
เปลือกมุกสีชมพู บทที่ 2 : Midnight Mercy เมตตาแห่งเที่ยงคืน
โดย : ขวัญอินทร์
เปลือกมุกสีชมพู โดย ขวัญอินทร์ นวนิยายดราม่าเข้มข้นที่อ่านเอานำมาให้ได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวที่จะแสดงให้เห็นว่าเราอาจไม่เคยมองเห็นเนื้อแท้ของใครได้เลย ถ้าเราเลือกมองแค่เพียงเปลือก ความสำเร็จ ความล้มเหลว และภาพจำที่ผู้อื่นตีกรอบให้ เราจึงไม่ควรด่วนตัดสินใคร เพราะสุดท้ายผลกรรมจะเปิดโปงทุกอย่างไม่ช้าก็เร็ว
ดาร์กรัม น้ำเชื่อมลาเวนเดอร์ น้ำมะนาวสด ลิเคียวร์สมุนไพร น้ำแข็ง
“เหนื่อยชะมัด” ป้อมชัย บาร์เทนเดอร์เจ้าของร้านบาร์จับจิตบ่น ขณะทิ้งตัวลงที่โซฟายาว พลางถอดทักซิโด้ ปลดกระดุมคอ ก่อนแบมือแบเท้าหมดแรง หลังจากปิดร้าน
“นั่นสิคะ คนก็เยอะ ยุ่งก็ยุ่ง นึกถึงเสี่ยแล้วยังโมโหไม่หาย รอบหน้ากลับมาไม่คุยด้วยแล้ว นี่ดีนะที่พี่ป้อมทำเหล้าสูตรพิเศษแบบ จิบเดียวจอด ไม่งั้นแกคงลากมุกไปปล้ำแน่ หื่นอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้” มุกหรือมุกอันดา บาร์เทนเดอร์สาวผมสีชมพูพูดพลาง บ่นเซ็งๆ มือก็ถูตัวขยะแขยงรอยจับของเสี่ย
“ใครใช้ให้แกใส่ชุดแบบนี้มาวะ คราวหลังใส่เสื้อเชิ้ตนะโว้ย โป๊แบบนี้ เสียภาพพจน์บาร์เราหมด”
“มุกขอโทษ มุกผิดเองที่ดันลืมเสื้อคลุม แต่แหม ถึงจะใส่แบบไหน คนจะหื่นมันก็หื่นมั้ยคะ”
มุกอันดาทำจมูกย่น ปนประจบ แต่ก็ไม่อยากโทษตัวเอง ปกติชุดนี้จะมีเสื้อหนังสั้นคล้ายเกราะคลุมอีกชั้น เธอเห็นว่าเหมือนชุดคอสเพลย์นางแมวป่าเลยอยากลองใส่ แต่เพราะต้องขี่มอเตอร์ไซค์มาทำงานเลยต้องเอาชุดมาเปลี่ยนที่ร้านแล้วก็ดันลืมเสื้อคลุมเลยต้องใส่เกาะอกชงเหล้า
ถ้าเป็นบาร์อื่นมันก็ไม่แปลก แต่บาร์จับจิตพี่ป้อมไม่ชอบ เขาบอกเธอตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานแล้วว่าไม่อยากให้แต่งตัวโป๊ เพราะกลัวคนเข้าใจผิดว่าเป็นสาวนั่งดริงก์ชงเหล้าคุยเป็นเพื่อนแขก แต่เราเป็นมากกว่านั้น เพราะเราคือนักศิลปะรังสรรค์เครื่องดื่ม
เธอรู้จักกับพี่ป้อมเพราะแกไปเป็นอาจารย์พิเศษวิชาคอลเทลที่มหา’ลัย จากอาจารย์พิเศษก็กลายมาเป็นรุ่นพี่ ที่ฝึกฝนให้เธอเข้าสู่อาชีพบาร์เทนเดอร์ หรือจะเรียกว่าบาร์เทนดี้ก็ได้
“ไม่รู้ว่าเสี่ยเกิดบ้าอะไรขึ้นมา” บอยบริกรประจำร้านผสมโรงบ่นด้วย เขาเป็นรุ่นน้องอายุแค่ 20 จบปวส.แล้วออกมาหางานทำเพราะฐานะยากจน
“ลูกค้าเยอะด้วยแหละ พี่ไม่มีเวลาคุม ผู้หญิงคนนั้นเลยได้ทีสั่งเอาสั่งเอา ไอ้เราก็นึกว่าจะจ่ายเองที่ไหนได้ลงบัญชีเสี่ย”
เสี่ยชูชัยเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ พวกเราให้ฉายาว่าหนุ่มใหญ่ใจวัยรุ่น เธอมองเขาเหมือนเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่ให้ลองสูตรเหล้า สำหรับบาร์เทนดี้ฝึกหัดถือเป็นการให้เกียรติและท้าทายมาก ถึงแม้ต้องแลกกับการให้เสี่ยชีกอทำเป็นหมาหยอกไก่บ้างแต่ก็คุ้ม เพราะคงไม่มีใครให้เธอฝึกบ่อยๆ เนื่องจากราคาของมันไม่ใช่น้อยๆ
ช่วงแรกที่เปิดร้านใหม่ๆ กลุ่มลูกค้าจะเป็นวัยทำงาน แต่กลุ่มนี้ชอบแบบผับมากกว่าเพราะมีทั้งเหล้าและดนตรี อาหาร บันเทิงเต็มรูปแบบ ประมาณเข้าร้านเดียวเอาใจได้ครบแก๊งว่างั้น ช่วงหลังมานี่ลูกค้าที่ร้านจึงเป็นกลุ่มนักธุรกิจระดับกลาง รายได้จึงเริ่มดีขึ้น โชคดีที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า เพราะเป็นบ้านตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงเจ๊งไปนานแล้ว
เธอหลงใหลการทำค็อกเทลตั้งแต่เด็ก เริ่มจากต้องนั่งเฝ้าพ่อดื่มเหล้าทุกเย็น ตอนแรกก็งอแงบ้างเพราะอยากให้พ่อไปนอนอ่านนิทานให้ฟัง แต่พอเธอพูดแบบนี้ พ่อก็ดันร้องไห้เสียเอง เธอจึงแก้ปัญหาตามประสาเด็กด้วยการหอบผ้าปู พร้อมหมอนหนึ่งใบกับหนังสือนิทานมานอนอ่านข้างๆ พ่อ แต่ดูเหมือนนิทานชีวิตพ่อจะเยอะกว่า เวลาเมาได้ที่เขาก็จะเล่าเรื่องราวล้มเหลวในชีวิตตนเองให้ลูกฟัง
เด็กเก้าขวบแบบเธอจึงฟังแบบเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ต้องฟังเพราะพ่อไม่มีใคร พอเบื่อมากเข้าเธอก็เล่นขายของ ชอบเอาโน่นเอานี่มาผสมเหล้าให้พ่อดื่ม เริ่มจากน้ำอัดลม แล้วก็ไปน้ำมะนาว ลามไปน้ำผลไม้กล่อง พ่อก็ดูมีความสุขกับการได้ชิม คงกลัวว่าถ้าไม่ชิมแล้ว เธอจะลองชิมเอง
บางครั้งเพื่อนพ่อก็มาร่วมวงด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นคนแถวบ้านที่รู้จัก โชคดีที่ตอนนั้นยังไม่มีกฎหมายห้ามเด็กซื้อเหล้า ไม่งั้นพ่อคงเข้าคุกไปแล้ว
มีเพียงป้าจีพี่สาวพ่อที่ด่าน้องชายเรื่องให้ลูกสาวชงเหล้า บอกว่าต่อไปเธอจะต้องขี้เมาเหมือนพ่อแม่ เหมือนพ่อเธอพอเข้าใจได้ แต่เหมือนแม่นี่สิที่เธอไม่แน่ใจเพราะจนถึงตอนนี้เธอยังไม่เคยรู้เลยว่าแม่เป็นใคร แต่ป้าจีก็ด่าให้ยินบ่อยๆ ว่า ‘เธอใจแตกเหมือนแม่’
คำด่าป้าเหมือนการให้พร ทำให้เธอกลายเป็นสาวชงเหล้าประจำบ้าน และจนได้เป็นบาร์เทนดี้ในที่สุด น่าเสียดายที่พอเธออายุสิบหกปี พ่อก็เมาเหล้าขับรถชนเสาไฟฟ้าตายคาที่ ไม่ทันเห็นลูกสาวโตขึ้นมาเป็นบาร์เทนดี้ ผมสีชมพู แบบที่พ่อชอบ
จบมอหกเธอเลือกเรียนสาขาการโรงแรมจุดประสงค์ก็เพื่อเรียนผสมเครื่องดื่มนี่แหละ เคยมีคนถามว่าพ่อตายเพราะเมาแล้วทำไมยังชอบเรื่องเหล้า เธอได้แต่ยิ้มเย็นไม่ตอบอะไร ในใจมันมีคำตอบเป็นหมื่นล้านคำ เธอเชื่อเสมอว่าหากวันนั้นเธออยู่บ้านพ่อจะไม่มีวันเมาและขับรถออกไปทั้งที่ขาดสติแบบนั้น
“คราวหลัง ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก แกก็อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับลูกค้า เข้าใจมั้ย นิ่งไปเลย ปล่อยให้มันพล่ามคนเดียว แกทำแบบนี้คนอื่นจะเข้าใจผิดได้ว่า แกหวงเสี่ยจริงๆ” ป้อมชัยเตือนศิษย์เอกส่งท้าย ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านตอนเกือบตีหนึ่ง
มุกอันดาขี่มอเตอร์ไซค์สกูตเตอร์คันใหญ่สีดำสนิทกลับบ้าน ใช้เวลาไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึง ยิ่งเป็นเวลากลางคืนด้วยแล้วยิ่งถึงเร็ว บ้านของเธออยู่เลยจากตลาดท่าพรุไปเล็กน้อย ซึ่งตลาดนี้ของคุณย่านวลโดยมีป้าจีดูแลอยู่
เธอดับเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ ก่อนเข็นเข้าบ้านเพราะกลัวคุณย่าตื่น แม้พยายามทำให้ทุกอย่างเงียบที่สุด แต่ดูเหมือนคุณย่าจะรู้เวลา ตื่นมาร้องไห้เวลานี้ทุกที คืนนี้ก็เช่นกัน ห้องนอนคุณย่าสว่างโร่ เสียงร้องไห้ดังลอดออกมา มุกอันดาแอบย่นจมูกกับตัวเอง ใจหนึ่งก็อยากทำไม่รู้ไม่ชี้ย่องขึ้นไปนอน แต่ก็กลัวว่าถ้าไม่มีใครไปช่วย พี่เลี้ยงคนนี้อาจจะลาออกเหมือนหลายคนที่ผ่านมา
คุณย่าเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่พ่อเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตอนแรกทุกคนคิดว่าเกิดจากความเสียใจ จนกระทั่งป่วยเป็นโรคพาร์กินสันร่วมด้วย ซึ่งนอกจากมือสั่นแล้วยังมีอาการแข็งเกร็งร่วมด้วย ต้องให้พี่เลี้ยงบีบนวดทั้งกลางวันกลางคืน หากไม่ทำให้คุณย่าก็จะร้องไห้เหมือนเด็ก จนพี่เลี้ยงทนไม่ไหวลาออกไปหลายคน คนล่าสุดคือป้าศรีที่อยู่นานที่สุด และดูแลคุณย่าดีที่สุด
ถ้าคุณมุกไม่ช่วยป้าคงลาออกไปนานแล้ว เพราะเหตุนี้ต่อให้เธอจะกลับดึกหรือเมากลับมาแค่ไหน เธอก็ต้องมาช่วยเพื่อให้ป้าศรีงีบหลับทุกคืน เธอไม่เข้าใจเลยว่าป้าจีจะสร้างห้องเชื่อมบ้านสองหลัง แล้วย้ายคุณย่าไปอยู่บ้านหลังนั้นทำไม ในเมื่อทั้งป้าจีกับพี่ฟ้าก็ไม่เคยลงมาดูคุณย่าตอนดึกๆ แต่ก็นั่นแหละ สองแม่ลูกนั้นมีข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองดูดีเสมอ
“คุณมุกกลับมาแล้วค่ะ คุณนวล” ป้าศรีบอก หญิงชราวัยเจ็ดสิบห้าปี ร่างกายผอม ผมตัดสั้น สีขาวโพลน ใบหน้าที่กำลังร้องไห้เหมือนเด็กก็หยุดชะงักลง ในพริบตาเหมือนเด็กน้อยเห็นแม่กลับมาบ้าน เมื่อเห็นมุกอันดาเยี่ยมหน้าเข้ามาให้เห็นว่ากลับมาแล้ว จากนั้นเธอก็จะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะกลัวคุณย่าติดเชื้อโรค
เธออาศัยอยู่กับป้าจีก็จริง แต่ก็อยู่กันคนละหลัง ประตูทางเข้าคนละทาง บ้านของเธอเป็นบ้านหลังเดิมของปู่ย่า หลังจากพ่อเสียชีวิตป้าจีกับพี่ฟ้าก็ย้ายมาอยู่ด้วย จากนั้นก็สร้างบ้านหลังใหม่ใหญ่โตในพื้นที่ว่างข้างบ้าน บ้านป้าจีทำกำแพงสูงจนแม้แต่แมวยังขี้เกียจปีนขึ้น ประตูรั้วอยู่ในซอยส่วนตัวจึงใช้ทางเข้าออกทางนั้น ส่วนเธอใช้หน้าบ้านหลังเดิม ที่อยู่ติดถนนใหญ่ใกล้ตลาด
ต่อมาป้าจีทำห้องพักคุณย่าใหม่ นัยว่าจะได้ดูแลคุณย่าได้สะดวก เธอเลยได้อยู่บ้านหลังนี้คนเดียว ห้องคุณย่าอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านสองหลัง มีทางเชื่อมเป็นเหมือนสะพานเล็กๆ ทั้งด้านบ้านป้าจีและบ้านหลังเดิม ด้านหน้าห้องมีบันไดทางขึ้นเพื่อสะดวกในการรับแขก
ดังนั้นการกลับมาอยู่บ้านคราวนี้ ชีวิตเธอจึงค่อนข้างอิสระ ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับป้า เข้าออกเวลาไหนไม่มีใครรู้ ช่วงกลางวันเธอนอนเป็นผัก ตื่นมาตอนเที่ยงกินข้าวเสร็จ ก็ไปจ่ายตลาดเตรียมของสดไปใช้ในบาร์
“เป็นอะไรอีกคะคุณย่า” เธอเดินกลับมาอีกครั้ง คุณย่ายังคงตะเบ็งเสียงร้องไห้จนใบหน้าแดงก่ำ ตัวเกร็งแข็งเหมือนเป็นตะคริว โดยที่ป้าศรีฟุบหลับอยู่ข้างเตียงมือยังนวดคาขาคุณย่า เธอปรับให้คุณย่าตะแคงมาอีกด้านเพื่อคลายเมื่อย ตรวจดูแพมเพิร์สว่าป้าศรีเปลี่ยนใหม่ให้หรือยัง เพราะเคยมีพี่เลี้ยงบางคนไม่ยอมเปลี่ยนจนเกิดอาการติดเชื้อ การกระทำนั้นทำให้ป้าศรีงัวเงียตื่นขึ้นมา ก่อนยิ้มแก้เก้อที่เผลอหลับไป
“คุณมุกเข้ามาเมื่อไหร่คะ”
“ป้านอนต่อเถอะ มุกช่วยสักสองชั่วโมง” มุกอันดาบอก ตอนนี้เธอก็ง่วงมาก กะว่านวดเสร็จก็ฟุบหลับข้างเตียงนี่แหละ ดีหน่อยที่ต่อให้อดนอนยังไงเธอก็ตื่นสายได้ เลยไม่ต้องกังวลเรื่องนอนไม่พอ
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ ช่วงนี้คุณนวลร้องไห้ตลอดเวลาเลย” ป้าศรียกมือไหว้ทั้งที่อายุเยอะกว่า บ่นอุบก่อนล้มตัวลงนอนบนเตียงขนาดสามฟุตที่วางอยู่ตรงมุมห้อง
คุณย่านวลเริ่มคลายอาการเกร็ง แต่ใบหน้ายังคงเหยเกเพราะความปวด ดูน่าสงสาร อาการคุณย่าดูทรุดลงกว่าเดิมมาก เพราะเหตุนี้เวลาป้าศรีบอกว่า คุณย่าคอยเธอ เธอจึงไม่เชื่อ เพราะถ้าแค่เห็นเธอกลับมาคุณย่าควรจะหลับต่อได้แล้ว เห็นทีพรุ่งนี้จะต้องคุยกับป้าจีเรื่องพาคุณย่าไปหาหมอ เผื่อว่าจะมียานอนหลับให้ท่านช่วยหลับได้บ้าง
เวลาเกือบตีสามป้าศรีก็ตื่นขึ้น พอๆ กับที่มุกอันดาเริ่มง่วงจนร่วง คุณย่าสงบลงไม่รู้ว่าเหนื่อยหรือเพราะสงสารเธอกันแน่
“ไปนอนเถอะคุณมุก เดี๋ยวป้าเฝ้าต่อเอง” ป้าศรีตื่นขึ้นมาปลุกหญิงสาวซึ่งฟุบหลับอยู่ข้างเตียงคุณนวลพรรณ
“ป้าจีรู้หรือเปล่าว่าคุณย่าร้องไห้หนักขึ้น” มุกอันดาถามขณะบิดตัวไปมา
“บอกแล้วค่ะ แต่คุณฟ้าบอกว่าเสร็จจากช่วยงานบุญบ้านนายกกรณ์แล้วค่อยพาไปค่ะ”
“ยังจะห่วงเรื่องทำบุญเอาหน้าอีก” มุกอันดาบ่นอุบก่อนเดินออกไปจากห้อง เรื่องเอาหน้าก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องยกให้สองคนแม่ลูกนั่น
เธอไม่ถูกกับป้าจี รวมถึงฟ้าพราว ลูกสาวคนเดียวของป้าจี ตั้งแต่จำความได้ เรียกว่าศรศิลป์ไม่กินกัน ก็จะให้กินยังไง ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ป้าจีต้องด่าพ่อซึ่งก็คือน้องชายของแกนั่นแหละ ด่าพ่อไม่พอยังกระทบมาถึงลูก ตอนเป็นเด็กเธอฟังไม่เข้าใจ แต่ก็รู้โดยสัญชาตญาณว่าป้าจีกำลังพูดไม่ดีเรื่องพ่อแม่เธอ
ตอนแรกเธอก็เชื่อฟังป้าดีอยู่หรอก แต่พอโดนด่ามากๆ เข้าเธอจึงก่อขบถ ทำในสิ่งตรงข้ามที่ป้าสอน หรือพูดง่ายๆ คือยิ่งห้ามคือยิ่งยุ โดยเฉพาะถ้าบอกให้เธอเอาอย่างฟ้าพราว เธอก็จะทำตรงข้ามทันที ไม่เว้นแม้แต่ทรงผมสีชมพู ที่เธอจงใจให้ตรงข้ามกับพี่ฟ้า หญิงสาวผู้มีผมยาวดำขลับ เป็นเงางาม เหมือนกุลสตรี
“มุกไปนะย่า อย่าร้องอีกล่ะ ป้าศรีไม่อยู่ขึ้นมา ต้องหาพี่เลี้ยงใหม่ไม่รู้ด้วยนะ” มุกอันดาแกล้งขู่คุณย่านวล ไม่จำเป็นต้องพูดปลอบใจว่ามุกเลี้ยงเอง เพราะยังไงคุณย่าก็คงไม่ฝากผีฝากไข้ไว้กับเธอ
เธอไม่ใช่หลานรักคุณย่า แต่ถึงไม่เคยแสดงความรักท่านก็ไม่เคยดุด่าเธอเหมือนป้าจี เธอเป็นเหมือนเด็กในบ้านที่ท่านอุปการะเสียมากกว่า และถ้าจะมีแววตาอ่อนโยนเผื่อแผ่มาถึงเธอบ้างก็แค่ตอนที่ ลูกชายท่านภูมิใจในตัวเธอ เธอจึงได้เรียนรู้ว่าตราบใดที่เธอไม่ทำให้พ่อทุกข์ เธอก็ทำให้คุณย่าเป็นสุขได้เช่นกัน