โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 9 : สิ่งสำคัญคือลมหายใจ (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 9 : สิ่งสำคัญคือลมหายใจ (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เมื่อมาถึงบ้าน อากาศที่ร้อนอบอ้าวมาทั้งวันก็เริ่มเปลี่ยนสภาพไป ลมเริ่มพัดแรงจนหวีดหวิวและไม่กี่นาทีหลังจากนั้นฝนก็เทลงมาอย่างหนักราวกับจะช่วยทำลายหลักฐานหลายอย่างไป โดยเฉพาะรอยเลือดที่จะเป็นการเปิดเผยตัวตนของเขา

“บ้านซินเองค่ะ คุณเฉินนั่งตรงนี้นะคะ” เธอค่อยๆ ประคองเขาลงที่โซฟาผ้าตัวเก่าแก่ของอาม่า บ้านหลังนี้ทำจากไม้ดูแข็งแรงทนทาน เหนือบานหน้าต่างกรุกระจกหลากสีมีลวดลายดอกพิกุลแบบไทยๆ พอฟ้าแลบทีแสงก็สาดสะท้อนเข้ามาด้านในให้เห็น

“เดี๋ยวโซฟาเธอเปื้อน” เขามองสำรวจรอบบ้านก่อนจะเอ่ยอย่างเกรงใจแต่มโนชาไม่สนใจ

“จะให้โทรแจ้งใครคะ เรียกรถพยาบาลหรือแจ้งตำรวจก่อน แต่ซินเดาว่าน่าจะไม่ใช่ทั้งสอง” จากคำพูดของเขาที่ว่าจะเข้าไปติดร่างแหไม่ได้ คนที่มีชื่อมโนเป็นส่วนประกอบอย่างเธอ ก็เลยมโนเอาว่ามันก็น่าจะเป็นแบบนี้แหละ

“ขอผ้าสะอาดให้ฉันสักผืนเถอะซิน แล้วก็ขอน้ำด้วย ที่เหลือเดี๋ยวจัดการเอง อ้อ…ขอโทษด้วยเรื่องอาหารของเธอ” มโนชากลอกตาไม่อยากเชื่อ คนเจ็บทำตัวราวกับไม่ใช่คนเจ็บ ดูเหมือนจะมีแค่เธอที่ทุกข์ร้อนไปคนเดียว

ต่อเมื่อมโนชาหายขึ้นไปที่ยังชั้นสองของบ้านเพราะผ้าสะอาดที่เขาร้องขอน่าจะอยู่บนนั้น ชายหนุ่มถึงได้เอื้อมมือล้วงลงไปในกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายไปยังคนที่ก่อนหน้าอยู่ร่วมในเหตุการณ์ระทึกนี้ด้วย

“สวีสุ่ยเหอ ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง เธอปลอดภัยดีใช่ไหม” เพราะว่าแยกกันหนียังพอมีทาง เขารู้ดีสวีสุ่ยเหอไม่ใช่เป้าหมาย แม้ฝั่งนั้นจะคัดค้านไม่ยอมแยกกันอย่างไรสุดท้ายก็ต้องยอมตามคนหัวดื้ออยู่ดี

“ปลอดภัยดีครับ” เสียงปลายสายดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด “คุณเฉินไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม”

“จะเรียกอย่างนั้นก็ไม่เชิงเพราะฉันถูกยิงแต่กระสุนแค่แฉลบตรงหัวไหล่ไม่ได้ฝังใน” เมื่อได้ยินว่าเขาถูกยิงอีกฝั่งดูเหมือนจะชะงักด้วยอาการตกใจก่อนจะรีบเอ่ยขึ้น

“ไปโรงพยาบาลเถอะครับ”

“ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าเลือดน่าจะหยุดแล้วไม่ต้องห่วง เธอก็รู้ว่าฉันเป็นยังไง ฉันไม่เป็นอะไรหรอก จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อน โทรหาพร้อมรบด้วย ปืนของคนร้ายทั้งสองกระบอกอยู่ที่ฉัน ส่วนตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านของซิน อ้อ…สวีสุ่ยเหอ อย่าทำอะไรที่จะเป็นการเอาตัวเองไปเสี่ยงเด็ดขาด เธอเข้าใจฉันใช่ไหม”

“ไม่ต้องห่วงครับ ดูแลตัวเองด้วย เช้าผมจะรีบไปรับ” เฉินเอินรับคำ

เขากดวางสาย เอนศีรษะพิงเข้ากับเบาะ ดวงตามองสำรวจแผ่นไม้บนเพดานอย่างเหนื่อยอ่อน ความรู้สึกเจ็บและปวดร้อนบริเวณบาดแผลลดลงมากเหลือแค่ความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะของเลือดที่ซึมออกมาก่อนหน้า แม้จะไม่ได้ดูแผลแต่เขาเดาว่าร่างกายอันพิเศษเพราะต้องสาปนี้กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อจะคงความเป็นอมตะไว้

หากเขาเป็นเช่นคนปกติจะเป็นยังไงนะ แผลกระสุนแบบนี้จะถึงตายได้หรือเปล่า หากไม่รักษามีหวังจะหายไหม หรือจะได้ตายไปสมใจอยาก พลันนึกถึงความฝันก่อนหน้าขึ้นมา เสื้อก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ในฝันกระสุนไม่ได้แค่ถากหัวไหล่ไปแต่เจาะลงตรงหน้าอก

เสียงตึงตังดังขึ้นจากด้านบน เพราะว่าพื้นทำจากไม้ทุกการเคลื่อนไหวของมโนชาเลยออกจะชัดเจน ไม่จำเป็นต้องมีประสาทสัมผัสดีเป็นพิเศษเช่นเขา แค่คนปกติลองย่ำตึงตังแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงได้ยิน

“เมื่อกี้ซินลองหาข้อมูลดูแล้ว แผลคุณเฉินควรห้ามเลือดนะคะ แล้วซินคิดว่าเราควรไปโรงพยาบาลด้วย” ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นมองด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนปนเฉื่อยชา ก่อนจะทิ้งตัวลงอีกครั้ง

“ไม่ต้องหรอก เลือดน่าจะหยุดแล้ว เชื่อฉันสิ”

“แต่ว่าซินหาข้อมูลมา แผลกระสุนแฉลบต่อให้ไม่โดนอวัยวะสำคัญก็อาจติดเชื้อก็ได้ อย่างน้อยไปทำแผลให้ถูกวิธีแล้วก็ไปฉีดยากันบาดทะยัก มันยากขนาดนั้นเลยหรือคะ” สำนวนนั้นเริ่มมีความประชดประชันกับอาการเฉยเมยไม่รู้ร้อนของคนตรงหน้า เสื้อสีขาวของเขาแทบจะถูกย้อมด้วยสีแดงไปทั้งแถบยังจะเฉยได้อีก

มโนชานิ่งไปอย่างจนใจ ชายหนุ่มถอนใจยาว ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องเพดานด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ก็ได้ แต่เอาไว้พรุ่งนี้ก่อน ตอนนี้ฝนเทอย่างนี้ไม่รู้จะออกไปยังไง ข้างนอกก็คงวุ่นวาย ไหนจะตำรวจไหนจะคนร้าย ฉันไม่อยากไปยุ่งด้วยตอนนี้ แล้วเธอคิดจะออกไปยังไงหรือซิน”

จนปัญญา เธอจนปัญญาจะเปลี่ยนใจเขาจริงๆ เชื่อแล้วเรื่องที่พี่เหมยซีกับพ่อบ้านจางเคยว่าเขาเป็นคนหัวดื้อ ต่อให้เอาช้างมาฉุด ต่อให้ยกแม่น้ำทั้งเมืองจีนขึ้นมาอ้าง คนคนนี้เมื่อตัดสินใจแล้วยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำความสะอาดแผลก่อนนะคะ”

เพราะน้ำเสียงจนปัญญาของเธอ เพราะท่าทางที่ดูเป็นห่วงเป็นใยและเดือดเนื้อร้อนใจ หรือเพราะสภาพที่มอมแมมและเปียกม่อลอกม่อแลกของคนตรงหน้าทำเอาเขาอดใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้

ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่ายและค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อออกโดยมีมโนชายืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ด้วยท่าทีละล้าละลังพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลในมือ

เขาถอดเสื้อออก ก้มลงดูแผล จริงอย่างคาดที่เลือดหยุดไหลไปแล้ว เขาหัวเราะในลำคอเชิงประชดประชัน นี่ควรจะโล่งใจหรือเสียใจดีกันล่ะ นานๆ จะได้มีโอกาสเฉียดเข้าใกล้ความตายได้ขนาดนี้

เพียงแต่ว่ายังมีความจริงอีกข้อที่ไม่อาจละเลย แม้จะความตายจะเป็นสิ่งที่คนอย่างเขาใฝ่ฝันหา ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับมัน สัญชาตญาณมักจะเป็นฝ่ายมีชัยเหนือกว่าเสมอ

มนุษย์ทุกคนย่อมมีสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดยู่ในตัว เขาถึงได้วิ่งหนี หลบซ่อน และสุดท้ายก็ไม่พ้นต่อสู้ อย่างที่เคยคุยกับมโนชาไปเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว ไม่มีใครพร้อมจริงๆ หรอกสำหรับความตาย

“เจ็บหรือคะ” ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆ ที่วนเวียนอยู่ตรงบาดแผล เธอทำมันอย่างนุ่มนวล เพราะมัวแต่คิดเลยไม่ทันได้รู้ตัวว่ามโนชามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร จนเธอเข้ามาใกล้ จนผ้าก๊อซชุบน้ำยาฆ่าเชื้อสัมผัสลงบนผิวเขาถึงเพิ่งจะได้สติ

“เปล่า ไม่ได้เจ็บ พอดีกำลังคิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“ยังมีเวลาคิดอีก” เธอค้อนด้วยท่าทีเหมือนเด็กๆ ก่อนจะบ่นออกมา “ซินน่ะกลัวแทบตาย ตอนเห็นว่ามีผู้ชายนั่งคอตกเสื้อเปื้อนเลือดอยู่ไม่รู้เป็นหรือตาย แถมยังได้ยินว่าโดนยิงมาซินก็ใจไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งพอเห็นหน้าว่าเป็นคุณเฉินซินยิ่งทำอะไรไม่ถูก แต่คุณเฉินยังจะเฉยอยู่ได้ เนี่ยโรงพยาบาลก็ไม่ยอมไปต้องมาลำบากซินทำแผลให้อีก”

“ลำบากมากหรือ” เขายิ้มเจื่อนออกมา “ขอโทษด้วยที่ทำให้ตกใจ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยอาการหนักใจจนคนต่อว่ารู้สึกผิดขึ้นมาเสียเอง อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนเจ็บ และเธอก็ไม่ควรจะบ่นมาก

“ไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอกค่ะ ซินแค่ตกใจแล้วก็เป็นห่วงเฉยๆ ไม่ได้จะต่อว่าหรอกค่ะ แต่แผลก็ไม่ได้ใหญ่จริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าเลือดจะออกมาเยอะขนาดนี้”

เขาก้มลงมองมันอีกครั้ง แน่นอนว่าเมื่อชั่วโมงก่อนตอนโดนมาใหม่ๆ มันน่าจะใหญ่กว่านี้มาก และเขาพนันว่าพรุ่งนี้มันคงสมานตัวกลับมาเป็นปกติ เธอคนนี้จะได้ทำแผลให้เขาเพียงวันนี้แค่วันเดียวเท่านั้น

“เสร็จแล้วค่ะ แต่รอแป๊บนะคะซินจะเอาผ้าไปชุบน้ำมาเช็ดเลือดออกให้” มือบางหอบเสื้อขาวที่เปื้อนเลือดเกือบครึ่งตัวของเขาไปด้วย แม้ท่าทีที่แสดงออกมาจะดูเข้มแข็งคล้ายไม่รู้สึกรู้สาแต่เขารู้ได้ว่าเธอไม่ได้ปลื้มใจเท่าไรนัก ตอนทำแผลก็ทำไปกลั้นใจไป แล้วเสื้อตัวนั้นที่เต็มไปด้วยเลือด กลิ่นของมันคงไม่พึงประสงค์เสียเท่าไร

“ซินทิ้งเสื้อไปไม่ต้องเอาไปซักนะ” เขาพูดเสียงดังไล่หลัง เธอหันหน้าหันกลับมารับคำก่อนจะผลุบหายไปทางหลังบ้าน เพียงครู่ร่างบางนั้นก็กลับออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่ชุบน้ำมาเรียบร้อยแล้ว

เขายื่นมือออกไปเตรียมจะรับมาจัดการตัวเอง

“คุณเฉินยังเจ็บอยู่เดี๋ยวซินเช็ดให้ก็ได้ค่ะ ทีนี้อยากจะนั่งคิดอะไรก็คิดไป”

มือบางนั้นสาละวนเช็ดตั้งแต่ใบหน้าจนลำคอ เช็ดแล้วเช็ดอีกพลางพลิกผ้าไปมา ก่อนจะเลื่อนลงมาด้านล่างโดยเว้นบริเวณแผลที่มีผ้าก๊อซปิดเอาไว้ เขาเลยใช้โอกาสที่ไม่มีอะไรทำนี้มองสำรวจคนตรงหน้า สภาพเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเสียเท่าไร ผมที่มัดไว้หลุดลุ่ยออกมาเธอก็แค่เสยมันออกไปลวกๆ ให้พ้นทาง ใบหน้าก็มีคราบฝุ่นจากกำแพงที่ใช้กำบังตัวเมื่อตอนเกิดเรื่องติดอยู่

“เธอพอจะมีผ้าอีกสักผืนไหมซิน” ชายหนุ่มที่โดนเช็ดหน้าเช็ดตาจนเกลี้ยงเกลาเอ่ยถามขึ้น

“นี่ไงคะซินเอามาสองผืน คุณเฉินตัวก็ใหญ่ เปื้อนก็เยอะ น้ำก็อาบไม่ได้ แต่ซินบอกว่าซินจะเช็ดให้ ซินยังไม่เสร็จเลยคุณเฉินจะเอาไปทำอะไร…” ยังพูดไม่ทันจบดีผ้าผืนเล็กอีกผืนนั้นก็ถูกเขาคว้าไปแล้วมันก็โปะลงบนปากเธอ

มโนชาขมวดคิ้ว ปากจะพูดก็พูดไม่ได้

“เฉยๆ เถอะ หน้ามอมเป็นลูกหมาแล้วยังเห่าเก่งเป็นลูกหมาอีก หิวข้าวใช่ไหม” เขาเอ่ยหน้าตายแต่ดวงตากลับฉายรอยยิ้มละมุนละไม ต่อเมื่อเห็นว่ามโนชาคงไม่บ่นอีกเขาถึงได้ใช้มันเช็ดรอยเปื้อนออกจากใบหน้าของเธอเช่นกัน

สัมผัสของผืนผ้าบนผิวหน้าเธอนั้นนุ่มนวลแผ่วเบาจนผู้หญิงอย่างเธอยังอดอายไม่ได้ เพราะยามเธอเช็ดหน้าให้เขาก็เล่นถูเอาถูเอา ปาดซ้ายป่ายขวาวนไปวนมาด้วยกลัวว่ามันจะไม่สะอาดหมดจด

เมื่อเขาบอกให้เฉย เธอก็นั่งนิ่งปล่อยเขาทำไปอย่างไม่ได้คิดอะไร รอบกายตอนนี้มีเพียงเสียงเปาะแปะให้ฟังได้เพลินๆ ฟ้าฉ่ำฝนยามมันหล่นลงจนพอใจฝนก็ซาเม็ดลงไปเหลือเพียงอากาศเย็นสดชื่นของเวลากลางคืน ความตึงเครียดของสถานการณ์ก่อนหน้าก็คล้ายจะผ่อนคลายและจางหายไปพร้อมกับเม็ดฝนด้วย

มโนชาเหลือบตาขึ้นมอง เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวเพิ่งจะรู้สึกตัวถึงความใกล้ชิด เธอขมวดคิ้วจ้องมองใบหน้าที่ห่างออกไปเพียงไม้บรรทัดกั้นด้วยสายตาครุ่นคิด และเมื่อความคิดนั้นตกตะกอนจนได้ที่ หัวใจก็พลันเต้นกระหน่ำโดยไม่รู้ตัว

ชายหนุ่มเองก็เพิ่งจะรู้สึก เมื่อเสียงฝนสร่างซาจนเงียบเชียบเสียงหนึ่งก็กลับดังแทรกขึ้นมาชัดเจน

ว่ากันว่ามนุษย์นั้นมีพฤติกรรมชอบเลียนแบบ หัวใจมนุษย์เองก็คงมีพฤติกรรมแบบเดียวกัน เมื่อหูของเขาได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้นเป็นจังหวะที่เร็วขึ้นและดังขึ้น หัวใจของเขาก็คล้ายจะเลียนแบบพฤติกรรมนั้น และเริ่มต้นเต้นในจังหวะเดียวกัน

สิ่งที่ลื่นไหลไปอย่างเป็นธรรมชาติก่อนหน้า การต่อล้อต่อเถียงต่อปากต่อคำหยุดชะงักลงทันทีพร้อมกับที่สองคนเริ่มสังเกตเห็นบางอย่าง ขาของเขาและเธอบนโซฟาในตอนนี้แนบชิดติดกัน มือของเขาข้างหนึ่งถือผ้า อีกมือยังประคองใบหน้าของเธอเอาไว้

ส่วนมโนชาเองก็เพิ่งจะรู้สึกว่าแขนข้างหนึ่งของเธอวางอยู่บนตักของเขา ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร ใบหน้าหยกสลักที่โน้มลงมาเช็ดหน้าให้ก็อยู่ห่างไปแค่ลมหายใจกั้น และที่สำคัญเมื่อหลุบตามองด้านล่างลงถึงได้พบว่า เขาคนนั้นกำลังเปลือยอกอยู่เสียด้วย

มโนชาดีดตัวผึงขึ้น ผ้าในมือเธอกระเด็นไปทางหนึ่ง และผ้าในมือเขาก็ไปอีกทาง

“ซินเอาไปซักมาใหม่ก่อนนะคะ” เธอหันหลังพูดออกมาลอยๆ ก่อนจะรีบสาวเท้ากลับไปยังห้องน้ำหลังบ้าน จังหวะของเท้าที่ก้าวเดินไม่ได้น้อยหน้าจังหวะหัวใจที่เต้นระส่ำรัวเร็วอย่างไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย

มโนชาก้มลงซักผ้าซึ่งเปื้อนเลือดสีแดง มันค่อยๆ จางลงเหลือเพียงสีชมพูอ่อนของน้ำที่ไหลวนลงอ่าง ภาพในกระจกตรงหน้าสะท้อนใบหน้าสีแดงจัดสะอาดสะอ้านเพราะถูกเขาจับเช็ดในแบบเดียวกัน และมันยังมีความประหม่าฉายออกมาชัดเจนเสียด้วย

‘ก็แค่ลูกหมาละน่าอย่าคิดไปไกล ที่หน้าแดงๆ อยู่นี่ก็เพราะโดนผ้าถูไง เธอคงไม่ได้เขินเขาหรอกใช่ไหมซิน หรือถ้าจะเขินมันจะแปลกอะไร ก็มีผู้ชายมาโป๊อยู่ตรงหน้านะ ถ้าไม่เขินก็แปลกแล้วสิ’  

หลังจากหาเหตุผลให้ตัวเองเสร็จสรรพถึงได้พยักหน้าหงึกๆ อย่างค่อนข้างพอใจ

‘สิ่งสำคัญคือลมหายใจ’ เพิ่งรู้ว่าประโยคนี้ใช้ได้กับหลายสถานการณ์ คำพูดของเขาผ่านเข้ามาย้ำเตือนก่อนที่เธอจะผ่อนจังหวะหายใจขณะหัวใจเริ่มเต้นช้าลงจนเกือบกลายเป็นปกติ

 



Don`t copy text!