Run Away หัวใจไกลรัก บทที่ 3 : แรกพบสบตา

Run Away หัวใจไกลรัก บทที่ 3 : แรกพบสบตา

โดย : ภัสรสา

Loading

Run Away หัวใจไกลรัก นิยายออนไลน์เรื่องล่าสุดของ ภัสรสา ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอยากอ่านต่อ อดใจรออีกนิด เนื่องจาก Run Away หัวใจไกลรัก อยู่ในขั้นตอนการรวมเล่มกับสำนักพิมพ์ภัสรสาค่ะ  

……………………………………………………………….

-3-

 

ศรุตขนหลักฐานทุกอย่างที่มีมาให้มิรันตาดูทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะเป็นอัลบั้มรูป มีของขวัญและการ์ดอวยพรอยู่ไม่กี่ชิ้น หลังปล่อยให้มิรันตาค่อยๆ ไล่ดูไปทีละอย่างๆ อยู่ครู่ใหญ่ ศรุตก็เอ่ยคล้ายจะดักคอ “คงไม่คิดว่าภาพทั้งหมดจะตัดต่อและอัดล้างทันในคืนเดียวหรอกนะ”

แน่ละ เพราะอยู่ๆ ตอนบังคับให้มิรันตากินข้าวเช้า หญิงสาวก็พูดขึ้นมาว่าทั้งรูปแต่งงานและทะเบียนสมรสอาจเป็นของปลอม เป็นภาพตัดต่อ ศรุตอาจกำลังหลอกลวงให้เธออยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ได้กลับไปหาสามีและลูกเธอก็เป็นได้

ดังนั้นพอมื้อเช้าจบลง วราแยกตัวไปเก็บล้างภาชนะ ศรุตจึงอัดข้อมูลทุกอย่างให้มิรันตา รวมไปถึงเปิดให้ดูโซเชียลเน็ตเวิร์กของมิรันตาที่เขาปิดไว้ชั่วคราวอีกด้วย ไม่วายดักคอไปอีก “ของพวกนี้หลอกไม่ได้แน่นอน ทุกรูปที่โพสต์มีวันเวลากำกับ”

ต้องให้เวลามิรันตาอีกพักใหญ่ กว่าหญิงสาวจะมองหน้าศรุตอีกครั้ง กระนั้นก็ยังนิ่งเงียบ ไม่อาจพูดคำใด จนศรุตต้องเป็นฝ่ายเริ่มการสนทนาเอง

“ทีนี้…คุณบอกผมมา บ้านสามีกับลูกที่คุณว่าอยู่ไหน ผมจะพากลับไป เราจะได้คุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

มิรันตาตอบรวดเร็ว “อยู่ที่…” ทว่าก็ได้แค่นั้น เพราะพอจะระบุพิกัดจริงๆ หญิงสาวกลับไม่รู้

เธอไม่รู้เลยว่าสามีกับลูกของเธออยู่ไหน บ้านเขาอยู่แห่งหนตำบลใด เธอไม่เคยรู้มาก่อน รู้แค่… “มันเป็นรีสอร์ต”

ศรุตคิ้วขมวด “มีรีสอร์ตเป็นล้านที่ในไทย”

“ล้านที่เลยเหรอคะ”

คำย้อนถามซื่อๆ นั่นทำศรุตนิ่งอึ้ง เขาแค่ประชด แต่เมืองไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว บอกแค่มันเป็นรีสอร์ตเขาไม่มีทางหาเจอแน่

“สามีฉันทำอาหารให้คนมาพักกินเองค่ะ”

หงุดหงิด! มิรันตาเป็นเมียเขา แต่ดันพูดถึงสามีที่เป็นผู้ชายคนอื่นเนี่ยนะ ศรุตกัดฟันแน่น ระงับอารมณ์ตัวเอง พยายามผลักดันและถึงขั้นถีบให้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ เจ้าของทำอาหารเองด้วย ก็คงเป็นรีสอร์ตเล็กๆ ที่ทำธุรกิจแบบครอบครัว…

บ้าเอ๊ย! มันเป็นใครวะ ถ้ารู้ตัวเขาจะฆ่ามัน!

ความพยายามในการใช้เหตุผลของศรุตทำให้เขาเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นคุณมีเบอร์ติดต่อมัน…เขาไหม”

มิรันตานิ่งเงียบไปอีก เบอร์ติดต่อ…ไม่มี นั่นสิ เธอไม่มีเบอร์ติดต่อเขา “ก็…เราอยู่ที่เดียวกันตลอดค่ะ ไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ แล้วฉันก็ไม่มีโทรศัพท์ด้วยค่ะ”

ศรุตถอนใจเฮือก เอ่ยถามเพื่อหาเบาะแสต่อ “สามีคุณชื่ออะไร รีสอร์ตที่ว่าชื่ออะไร เผื่อค้นจากเน็ตได้”

“สามีฉันชื่อศิราค่ะ รีสอร์ต…เอ่อ ไม่ทราบค่ะ น่าจะชื่อศิราเหมือนกันมั้งคะ”

ศรุตยื่นโทรศัพท์ที่เปิดกูเกิลไว้ให้มิรันตา “ชื่อสะกดยังไง”

พออีกฝ่ายพิมพ์เสร็จ ศรุตก็บอกให้พิมพ์อีกข้อมูลหนึ่งต่อ “นามสกุลด้วย”

“นามสกุล…” มิรันตาพึมพำแผ่วเบา ก่อนนิ่วหน้าแล้วหันไปมองศรุตคล้ายจะขอความช่วยเหลือ “ฉันไม่รู้ค่ะ”

พอกันที! “แล้วคุณไม่รู้สึกแปลกเลยเหรอ ผมฟังแล้วยังว่าแปลก คุณไม่รู้ว่าบ้านตัวเองอยู่ไหน ไม่มีเบอร์โทรสามี นามสกุลสามีคุณคืออะไรคุณยังไม่รู้เลย เหมือนคุณเพิ่งเกิดมาแค่ไม่กี่วันแล้วก็ยังจำข้อมูลทุกอย่างได้ไม่หมด”

“อ๋อ ค่ะ…”

เสียงตอบรับราบเรียบนั่นทำเอาศรุตชะงัก พอฟังต่อก็ยิ่งหัวใจเต้นรัว

“สัก…สามเดือนก่อน ฉันความจำเสื่อมค่ะ”

เขารู้สึกเหมือนเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเพียงประโยคนั้น สามเดือน…เป็นช่วงเวลาที่มิรันตาหายตัว หรือจะเป็นอย่างที่แจ็คว่า มิรันตาอาจตั้งใจหนีไปแค่ไม่กี่วันเพราะความโกรธหรืออาจเพราะอยากให้เขาไปง้อ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้มิรันตาความจำเสื่อมและกลับมาหาเขาไม่ได้ ไม่ใช่เพราะหนีไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น ไม่ใช่เพราะหมดรักเขา

“คุณจะพาฉันกลับบ้านได้หรือยังคะ”

“ผมจะพากลับได้ยังไงถ้าคุณไม่รู้ว่าบ้านคุณอยู่ที่ไหน”

“แต่…คุณเป็นลูกค้าของสามีฉันไม่ใช่เหรอคะ”

“ไม่ใช่!” ศรุตกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด แต่พอเห็นสีหน้าแววตาหวั่นหวาดของมิรันตาก็ปรับท่าทีและน้ำเสียงให้ดีขึ้น “สามเดือนก่อนผมเป็นสามีคุณ แล้วอยู่ๆ คุณก็หายไป พอคุณกลับมาอีกครั้งคุณก็มาบอกว่าคุณเป็นภรรยาคนอื่น แล้วก็มีลูกชายด้วย…กี่ขวบแล้วล่ะ”

“ห้าเดือนค่ะ”

ศรุตถึงกับขึ้นเสียงอีกครั้ง “มันเป็นไปไม่ได้ ห้าเดือนก่อนคุณยังอยู่กับผม แล้วก็ไม่ได้ท้องใกล้คลอดแน่”

มิรันตานิ่งงัน ในหัวสับสนอลหม่านจนรู้สึกว่าสมองบีบรัดตัวเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ พอเจ็บเกินจะทนไหวก็จำต้องหลับตา ยกมือขึ้นบีบขมับตัวเองหนักๆ ถอยหนีทว่าไม่พ้นมือใหญ่ที่จับแขนไว้

“ปวดหัวเหรอ…”

มิรันตาพยักหน้ารับ ขืนตัวเองไว้เมื่ออีกฝ่ายรั้งให้เธอลุกยืน

“ผมจะพาคุณไปหาหมอ”

หมอ…และเขาใช้คำว่าพาไป ไม่ใช่ตามหมอมา มิรันตามองหน้าศรุต เอ่ยถาม “ฉันจะได้ไปโรงพยาบาลเหรอคะ”

ซึ่งศรุตก็พยักหน้า พูดอย่างจะระบายอารมณ์ “หมอคงช่วยได้ เผื่อคุณหาย เรื่องบ้าๆ นี่จะได้จบซะที”

“คุณจะพาฉันออกไปนอกบ้านเหรอคะ”

“ใช่สิ ไปโรงพยาบาล…ทำไม มีอะไรหรือเปล่า” ศรุตคิดไปว่าหญิงสาวอาจอยากแวะที่ไหนจึงถามย้ำเพื่อความแน่ใจ หากเมื่อได้ยินคำตอบก็ต้องนิ่งอึ้งไป

“ปกติสามีฉันจะตามหมอเข้ามาให้ค่ะ คุณลุงก็บอกไว้ว่าฉันยังไม่ควรออกจากบ้าน”

คุณลุง? “คุณลุงอะไร ชื่ออะไร”

“ชื่อบารมีค่ะ”

บารมี…ให้ตายสิ ศรุตไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้ รวมไปถึงคนรู้จักของมิรันตาเท่าที่เขารู้ก็ไม่มีชื่อนี้ด้วย แต่คนชื่อบารมีรวมไปถึงศิราต้องรู้ว่ามิรันตาเป็นใครชื่ออะไร ไม่อย่างนั้นมิรันตาคงไม่รู้จักชื่อตัวเอง…หรือว่ามันมีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น เช่นถ้าคิดให้เป็นหนังไซไฟ มิรันตาอาจไม่ได้ความจำเสื่อม แต่ถูกใครสักคนพาไปล้างสมองแล้วสร้างความจำใหม่ให้ แต่คิดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ศรุตดึงตัวเองกลับมาที่อีกความสงสัยหนึ่ง “ทำไมต้องไม่ให้คุณออกจากบ้าน”

“เห็นว่าไม่อยากให้อะไรมากระทบ อาการฉันอาจจะแย่ลง”

บ้าสิ! ทำไมฟังแล้วศรุตรู้สึกเหมือนมิรันตาถูกล่อลวงเพื่อกักตัวไว้ ความคิดว่าสามีกับลูกอาจเป็นเพียงแค่จินตนาการของมิรันตาดูเป็นไปได้น้อยลงทุกที แล้วพอคิดว่าไอ้คนที่ฉวยโอกาสแสดงตัวเป็นสามีจะฉวยโอกาสอะไรกับมิรันตาบ้าง ศรุตก็ต้องกำมือแน่น กัดฟันจนเจ็บเหงือกไปหมด…อย่าให้เจอ…อย่าให้เจอ

แต่…ถ้าเขาพาไปแล้วอาการมิรันตาแย่ลงจริงๆ ล่ะ ความกังวลนั้นทำให้ศรุตลองถามมิรันตา “แล้วคุณคิดยังไง กลัวหรือเปล่าถ้าต้องออกจากบ้าน”

แววตาของมิรันตากลอกไหวไปมา ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าแล้วบอกหนักแน่น “ฉันอยากไปหาหมอค่ะ ฉันอยากหาย อยากจำทุกอย่างได้ จริงๆ ฉันอาจจะรู้ก็ได้ว่าบ้านอยู่ไหน เบอร์สามีเบอร์อะไร ถ้าฉันจำได้ฉันจะได้กลับบ้าน…ฉันคิดถึงลูก”

ไม่ใช่ลูกเราแน่นอน! ศรุตห้ามตัวเองไว้ได้ทันก่อนตะโกนประโยคนั้นใส่มิรันตา เก็บสะกดความเกรี้ยวกราดโกรธาเอาไว้ภายใน สูดลมหายใจเข้ายาวลึก แล้วลุกเดินพามิรันตาไปยังรถเพื่อพาไปหาหมอที่ให้เลขานุการหาข้อมูลและนัดหมายไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก็อยากให้มิรันตาหายและจำทุกอย่างได้เหมือนกัน ไม่ต้องหายขนาดจำได้ทั้งหมดหรอก เอาแค่จำได้ก่อนก็ได้ว่าสามีตัวเองเป็นใคร เห็นแก่สภาพจิตใจของเขาเถอะ!

ศรุตนั่งอ่านเอกสารทั้งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจัดไว้ให้ หลังจากพาไปหาหมอและได้รับคำวินิจฉัยว่ามิรันตามีอาการของโรคแอมนีเชีย (Amnesia) ประเภทเรโทรเกรดแอมนีเชีย (Retrograde Amnesia) ซึ่งผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการรื้อฟื้นความทรงจำ นั่นคือจำเรื่องราวแต่หนหลังไม่ได้ แต่ยังสามารถจำเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ได้ปกติ ไม่เจอความผิดปกติด้านอื่น ไม่พบว่ามีการรับรู้อื่นๆ ที่ผิดปกติอีก ดังนั้นเรื่องสามีและลูกชายที่ศรุตไม่รู้จัก จึงไม่สามารถฟันธงได้ว่าเป็นสิ่งที่มิรันตาจินตนาการขึ้น แล้วก็ยังฟันธงไม่ได้อยู่ดีว่ามีตัวตนจริงไหม

ศรุตให้หมอตรวจอย่างละเอียด ซึ่งหมอเองก็แนะนำด้วยเพื่อจะได้รู้ว่าอาการนี้มีสาเหตุจากอะไร เพราะมีสาเหตุได้หลากหลาย ทั้งสมองได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรง หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อ หรือการใช้ยาบางอย่าง ถ้ารู้สาเหตุจะทำให้การรักษาง่ายขึ้น

โชคดีที่การตรวจเอ็มอาร์ไอและผลตรวจเลือดไม่พบอะไรผิดปกติ ศรุตเล่าให้หมอฟังว่าตอนพบมิรันตาหญิงสาวไม่หายใจ เขาต้องปฐมพยาบาลช่วยชีวิตขึ้นมา หมอบอกว่าสมองที่ขาดออกซิเจนชั่วคราวนั้นอาจเป็นสาเหตุของการสูญเสียความทรงจำได้ และอีกครั้ง หมอไม่แน่ใจว่าเรื่องลูกกับสามีมาได้อย่างไร อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในระหว่างสามเดือนนั้น หรือเกิดเพราะความเสียหายของสมองที่ยังตรวจไม่เจอ

โรคนี้มักหายไปเองโดยไม่ต้องได้รับการรักษา แต่หมอได้ให้ยารักษาอาการข้างเคียงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่นปวดหัวหรือคลื่นไส้อาเจียน

หลังตรวจเฉพาะทางเรียบร้อยแล้ว ศรุตพามิรันตาไปพบชลดา อายุรแพทย์ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นแพทย์ประจำตัวเพราะดูแลรักษากันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งใจอยากให้ตรวจสุขภาพและร่างกายของมิรันตาให้ละเอียดรอบด้านที่สุด และยังอยากปรึกษาเรื่องการตั้งครรภ์ เขาเกรงว่าถ้ามิรันตาเกิดแท้งขึ้นมาและไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดีพอจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของหญิงสาวในระยะยาว…

และนั่นทำให้เขาพบความจริงบางอย่าง

ศรุตหลับตาลง พักสายตาจากข้อมูลทางการแพทย์ และอยากพักจิตใจตัวเองให้คลายจากความสับสนคับข้องใจ

ทำไมมิรันตาถึงทำแบบนี้กับเขา

“เห็นคุณรุตบอกว่าคุณรันไม่ได้อาการหนักไม่ใช่เหรอคะ”

ศรุตหันไปหาวราซึ่งเดินถือถาดใบเล็กเข้ามา แก้วสองแก้วที่วางอยู่บนถาดนั้นเดาได้ว่าเป็นนมอุ่นกำลังดี ส่งยิ้มเหนื่อยอ่อนให้แล้วพยักหน้ารับ

“แล้วคุณรุตเครียดอะไรคะ”

ศรุตก้มหน้า ไม่อยากบอกความกังวลของตน เพราะนั่นอาจไม่ดีต่อมิรันตาด้วย แต่พอมองหน้าวรา ระลึกได้ว่าเขากับวรารู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ วราทำงานเป็นแม่บ้านให้แม่มาตั้งแต่ก่อนเขาเกิด กระทั่งแม่ตายก็เป็นวราที่ดูแลและอยู่เคียงข้างเขา และอยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้

ความไว้วางใจที่มีต่อวราทำให้ชายหนุ่มเอ่ยปาก “รันโกหก…เรื่องท้อง”

วราถึงกับร้องเสียงหลง “หือ…” ก่อนนึกได้ว่าคนที่ตนกำลังจะพูดถึงอยู่ในห้องเดียวกันมีแค่เพียงผนังกั้น จึงลดเสียงลง “โกหกเหรอคะ…ทำไมกัน”

“ผมก็ไม่รู้ ผมถามป้าหมอว่าถ้าผู้หญิงแท้งจะต้องดูแลยังไงบ้าง ป้าหมออธิบายแล้วก็ถามว่าผมถามเผื่อใคร คิดว่าผมมีเมียน้อยซ่อนไว้ ผมแน่ใจว่าป้าหมอไม่รู้เรื่องรันท้อง”

นั่นหมายความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะมิรันตาบอกเขาว่าชลดาเป็นคนโทร.มาส่งข่าวเรื่องผลตรวจสุขภาพที่บอกว่าหญิงสาวตั้งครรภ์

วรามีท่าทีครุ่นคิด ก่อนพูดในสิ่งที่ตนก็สำรวจเบื้องต้นไว้แล้ว “นั่นสิคะ คุณรันถึงไม่มีสัญญาณของคนท้องหกเดือนเลย”

ศรุตยกสองมือขึ้นถูหน้าตัวเองแรงๆ “ผมไม่เข้าใจ รันโกหกทำไม”

“แต่คุณรุตคงไม่คิดจะถามคุณรันตอนนี้ใช่ไหมคะ”

แน่นอน ชายหนุ่มส่ายหน้าทันที “ไม่ หลังไปหาป้าหมอรันดูแย่กว่าเดิม เหมือนพอยิ่งแน่ใจว่าผมพูดความจริง และสามีกับลูกที่รันพูดถึงเป็นเรื่องโกหก รันก็เครียด ซึม ตอนนั่งรถกลับก็เลือดกำเดาไหล กินอะไรก็อ้วกออกหมด ถามไปจะยิ่งทำให้ปวดหัวตายเปล่าๆ”

วรายิ้ม พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ดีแล้วค่ะ แล้วจริงๆ ป้าว่าโชคดีมากแล้วที่คุณรันไม่ได้ท้อง ไม่ได้แท้ง ไม่อย่างนั้นคุณรุตจะยิ่งรู้สึกแย่กว่านี้”

ใช่ เขาจะทำใจอย่างไรถ้าต้องรู้ว่าสูญเสียลูกคนแรกไป แม้มิรันตาจะบอกว่าเป็นลูกคนอื่นก็เถอะ

“แล้วคุณรุตคุยกับตำรวจหรือยังคะ”

ศรุตพยักหน้า “ผมโทรบอกตำรวจที่ดูแลเรื่องรันว่าเจอรันแล้ว สภาพไหนยังไง บอกหมด แต่พอบอกว่ารันความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้ เขาก็ว่าถ้ารันจำได้เมื่อไรค่อยว่ากัน”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจหลังประโยคนั้น ก่อนวราจะเสนอ “ถ้าแบบนั้นช่วงนี้คุณรุตก็อย่าเพิ่งพาคุณรันไปไหนเลยนะคะ อยู่แต่ในบ้านนี่ไปก่อน”

“ผมก็คิดแบบนั้น”

วรายิ้มอย่างเบาใจที่ศรุตเห็นตรงกันกับเธอในเรื่องนี้ เอ่ยเตือน “คุณรุตทานนมเลยนะคะ อุ่นกำลังดี อย่าลืมให้คุณรันทานด้วย คืนนี้ป้าจะไปนอนห้องข้างๆ นี่ คิดว่าคุณรันน่าจะโอเค มีอะไรก็เรียกป้าได้เลย”

“ป้าวรา” ศรุตออกปากเรียกคนที่กำลังจะผละไปไว้ทันที เอ่ยบอกความคิดเห็นของตน “ป้าวราย้ายมาอยู่กับผมก่อนดีไหม”

วราส่งยิ้มให้อย่างเข้าใจและแสดงความเห็นใจด้วยอยู่ในที หากก็จำต้องส่ายหน้า “ไม่ดีกว่าค่ะ ป้าก็ห่วงบ้านห่วงลูกหลานป้า ป้ามานอนเป็นเพื่อน ตีสี่ตีห้าป้าทำอาหารเช้าไว้ให้แล้วกลับบ้าน เย็นๆ ค่อยมาอีกที”

“ผมอยากให้ป้ามาอยู่เป็นเพื่อนรัน”

วรายิ่งส่ายหน้าแรงขึ้น “ไม่ดีหรอกค่ะ มีป้าอยู่คุณรันจะยิ่งไม่ยอมคุยกับคุณรุต อีกอย่างคนที่ควรจะอยู่เป็นเพื่อนคุณรันก็คือคุณรุต คนที่จะทำให้คุณรันหายความจำเสื่อมได้ดีที่สุดไม่ใช่ป้าแน่ๆ”

ศรุตยิ้มเฝื่อน ก่อนพยักหน้ายอมรับ ไม่พยายามกล่อมวราอีก ลุกเดินไปส่งวราถึงหน้าประตู ก่อนกลับมานั่งอ่านเอกสารต่อ ครู่เดียวก็ต้องลุกพรวดไปเปิดประตูห้องน้ำอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงโครมคราม เห็นมิรันตานั่งพับเพียบอยู่กับพื้นจึงรีบเข้าไปประคอง หากมิรันตากลับถอยหนีแล้วลนลานใช้ผ้าขนหนูที่กำอยู่ปิดบังลำตัวเปลือยเปล่า ท่าทางนั้นทำให้ศรุตเพิ่งนึกได้เหมือนกันว่านี่ช่างเป็นภาวะล่อแหลมเหลือเกิน

เขาเป็นผู้ชาย มีความรู้สึก และมีมากกับผู้หญิงที่เขารัก หรืออย่างน้อยก็เคยรัก

หากการที่มิรันตางอตัวเข้าหากัน ลักษณะเหมือนคนกำลังได้รับความเจ็บปวดบางอย่างทำให้ศรุตลืมทุกอย่างทันที รีบลุกไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาพันรอบตัวมิรันตาแล้วรั้งร่างเล็กขึ้นพาออกจากห้องน้ำ โชคดีว่าแวบแรกมิรันตาคงตกใจเกินกว่าจะทันคิดอะไร เพราะหญิงสาวเพิ่งมาดิ้นรนเอาตอนออกจากห้องน้ำแล้ว ไม่ต้องเสี่ยงต่อการลื่นล้มหัวกระแทกไปอีก

ศรุตวางมิรันตาลงกับพื้น และต้องรีบรั้งไว้อีกเมื่ออีกฝ่ายเซถลาไป ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องบังคับกึ่งประคองให้มานั่งบนเตียง เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ “ปวดหัวมากใช่ไหม”

มิรันตาพยักหน้ารับ หน้าตายังดูย่ำแย่ ศรุตจึงผละไปหยิบยาบรรเทาอาการปวดมาติดมือไว้ ทิ้งช่วงครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยถาม “ต้องใช้ยาไหม”

มิรันตาส่ายหน้า ศรุตเห็นแล้วยิ้มได้นิดๆ “ขนาดลืมหมดทุกอย่างก็ยังกินยายากเหมือนเดิม”

ศรุตชะงักไปเมื่อคนกินยายากมองหน้ากันนิ่ง ก่อนเอ่ยถามเสียงแผ่วในหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดๆ ก่อนหน้านี้เลย

“เราแต่งงาน เป็นสามีภรรยากันจริงๆ ใช่ไหมคะ”

ศรุตถอนใจยาว ก่อนพยักหน้า ตอบรับเสียงเบา “จริง”

“แล้วพี่ศิรากับลูก…”

“นั่นผมไม่รู้ ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นจริง หรือสมองคุณเล่นตลกด้วยซ้ำ”

มิรันตาส่ายหน้าทันที “ไม่ค่ะ มันจริงแน่นอน”

“เรื่องระหว่างเราก็จริง”

มิรันตานิ่งไปก่อนพยักหน้ารับ ทุกอย่างแวดล้อมบอกเธอแบบนั้น เธอไม่คิดว่าเขาจะสร้างเรื่องโกหกได้ใหญ่โตขนาดไปดึงทุกคนที่รู้จักเธอมาโกหกด้วย และจะว่าไป…ชีวิตของมิรันตาฟากนี้ก็มีรายละเอียดมากกว่ามิรันตาที่มีสามีและลูกวัยห้าเดือนเสียอีก หญิงสาวมองหน้าศรุต คิดย้อนไปว่าเรื่องราวระหว่างเขากับเธอจะเป็นมาอย่างไร แต่เมื่อพบแต่คำว่า ‘ไม่รู้’ จึงตัดสินใจเอ่ยถาม “แล้ว…เราเจอกันได้ยังไง”

ศรุตนึกทบทวนอยู่ครู่ กำลังจะอ้าปากเล่าให้ฟัง แต่พอเห็นร่างเล็กห่อตัวเข้าหากันและสั่นนิดๆ คงเพราะอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศตอนนี้ไม่เหมาะกับคนที่กำลังตัวเปียกและตัวเปล่า จึงบอกไปเสียงห้วน “ใส่เสื้อผ้าก่อนเถอะ”

ใช่ ควรใส่ก่อนเขาจะ…ห้ามตัวเองไม่ได้

ศรุตผละไปเพิ่มอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ แล้วเดินไปยังเอกสารที่อ่านทิ้งไว้ ถึงหน้าที่บอกพอดีว่าการพาผู้ป่วยไปเจอสภาพแวดล้อมเดิมๆ ผู้คนที่เคยรู้จักก็อาจเป็นการช่วยกระตุ้นความทรงจำที่ดีอีกทาง เพราะฉะนั้นการเล่าความหลังของเขาก็อาจไม่เสียเวลาเปล่า ศรุตอ่านเอกสารไปเรื่อยๆ กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง

“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

ศรุตหันมา พยักหน้ารับ หันไปหยิบแก้วนมส่งให้มิรันตาซึ่งรับไปแต่โดยดี หยิบของตัวเองมาถือไว้ตั้งใจเล่าไปจิบไป และพอเห็นหญิงสาวยืนนิ่งจึงชี้ไปยังเดย์เบดใกล้ๆ กัน เมื่อมิรันตานั่งลงแล้วจึงเปิดปากเล่า และเขาเริ่มต้นด้วยคำว่า…

“เป็นความบังเอิญ”

 

ศรุตกำลังเริ่มวางแผนว่าพักร้อนครั้งแรกของตนในครั้งนี้จะไปที่ไหนดีตอนประตูห้องถูกเคาะ ศรุตส่งเสียงอนุญาตและได้เห็นธุรการประจำบริษัทเปิดเข้ามา

“มีของมาส่งคุณรุตค่ะ”

ศรุตรับซองที่ยื่นมาพร้อมกล่าวขอบคุณ เปิดดูเห็นเป็นตั๋วเครื่องบินพร้อมบัตรของขวัญสำหรับเข้าพักโรงแรมหรูจึงรีบเรียกคนส่งสารไว้ แล้วเอ่ยถาม “อันนี้มาได้ยังไง”

“เมสเซนเจอร์ค่ะ”

ศรุตพยักหน้ารับ ไม่มีคำถามใดอีก มั่นใจว่าคงตามไม่ได้อีกเช่นเคยว่าต้นสายของซองนี้มาจากที่ใด ส่วนมาจากใครนั้นไม่จำเป็นเพราะศรุตรู้ทันทีว่านี่เป็นของขวัญจากพ่อ พ่อที่ดูแลเขาอย่างดีมาตั้งแต่เกิดแต่ไม่สามารถมาพบปะเจอหน้าได้ ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนอยากพบท่านขนาดไหน พ่อไม่เคยใจอ่อน เหตุผลคือหากคนในครอบครัวรู้เรื่องนี้ท่านอาจมีปัญหา สิ่งที่พ่อทำให้เขาเป็นความลับ…เพราะเขาเป็นลูกนอกสมรส เป็นลูกเมียน้อย คนในครอบครัวที่พ่อพูดถึงคือครอบครัวของเมียหลวง และนั่นทำให้เขารู้ชัดว่าแม้พ่อจะดูแลแต่ไม่เคยรับเขาเป็นครอบครัว ศรุตจึงไม่รบเร้าขอเจออีก

คราวนี้พอเขาอีเมลไปบอกว่าหลังจากเปิดบริษัทของตัวเองและทุ่มเททำงานหนักมาครบปี เขาเริ่มคิดถึงการหยุดพักร้อนแล้ว สองวันผ่านไปเท่านั้นทั้งตั๋วเครื่องบินและที่พักก็มาถึงมือเขา ศรุตอ่านรายละเอียดตั๋วเครื่องบินกับที่พักแล้วให้รู้สึกทั้งซาบซึ้งและไม่สบายใจ ตั๋วเครื่องบินเป็นของสายการบินระดับเวิลด์คลาส ที่พักหรือ ดูจากบัตรกำนัลแล้วใช้กระดาษคุณภาพดี มีการพิมพ์ที่ค่อนข้างหรูหราด้วยมีตัวอักษรสีทองและมีการเคลือบเฉพาะจุดสวยงาม สำหรับคนคุ้นเคยกับงานพิมพ์หลากหลายรูปแบบอย่างเขาดูออกว่านี่ไม่น่าใช่สิ่งที่โรงแรมระดับสามดาวลงไปจะลงทุนขนาดนี้ แล้วพอเข้าเว็บไซต์ของที่พักตามที่ระบุไว้ในบัตรก็รู้ทันทีว่านี่เป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาว เข้าไปดูสนนราคาแล้วศรุตถึงกับเลิกคิ้วแถมด้วยการกดมุมปากลงนิดๆ ไม่แน่ใจว่าทางโรงแรมระบุเลขศูนย์เกินมาหนึ่งหลักหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่ผิด เพราะราคาอีกช่องที่ระบุเป็นเงินสกุลดอลลาร์เมื่อแปรออกมาแล้วก็ได้จำนวนเงินใกล้เคียงกัน จึงรีบอีเมลหาพ่อตน

 

พ่อครับ

ผมได้รับตั๋วเครื่องบินกับที่พักที่พ่อส่งมาให้แล้ว ขอบคุณมากครับ

รุต

 

หลังจากนั่งทำงานผ่านไปอีกครึ่งวัน พ่อจึงอีเมลตอบกลับมา

 

รุต

ใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด มีความสุขเผื่อพ่อด้วย

พ่อ

 

ศรุตถอนใจยาว เขาเคยรู้จากท่านแล้วว่าท่านถูกเลี้ยงมาแบบเข้มงวด ทุกอย่างต้องทำตามที่พ่อกับแม่กำหนดไม่เว้นกระทั่งเรื่องการแต่งงาน พ่อไม่เคยได้ทำอย่างใจอยาก ดังนั้นพอมีเขา และเขาเป็นคนที่ปู่กับย่าไม่เคยรู้จัก ไม่เคยรู้ว่ามีตัวตน พ่อจึงตามใจเขาทุกอย่าง ขอแค่บอกว่าอยากทำอะไรอยากได้อะไร พ่อสนับสนุนทั้งหมด

เขาเหมือนจะโตมาอย่างคนขาดความอบอุ่น มีปมด้อยที่เป็นลูกเมียน้อยและไม่เคยเจอหน้า ไม่เคยได้กอดพ่อ แต่ศรุตก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากแล้ว ยิ่งได้รู้จักลูกเมียหลวงอย่างศรัณย์ที่ถูกปู่กับย่าขีดเส้นทางชีวิตให้ไม่ต่างจากพ่อ ศรุตก็รู้สึกว่าพ่อคิดถูกแล้วที่ซ่อนเขาไว้จากครอบครัวใหญ่ แต่ศรุตก็ตั้งใจมั่น เขาจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารักเท่านั้นและจะไม่มีเมียน้อยเด็ดขาดในชาตินี้

ชายหนุ่มถอนใจยืดยาว ใช้ชีวิตให้มีความสุขหรือ…ศรุตยิ้ม ก่อนตอบอีเมลกลับ

 

พ่อ

ผมมีความสุขเสมอกับชีวิตครับ

รุต

 

ศรุตตอบอีเมลแล้วคว้าบัตรสำหรับเข้าพักโรงแรมมาดูอีกครั้ง รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้สึกได้ การเดินทางครั้งนี้ต้องมีความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นแน่นอน…

 

ศรุตหันไปเห็นพอดีตอนหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินผ่านไป เธอคนนั้นไม่ได้มองเขาเพราะสายตาจับจ้องอยู่ยังหมายเลขที่นั่งราวกับเกรงว่าแอร์โฮสเตสที่เดินนำมาจะพาไปผิดที่ ก่อนดวงตากลมใสคู่นั้นจะดึงดูดศรุตได้อย่างเด็ดขาดตอนเธอหันมามองให้โอกาสเขาได้สบตาเพียงแวบเดียว มันเหมือนมีความคุ้นเคยบางอย่างกับประกายแจ่มจ้าราวกับว่าเขาเคยเห็นมันมาก่อนหน้านี้ ยังไม่ทันได้พิจารณาให้มากกว่านี้เผื่อจะนึกออกว่าเคยรู้จักกันที่ไหนหรือไม่ ก็ดูเหมือนเธอจะหาที่นั่งเจอ…ด้านหน้าเขานี่เอง

ศรุตไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นไปได้อยากให้เธอนั่งติดกันหรือเปล่า เพราะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เท่าที่สังเกตวันนี้มีผู้โดยสารค่อนข้างน้อย เขาเห็นมีคนที่เดินทางคนเดียวได้ครองเบาะหนึ่งแถวเช่นเดียวกับเขาอีกหลายคน

ศรุตละความสนใจจากสาวแปลกหน้าเพราะความง่วงงุนเข้าจู่โจม เขาแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยในช่วงสามวันหลัง เหมือนพอรู้ว่าจะหยุดงานยาวก็กลับทำงานเอาเป็นเอาตาย

หลังเครื่องไต่ระดับเพดานบินจนคงที่ได้สักพักศรุตจึงรู้ตัวว่าการพักผ่อนของตนถูกทำลายอยู่เรื่อยๆ เพราะเสียงพูดคุยกระจุ๋งกระจิ๋งของเพื่อนสาวทั้งสอง ซึ่งดังบ้างเบาบ้างเดาว่าขึ้นอยู่กับความขบขันของหัวข้อสนทนาและขึ้นอยู่กับใครเป็นคนพูด เพราะดูเหมือนจะมีหนึ่งคนเสียงดังและหนึ่งคนเสียงเบา ด้วยศรุตมักได้ยินเสียงชัดเจนเพียงเสียงเดียวมากกว่า

ศรุตทำเป็นไม่สนใจ ตั้งใจหลับตานอนไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยจะหลับนัก อยู่ในอาการเดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่น แม้หงุดหงิดอยู่นิดๆ แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับอดทนได้ มาสะดุดก็ตอนได้ยินเสียงหัวเราะร่วนของใครสักคนตามมาด้วยเสียงพูดอารมณ์ดี

“พาน้องหมมมาด้วยอีกแล้วเหรอรัน แกนี่ตลก โตไม่รู้จักโต ยังติดของเป็นเด็กๆ ไปได้”

เสียงหัวเราะแหลมบาดหูนั้น ทำให้ศรุตตัดสินใจยกหลังมือขึ้นเคาะขอบบนของเบาะเบื้องหน้า รอจนคนสองคนชะโงกหน้าจึงบอกไปเสียงเรียบ “เบาเสียงหน่อย”

คนหนึ่งหน้าแหยทันที ส่งเสียง “ขอโทษค่ะ” ให้รู้ว่าคนนี้นี่เองที่ส่งเสียงดังมาตลอด ขณะอีกคนยืดตัวขึ้นอีก และใช้ตากลมๆ ที่ศรุตสะดุดเมื่อครู่จ้องเป๋ง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม “กวนเหรอคะ”

ศรุตพยักหน้ารับ และได้รับรอยยิ้มแบบหนึ่งกลับคืนมาคล้ายจะใช้แทนคำขอโทษ

แต่แปลก รอยยิ้มนั้นทำให้ศรุตถึงกับหรี่ตาและมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าคนพูดสำนึกผิด บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม แต่เขาสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก หากหลายนาทีต่อมาที่เกิดความสงบขึ้น ศรุตจึงหลับตาลงอีกครั้ง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนข้างหน้าเกิดสงครามบางอย่างขึ้น มีเสียงดังอย่างที่ทำให้ศรุตผวาตื่น…

“อี๋! แก อย่าเอาน้องหมมมาโดนตัวฉัน”

“ทำไมล่ะ มันหอมออก ขอมันจุ๊บแกหน่อย จุ๊บๆๆๆ”

“แกนี่ เอามานี่เลย ฉันจะจับมันโยนทิ้ง น้องหมมแกจะได้ตายที่สูง…มา…เอามา”

ไม่กี่วินาทีต่อมาศรุตก็ได้รู้ว่า ‘น้องหมม’ คืออะไร เพราะมันลอยหวือมาตกลงบนหน้าเขาแล้วร่วงไหลลงสู่หน้าตักให้ตะครุบไว้แทบไม่ทัน เมื่อพิจารณามันอย่างถ้วนถี่ก็พบว่ามันเป็นตุ๊กตาสุนัขขนาดแค่ฝ่ามือเขา ดูจากสภาพแล้วเดาต่อไปได้ว่า ‘น้องหมม’ น่าจะมาจาก ‘หมักหมม’ แน่ มันไม่ได้สกปรกมีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใด แต่สภาพเก่าเก็บของมันทำให้เขาคิดไปถึงคำนั้น

ศรุตเงยหน้าขึ้นมอง เห็นดวงตาของผู้หญิงสองคนโผล่มามองเขา คนหนึ่งมองด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ส่วนอีกคนมองนิ่ง เหมือนอยากรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ศรุตส่งยิ้มให้ ก่อนใช้นิ้วคีบตุ๊กตาเก่าเก็บแล้วเหวี่ยงมันคืนเจ้าของอย่างไม่พยายามทะนุถนอม แถมขู่สำทับไปด้วย “ถ้าหลุดมาอีกที มันได้ตายที่สูงจริงๆ แน่ มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว มารยาทก็ต้องมีบ้าง”

เจ้าของดวงตากล้าๆ กลัวๆ ค่อยๆ หัวหดจนหายไปจากสายตาเขา ขณะเจ้าของตากลมยิ่งเบิกตาให้กลมขึ้นไปอีก ตามมาด้วยคำถาม

“ลุงว่าพวกหนูไม่มีมารยาทเหรอ”

ลุง! คราวนี้เป็นศรุตบ้างที่ต้องเบิกตากว้าง โอเค เขาแก่กว่าเจ้าหล่อนแน่นอนแต่คิดว่าไม่น่าเกินสิบปี อย่างไรเขาก็เป็นลุงไม่ได้เด็ดขาด “พ่อใจแตกมีลูกตั้งแต่ห้าขวบหรือไง ถึงได้เรียกผมลุง”

คราวนี้นอกจากเบิกตาแล้ว ปากสีสวยนั้นยังอ้ากว้างอีกด้วย “โห ลามปามถึงพ่อแม่ด้วย”

“ก็แค่อยากรู้ หรือว่าน้องโง่จนไม่รู้จริงๆ ว่าลุงคือพี่ของพ่อ”

ศรุตหัวเราะหึ เมื่อเห็นอีกฝ่ายถึงกับตัวแข็งค้าง จ้องเขานิ่งอย่างพูดไม่ออก หัวโยกไปมาเดาได้ว่าคงเป็นเพราะถูกเพื่อนเขย่าน่าจะเป็นการปรามให้หยุด ทว่าเจ้าหล่อนกลับหันไปหาเพื่อน บอกชัดถ้อยชัดคำ

“ฉันไม่ยอม”

นั่นทำให้อีกคนรีบลุกจากที่นั่งตัวเองเดินมาหยุดตรงเบาะเขา ยกมือไหว้

“ขอโทษนะคะ ที่พวกเราทำตุ๊กตาหลุดมือ พี่เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”

หากยังไม่ทันที่ศรุตจะได้ทำอะไร ไม่ทันได้หายโมโหจากมารยาทอันดีงามนั้นด้วยซ้ำ เสียงหนึ่งกลับแทรกขึ้น

“เจ็บอะไร ตุ๊กตานะไม่ใช่ก้อนหิน แกต้องมาถามตุ๊กตาฉันนี่”

“แกเงียบปากไปเลยไอ้รัน ไอ้หมมมันเป็นแค่ตุ๊กตา จะต้องไปถามอะไรมัน”

“มันชื่อขนม ไม่ได้ชื่อหมม แล้วมันก็ไม่ได้เป็นแค่ตุ๊กตาด้วย แกใช้คำผิดมาก”

อีกฝ่ายถึงกับยกสองมือขึ้นตั้ง “โอเคๆๆๆ แกช่วยนั่งเงียบๆ ไปก่อนเลย”

คนซึ่งถูกขอร้องให้ช่วยนั่งเงียบๆ ชะโงกหน้ามามองกันอีกที ก่อนผลุบหายไปและไม่โผล่มาให้เห็น ไม่ส่งเสียงก่อกวนใดๆ อีก

“พี่อย่าโกรธเลยนะคะ นุชเป็นคนเสียงดังเองค่ะ นุชขอโทษนะคะ”

ท่าทีนั้นรู้สึกผิดอย่างจริงใจ ศรุตรู้สึกได้จึงส่งยิ้มให้พลางส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ”

“ขอโทษที่ตุ๊กตาตกใส่พี่ด้วยนะคะ”

“ครับ” ศรุตตอบรับ แล้วคิดว่าอีกฝ่ายคงเห็นว่าเขาอารมณ์ดีขึ้น จึงกล้าพูดหยอก

“พี่ต้องล้างมือฟอกสบู่แรงๆ ด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นนังน้องหมมจะทำมือพี่เหม็นไปสามวัน”

ศรุตหัวเราะได้ และยิ่งขำตอนเจ้าของน้องหมมโผล่พรวดขึ้นมาเพื่อเถียงเพื่อนตน “ฉันซักน้องหนมทุกสามเดือนนะ มันซักบ่อยไม่ได้เพราะมันยุ่ยมากแล้ว แกไม่เห็นหรือไง”

ถึงตรงนี้ศรุตก็เกือบจะพูดแหย่ออกไป ว่าขนาดซักแล้วกลิ่นยังติดมือเขาอยู่ ทว่าพนักงานต้อนรับที่เดินมาถามไถ่สถานการณ์อย่างสุภาพ ทำให้ต้องแยกย้ายและไม่ได้พูดอะไรกันอีก

ศรุตจ้องมองด้านหลังของเบาะเบื้องหน้าอยู่เป็นพักแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมา เปิดทริปก็ประเดิมด้วยยัยเด็กเปรตคนนี้ รู้สึกกลัวๆ ว่าทริปนี้จะไม่ราบรื่นอย่างบอกไม่ถูก หวังว่าลงเครื่องแล้วจะแยกย้ายไปแล้วไปลับ เอาความซวยไปจากเขาให้หมด เขาจะได้เที่ยวพักผ่อนอย่างสงบสุขสมใจ ส่วนเจ้าหล่อนจะไปขึ้นเขาลงห้วยซวยซ้ำซวยซ้อนที่ไหน

ใครจะไปสน!



Don`t copy text!