอีก

มโนชาได้แต่นิ่งอย่างรอคอยอยู่ข้างเขา แม้มือคู่นั้นจะยังกำรอบข้อมือของเธอไว้ให้ความมั่นใจได้อยู่หลายส่วน ถึงอย่างนั้นการรอคอยในสิ่งที่กลัวก็ทำให้รู้สึกอึดอัดราวกับจะหายใจไม่ออก และเพียงครู่เดียว สิ่งที่สองคนรอคอยอย่างไม่เต็มใจก็ปรากฏขึ้นโดยได้ยินเสียงนำมาก่อนได้เห็นตัว

“รอยเลือดมันหายไปไหนแล้ววะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย มืดตื๋อเลยแถวนี้ มึงช่วยส่องไฟที”

ตอนนั้นเองที่ทั้งคนเจ็บและมโนชาเพิ่งจะนึกได้ว่าแผลเปิดแบบนี้ย่อมทิ้งเบาะแสชั้นดีไว้ให้คนร้ายได้ตามรายทาง ของเหลวสีแดงเข้มที่ซึมลงมาหยดลงพื้น และหากพิจารณาดีๆ มันคงจะเปิดเผยที่ซ่อนตัวของเขาและเธอในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้

ความกลัวถาโถมเข้ามาอีกระรอกจนอกสั่นขวัญหาย ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกว่าเขาโน้มตัวลงมาจนชิด ริมฝีปากได้รูปคู่นั้นแทบจะแนบอยู่กับใบหูของเธอจนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าว

“หากมีอะไรเกิดขึ้นให้ตั้งสติเอาไว้อย่าตกใจหรือตื่นกลัว อย่าเผยตัวและรีบโทรแจ้งตำรวจเมื่อมีโอกาส เข้าใจไหมซิน รับปากได้ไหม” ต่อเมื่อมโนชาพยักหน้าเขาถึงได้เบาใจลง

ชายหนุ่มกลับมาเริ่มคิดวิเคราะห์และประเมิน สองต่อหนึ่งในขณะที่เขาบาดเจ็บจะสู้ได้หรือไม่ได้ ปืนมีกี่กระบอกแล้วผู้ร้ายจะเก็บไว้ตรงไหน จะวางแผนยังไงเพราะสิ่งสำคัญคือความปลอดภัยของคนข้างกายที่อยู่ดีๆ ก็เข้ามาข้องเกี่ยวด้วยโดยบังเอิญ

เฉินเอินกะพริบตาพยายามโฟกัสเพราะรู้สึกหวิวๆ ตาลายคล้ายคนใกล้จะหมดสติ เสียงสวบสาบของรองเท้าเหยียบลงบนเศษใบไม้ห่างไปไม่ไกล และค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คิดว่าน่าจะตามรอยเลือดเข้ามา คนหนึ่งถือปืน อีกคนน่าจะถือไฟฉายส่องสว่างเพราะเห็นเป็นเงาวูบวาบเคลื่อนไหว

สองคนที่ซ่อนอยู่แทบไม่มีใครกล้าหายใจ และเมื่อถึงระยะที่ใกล้พอ เฉินเอินก็บีบมือเธอหนึ่งครั้งก่อนจะผวาตัวออกไปคว้าเอาด้ามปืนที่ยื่นเข้ามาใกล้แล้วกระชากจนสุดแรง

ที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือเสียงต่อสู้ยื้อยุดแย่งอาวุธสังหาร

“อย่าออกมา” เขากัดฟันพูดออกมาเป็นภาษาจีน คนนอกฟังดูคงเหมือนถ้อยคำสบถก่นด่ามากกว่าจะคิดว่ายังมีอีกคนแอบซ่อนอยู่ คนที่ซึ่งบังเอิญผ่านมาแต่บังเอิญเกี่ยวข้องด้วยทุกทางอย่างมโนชา

เสียงตะโกนโวยวายดังออกมาเป็นภาษาไทยจากฝั่งผู้ร้าย และเพียงครู่เดียวเสียงระเบิดจากปลายปืนก็ดังขึ้นพร้อมกับประกายที่ปรากฏให้เห็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

มโนชาใจหลุดลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทั้งหูอื้อตาลายเพราะความกลัว เธอกลัวว่าคนที่ถูกยิงจะเป็นเขา

“โว้ย ไอ้เจ๊กนั่นมันยิงกู ไอ้ยอดมึงอยู่ไหน” ไม่ทันขาดคำก็เกิดเสียงดังพลั่กขึ้นพร้อมกับแสงสว่างจากมือถือที่ดับลงไป รอบกายเหลือเพียงความมืดมิด คิดว่าเขาน่าจะเตะโทรศัพท์ของผู้ร้ายอีกคนไปตกที่ไหนสักที่

มโนชากำมือแน่นและหายใจรัวเร็วด้วยความกระวนกระวาย ขาเธอสั่นแต่ก็พร้อมจะวิ่งเข้าใส่หากเกิดเหตุไม่สู้ดี ที่เขาเคยบอกก่อนออกไปเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา เสียงต่อสู้กันดังตุบตับและสวบสาบยามล้มลุกคลุกคลานยังคงดังต่อไปอีกหลายอึดใจ

“โอ๊ย ไอ้ยอด ปืนมึงมีก็เอามาใช้สิโว้ย” เสียงครวญคราญดังขึ้นพร้อมกับสั่งบงการ ขาดคำเสียงปังก็ดังขึ้นมาอีกรอบ นาทีนี้เองมโนชาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป คิดอยู่ในหัวว่าเอายังไงก็เอากัน

เธอค่อยๆ ขยับตัวออกมาพร้อมกับแสงไฟที่สว่างขึ้นห่างออกไป ไม่ใช่แสงจากโทรศัพท์แต่เป็นแสงจากหลอดไฟ คนแถวนี้คงได้ยินเสียงปืนถึงได้ลุกออกมาเปิดไฟหน้าบ้าน แม้จะห่างออกไปแต่ก็ทำให้พอจะมองเห็น เธอถึงได้ประเมินทุกสิ่งอย่างเร่งด่วน

ปืนนัดแรกที่ได้ยินเจาะเข้าที่ท้องของคนร้ายคนแรกเพราะมันนอนกองงอก่องอขิงกุมท้องอยู่ที่พื้น เสื้อสีขะมุกขะมอมนั้นมีสีแดงฉานซึมออกมาและเริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ

ปืนนัดที่สองน่าจะเป็นของคนร้ายที่พลาดไปเพราะเจ้าของโรงน้ำชาไม่ได้มีรอยเลือดเพิ่ม และอีกฝั่งที่น่าจะชื่อยอดถึงแม้จะปากแตกแต่ก็ยังถือกระบอกปืนไว้ และหันมันเข้าหาเฉินเอินที่กำลังหันกระบอกปืนไปทางมันเหมือนกันราวกับว่ากำลังจะดวลปืนกัน

เวลาชั่วพริบตาราวกับยาวนาน แต่ละวินาทีแบกความเป็นความตายเอาไว้ด้วย มโนชาอยู่ดีๆ ก็ตัดสินใจทำอะไรโดยปัจจุบันทันด่วนเพราะมือที่ถือปืนของเฉินเอินเริ่มจะไม่นิ่งและสีหน้าเขาก็ดูคล้ายจะประคองตัวเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว

“คุณเฉินหลบนะคะ” เสียงมโนชาดังเพียงเสียงกระซิบเท่านั้น ในเวลาที่ทุกอย่างกำลังถูกบีบคั้น เธอไม่รู้ว่าอะไรทำให้เธอแค่กระซิบออกไปแบบนั้น แต่เหมือนอีกฝ่ายก็กลับเข้าใจได้เช่นกัน

มโนชาก้าวยาวๆ ออกมา ฝั่งผู้ร้ายที่หมายจะดวลปืนคงไม่ทันได้สังเกตการมีการปรากฏอยู่ของตัวเธอ มือบางหยิบถุงต้มเลือดหมูที่ยังคงร้อนมากกระทั่งลวกมือขณะสัมผัสออกมา เธอง้างแขนและขว้างมันออกไปในระยะที่ห่างเพียงแค่ไม่กี่ช่วงตัว แน่นอนว่าไม่มีทางพลาดเป้า

ต้มเลือดหมูร้อนๆ ที่ถูกมัดหนังยางจนถุงโป่งเกินจำเป็นแตกโพละทันทีที่กระทบกับวัตถุซึ่งก็คือหัวของ ‘ไอ้ยอด’ คนนั้น พร้อมกับเสียงปืนซึ่งพลาดจากเป้าหมายไปไกล มโนชายอบตัวลงนั่งคุดคู้อยู่บนพื้นพร้อมกับยกมือขึ้นมาอุดหู

ปัง! เสียงจากกระบอกปืนของคุณเฉินดังขึ้นพุ่งเข้าที่กลางลำตัวของคนร้าย ฝั่งนั้นทรุดลงทันทีพร้อมกับร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด

ปัง! อีกนัดหนึ่งเข้าที่ข้อมือของคนร้ายที่ยังถือปืนอยู่ ปืนกระบอกนั้นกระเด็นออกไป

ยามร่างกายลดการหลั่งอะดรีนาลีนลงเมื่อสถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่เริ่มผ่อนคลาย ชายหนุ่มที่ยืนตัวตรงยิงปืนอยู่เมื่อครู่ก็ทรุดตัวลงเช่นกัน มโนชาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

เธอรีบลุกขึ้น ผ่านคนร้ายคนแรกก็เตะเข้าเสียหนึ่งทีเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะวิ่งไปยังคนร้ายคนที่สองที่โดนไปสองนัดแล้วคว้ากระบอกปืนที่ตกอยู่ไม่ไกลด้วยความกลัวปนขยะแขยง สุดท้ายจึงตรงมาหาคนที่กำลังใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยุงตัวเองเอาไว้ไม่ให้ล้มคว่ำไป

เธอย่อตัวลง สอดแขนเข้าไปประคองเขาไว้ตรงเอว เฉินเอินเงยหน้าขึ้นมองและเอ่ยด้วยเสียงเร่งร้อน “เราต้องออกจากตรงนี้ซิน เราไม่ควรจะติดร่างแหไปกับคนพวกนี้ ไปบ้านของเธอก่อน”

มโนชาไม่ซักถามต่อ เพียงแค่ทำตามที่เขาบอก แม้ไม่รู้ว่าตัวเองถูกดึงเข้ามาเกี่ยวโยงกับเรื่องอะไร แม้จะได้ยินชื่อภาทิศแต่ก็คล้ายไม่ใช่สิ่งที่เธอจะทำความเข้าใจได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สัญชาตญาณของตัวเองบอกก็คือเฉินเอินจะไม่ทำให้เธอเป็นอันตราย และผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนไม่ดีอย่างแน่นอน

 



Don`t copy text!