สายแนน บทที่ 2 : คำแพง

สายแนน บทที่ 2 : คำแพง

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

บรรยากาศยามราตรีในป่าช้ายังเงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์ส่องให้มองเห็นทางเท่านั้น สายลมหนาวพัดผ่านเบาๆ ให้ใบไม้ปลิวไหว แต่บางคราก็ชวนให้เย็นยะเยือกน่าขนลุก

ท้ายป่าช้าแห่งนี้มิได้มีเพียงต้นไม้รกร้างอย่างเคยอีกแล้ว แต่มีกระท่อมน้อยที่นายแสงคำขอแรงชาวบ้านมาช่วยปลูกให้ โดยสร้างเป็นเรือนเครื่องผูกจากไม้ไผ่อย่างง่าย ด้านในเป็นห้องเดียวไว้ซุกหัวนอน ด้านหน้ามีระเบียงเล็กไว้นั่งรับลมยามเย็น เพราะตั้งใจอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น

ดึกสงัดมากแล้วแต่คนในกระท่อมก็ยังมิยอมหลับใหล นายแสงคำนั่งรับลมอยู่ริมระเบียงคนเดียว ใบหน้าคมคายนั้นเจือไปด้วยความหม่นหมอง สายตามองห่อเถ้ากระดูกข้างกายอยู่นาน…ก่อนจะถอนหายใจเสียงเศร้า แม้จะได้สังขารของเธอมาครอบครองไว้ข้างกาย แต่จนบัดนี้ก็ยังไร้เงาดวงวิญญาณมาปรากฏตัวให้เห็นหน้า ไม่มีแม้เสียงกระซิบผ่านสายลมมาเลยสักครั้ง

บางคราเขาก็นึกน้อยใจนัก…ผ่านไปสามสิบปีแล้ว ความโกรธเคืองของเธอมิลดลงบ้างหรือไร เหตุใดไม่ยอมให้อภัยกันบ้าง ไม่รู้บ้างหรือว่าที่ผ่านมาเขาต้องทนเจ็บปวดเพียงใด

“เดือนเอ๋ย…ออกมาให้อ้ายเห็นหน้าได้บ่…”

นายแสงคำกระซิบเรียกเสียงเบา มือหนึ่งเอื้อมลูบห่อผ้าขาวอย่างทะนุถนอม เมื่อความทรงจำครั้งเก่าผุดขึ้นมา…น้ำตาก็รื้นขึ้นมาอีกครั้ง

 

เหตุการณ์เมื่อ 30 ปีก่อนหน้า…

ชายป่ากลางแจ้งในวันนั้นอากาศร้อนจัดจนเหงื่อท่วม ทุ่งหญ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลตามปกติของหน้าแล้ง แผ่นดินแห้งแตกระแหง น้ำในบึงเริ่มแห้งขอด สัตว์ป่าเล็กๆ ที่เคยซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้เป็นปกติ วันนี้ต่างหนีกระเจิดกระเจิงเพราะกำลังเกิดเหตุการณ์น่าสยดสยอง

กลางทุ่งหญ้ามีวัวคู่หนึ่งถูกปล่อยออกจากเกวียนวิ่งหนีเตลิดไปไกล ศพชายฉกรรจ์เจ้าของวัวนอนจมกองเลือด ร่องรอยถูกคมดาบฟันซ้ำหลายแห่งจนแน่นิ่ง รอบกายมีโจรป่ายืนถือดาบล้อมไว้ทุกทิศ…ต่างมีผ้าโพกศีรษะปิดบังใบหน้า

“ไปเอาวัวมันมา…”

นายแสงคำผู้เป็นหัวหน้าโจรเอ่ยเสียงเรียบ แววตาคมนั้นดูแข็งกร้าวน่าหวาดกลัวนัก ดาบในมือยังเปื้อนเลือดไหลหยดเป็นทาง

สิ้นเสียงออกคำสั่งชายฉกรรจ์ที่เหลือจึงกระจายกันออกไป บางส่วนรื้อค้นเอาของมีค่าในเกวียนผู้ตาย บางส่วนออกไปจับวัวที่วิ่งเตลิดไปเมื่อครู่ กลุ่มโจรเหล่านี้เป็นโจรป่าคอยปล้นวัวควายของชาวบ้านที่เดินทางไกล โดยจะออกปล้นไม่เป็นหลักแหล่งเพื่อมิให้ถูกจับได้

หัวหน้าโจรคือนายแสงคำ…เป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์อายุยี่สิบกว่าปี นอกจากฝีมือการต่อสู้เก่งฉกาจแล้ว ยังมีอาคมมนตร์ดำแก่กล้าเกินใคร จิตใจกล้าแข็งมากเสียจนดูหยาบกระด้าง

เขายืนมองศพตรงหน้าอยู่เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงคล้ายฝีเท้าคนเดินอยู่ไกลๆ จึงรู้ได้ทันทีว่ามีผู้บุรุก ร่างสูงจึงหันหลังกลับแล้วเดินปรี่ตามต้นเสียงไปทันที

สองเท้าก้าวเดินลัดต้นไม้ในชายป่ามาอย่างรวดเร็ว ในมือถือดาบเปื้อนเลือดไว้มั่น แววตาดุดันราวสัตว์ร้าย ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ มันจักต้องถูกฆ่าปิดปากไปเสีย มิอาจปล่อยให้มีชีวิตไปแพร่งพรายเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด

ชายหนุ่มเดินลัดผ่านดงต้นไม้มาจนถึงต้นเสียงโดยใช้เวลาไม่นาน แต่เมื่อถึงที่หมายก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า…

เหตุเพราะเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่มิใช่เสียงชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์แล้ววิ่งหนีตายแต่อย่างใด แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังตักน้ำในบ่อขึ้นมาอาบโดยไม่รู้ประสา ร่างเล็กนั่งลงบนแผ่นหินข้างบ่อน้ำ สองมือกวักน้ำในกระบุงขึ้นมาล้างหน้า

ชายหนุ่มยืนนิ่งชะงักเพราะยังจับต้นชนปลายมิได้…อีกทั้งความงดงามของเรือนกายสาวก็ทำให้เขาหวั่นไหวราวต้องมนตร์สะกด แม่หญิงร่างบางอ้อนแอ้น เรือนผมดำขลับถูกรวบเป็นมวยสูงเสียบดอกมหาหงส์ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ ดวงตากลมโตไร้เดียงสา ดวงหน้างดงามดังจันทร์วันเพ็ญ อีกทั้งผิวกายที่เปียกน้ำอยู่นั้นก็ยังขาวนวลเนียน…น่าลูบไล้…

หญิงสาวนุ่งกระโจมอกหลวมๆ มือบางปลดผ้าถุงเลื่อนลงเล็กน้อยให้เห็นแผ่นหลังขาวสะอาด ก่อนจะเริ่มขัดผิวกายอย่างเบามือ แม้เห็นเพียงด้านหลัง…แต่ก็ยังงดงามเสียจนบุรุษอย่างเขามิอาจต้านทานได้

เธอนั่งอาบน้ำอยู่นานโดยมิรู้ตัวสักนิดว่าถูกมองอยู่ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงตักน้ำเพิ่มใส่กระบุงทั้งสองใบให้เต็ม ก่อนจะสอดคานหาบเป็นคู่แล้วหาบกลับเรือนตนเอง…แต่ก็พลันสะดุ้งโหยงเมื่อหันมาเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น

ชายหนุ่มรีบซ่อนดาบเปื้อนเลือดไว้ด้านหลังทันที โชคดีที่เธอมองเห็นไม่ชัดนัก เมื่อเห็นเขาส่งยิ้มให้เธอจึงสะบัดหน้ากลับทันทีด้วยความโกรธ เพราะคิดว่าที่อาบน้ำเมื่อครู่ตนต้องถูกแอบมองอยู่แน่…เมื่อยกหาบน้ำขึ้นบ่าแล้วจึงรีบเดินหนีไปทันที

“เดี๋ยวก่อน…อย่าเพิ่งไป…”

ชายหนุ่มทิ้งดาบไว้ใต้ต้นไม้แล้วรีบเดินตามไป เมื่อเขาเข้ามาประชิดตัวจนเธอมิอาจหนีได้แล้ว หญิงสาวจึงวางหาบน้ำแล้วหันกลับมาเผชิญหน้า ดวงตาคู่ใสเจือความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นก็ยังดูงดงามเสียจนเขาใจสั่น

“ตามข้อยมาเฮ็ดหยัง” หญิงสาวกล่าวถามถึงจุดประสงค์ในทันที ทั้งโกรธและทั้งกลัวที่ถูกชายแปลกหน้าเดินตามมาเช่นนี้ หากเขาเป็นคนร้ายขึ้นมาเธอคงตกอยู่ในอันตรายแน่

“บ่ต้องกลัวอ้ายดอกนาง อ้ายขอโทษหลาย…ที่ถือวิสาสะตามเจ้ามาอย่างนี้”

“รู้ตัวก็ดีแล้ว” หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงเรียบ ในใจยังรู้สึกโกรธเคืองอยู่มิทันหาย มือน้อยคว้าคานหาบสอดกระบุงใส่น้ำแล้วยกขึ้นพาดบ่าอีกครั้ง แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ร่างสูงเดินตามเธอมาไม่ยอมห่าง นัยน์ตาคมนั้นเจือความหวั่นไหวชัดเจนนัก

เพียงมองครู่เดียวก็รู้…ว่ามหาโจรอย่างเขาพ่ายแพ้ความงามของแม่หญิงไปเสียแล้ว

“ให้อ้ายถามไถ่ก่อนเถิดนางเอย แม่หญิงงามหยาดฟ้าอย่างเจ้าเป็นหยังจึงมาอยู่กลางป่า หรือเจ้าเป็นนางไม้…จำแลงกายมาให้อ้ายลุ่มหลง”

“กลางป่าที่ไหนกัน นี่มันชายป่าหลังเฮือนข้อย”

หญิงสาวกล่าวตอบอีกครั้งก่อนจะหาบน้ำเดินหนีไป แม้กิริยายังดูงดงามอ่อนหวาน แต่น้ำเสียงก็แสดงออกชัดเจนนักว่ามิใคร่สนทนาด้วย ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงยืนมองเธอจากไปเท่านั้น

เหตุใดหนอเขาจึงหลงใหลความงามราวกับต้องมนตร์สะกด เรือนร่างอรชรนั้นดูงดงามไปทุกอิริยาบถ…คงน่าเสียดายนักหากต้องปล่อยเธอไปอย่างนี้

 

กลุ่มโจรนำวัวที่ปล้นได้มารวมกับฝูงวัวเดิมของตนแล้วออกเดินทางต่อ แต่เพราะใกล้มืดแล้วจึงหยุดพักอยู่ชายป่าไม่ไกลจากบริเวณนั้นมากนัก พวกโจรบางส่วนผูกเกวียนไว้ใต้ร่มไม้แล้วก่อไฟหุงหาอาหาร ปล่อยให้ฝูงวัวเล็มหญ้าในลานกว้าง ก่อนจะนอนค้างแรมกันที่นี่

ชายหนุ่มคนเดิมนอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ ร่างสูงเอนกายหนุนแขนตนเองพลางแหงนมองความงามของจันทราบนแผ่นฟ้า เสียงใสของแม่หญิงแปลกหน้ายังก้องอยู่ในหู ภาพดวงหน้างามนั้นยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ…ใจบุรุษที่เฝ้าคะนึงหาจึงร้อนรนแทบทนไม่ได้

แต่เมื่อข่มตานอนมิได้ เขาจึงลุกขึ้นสะกิดเรียกชายหนุ่มที่นอนอยู่ด้วยกัน

“พวกมึงนอนเฝ้าอยู่นี่…กูสิกลับมาก่อนฟ้าสว่าง”

กล่าวเพียงเท่านั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ หยิบใบพลูออกมาจากย่ามข้างกายก่อนจะบรรจงม้วนอย่างเบามือแล้วหลับตาลงบริกรรมคาถา เสียงกระซิบจากริมฝีปากเบาๆ ฟังดูคล้ายบทสวดชวนขนลุก

เมื่อยกใบพลูขึ้นเหน็บใบหู…ร่างสูงนั้นก็เลือนหายไปทันที…

 

บุรุษล่องหนเดินเลียบตามทางเกวียนมาไม่นานก็ถึงที่หมาย สายตากวาดมองชานเรือนทุกหลังเพื่อสอดส่องหาแม่หญิงที่ตนเผลอหลงรัก จนกระทั่งเห็นเธอนั่งรับลมคนเดียวอยู่ในเรือนหลังหนึ่ง…มีเพียงแสงจากไต้ท่อนเดียวส่องสว่างในความมืด

ร่างเล็กอรชรนั้นยังรวบผมเป็นมวยเช่นเคย กลิ่นดอกมหาหงส์หอมอ่อนๆ จากมวยผมยิ่งชวนให้เขาเผลอหลงใหล ผ้าผืนเล็กห่มเฉียงพาดไหล่กันลมหนาว ผ้าซิ่นสีแดงอ่อนจากการย้อมครั่งมีลวดลายเล็กๆ งดงามน่ามองนัก

“เดือนเอ๊ย…ดึกแล้ว เข้านอนได้แล้วลูก”

“จ้ะแม่” เมื่อมารดาร้องเรียกจากในเรือนเธอจึงส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะดับไฟให้เรียบร้อยแล้วเดินกลับเข้าเรือนไป ปล่อยให้บุรุษที่ล่องหนยืนมองเธออยู่อย่างนั้น ใบหน้าคมเผลอเจือรอยยิ้มด้วยความสุขเมื่อรู้ชื่อเสียงเรียงนามของแม่หญิงตรงหน้า…

เดือน…

นึกไปแล้วก็งามสมชื่อนัก ดวงหน้าหวานละมุน นัยน์ตาสุกใสดั่งแสงจันทร์วันเพ็ญ งามจนเขามิอาจหักห้ามใจได้ไหว

แต่น่าแปลกเหลือเกินที่คนจิตใจหยาบช้าเช่นเขากลับไม่คิดเข้าไปปล้นฆ่า หรือฉุดเธอมาครอบครองในคืนนี้ ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ง่ายดายนัก แต่เขากลับอยากให้สักวันมีเธอมาเคียงกายด้วยความเต็มใจ…อยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนร่วมชีวิตไปจนแก่เฒ่า

คนอย่างเขามิเคยพ่ายแพ้ให้สิ่งใด เรื่องแม่หญิงงามผู้นี้ก็เช่นกัน…เขาจะไม่ยอมแพ้เป็นอันขาด

 

ในฤดูนี้แม้ยามราตรีจะเย็นสบายชวนหลับพัก แต่ยามตะวันตรงหัวมักจะร้อนอบอ้าว วันนี้ก็เช่นกัน…เพราะอากาศร้อนนักแม่และน้องสาวของเดือนจึงออกไปตักน้ำอาบที่ชายป่า ในเรือนจึงเหลือเพียงเธอกับบิดาอยู่กันตามลำพังเท่านั้น

นายจั่นผู้เป็นบิดานั่งสานก่องข้าวอยู่ใต้ร่มไม้ ส่วนเดือนนั่งสาวไหมคนเดียวเงียบๆ อยู่ข้างบันไดหน้าเรือน ร่างบางนั่งหันข้างให้เตาไฟ มือข้างหนึ่งจับไม้คีบเกลี่ยรังไหมในหม้อต้มอย่างเบามือ ก่อนจะบรรจงสาวเส้นไหมผ่านรอกบนหม้อต้มแล้วดึงมาวางบนตะกร้าไม้ไผ่สาน

“เดือนเอ๊ย กับข้าวกับปลาเตรียมแล้วล่ะบ่ลูก”

หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงมารดาร้องเรียก หันตามต้นเสียงไปจึงเห็นมารดาหาบน้ำกลับมาโดยมีลูกสาวคนเล็กเดินตามมาด้วย หญิงสาวจึงวางมือจากหม้อต้มรังไหมแล้วเข้าไปช่วย

“แม่พาน้องไปนั่งก่อนจ้ะ ข้อยเตรียมกับข้าวไว้แล้ว”

หญิงสาวหาบน้ำไปเติมใส่โอ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเข้าครัวไปถือเอาสำรับมาวางบนแคร่ เหตุที่ต้องทำงานเรือนคนเดียวเพราะน้องสาวของเธอยังเล็กนัก

“พ่อแม่กับน้องกินข้าวกันไปก่อน ข้อยยังบ่หิว”

เดือนเอ่ยบอกมารดาพลางวางสำรับไว้ให้ ก่อนจะกลับมาสาวไหมหน้าเตาไฟตามลำพัง เธอเป็นหญิงสาวไม่กี่คนในละแวกนี้ที่มีฝีมือในการทอผ้าไหม ผ้าแต่ละผืนที่เธอบรรจงย้อมและทอออกมาจึงมีราคาสูง อีกทั้งลวดลายยังงดงามหาใครเทียมมิได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีบุรุษหมายปองเธอเป็นจำนวนมาก เพราะนอกจากจะมีรูปกายงามพร้อม ยังมีความสามารถเกินแม่หญิงทั่วไปอีกด้วย

เมื่อหญิงสาวยืนยันเช่นนั้นคนเป็นพ่อแม่และน้องสาวจึงนั่งกินข้าวเงียบๆ บนแคร่ไม้ไผ่หน้าเรือน ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมีเกวียนเล่มหนึ่งมาหยุดยืนตรงหน้า ชายหนุ่มร่างสูงลงมาจากเกวียนก่อนจะพนมมือไหว้ขอร้อง

“ลุงจ๋า…ป้าจ๋า…ข้อยขอน้ำกินสักขันได้บ่” ชายหนุ่มกล่าวอ้อนวอนท่าทางน่าเวทนานัก “ข้อยเป็นคนต่างเมืองขี่เกวียนผ่านมา น้ำท่าหากินยากหลาย”

“น้ำอยู่ในโอ่งน้อยหน้าเฮือน ตักกินโลด”

นายจั่นผู้เป็นบิดากล่าวตอบด้วยท่าทางเป็นมิตร เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินปรี่เข้าไปตักน้ำด้วยความหิวโหยก็รู้สึกเวทนาไม่น้อย ปล่อยให้ดื่มกินน้ำจนชื่นใจแล้วจึงเชิญมานั่งสนทนาบนแคร่

“มาๆ นั่งกินข้าวกินปลาเสียก่อน แล้วค่อยออกเดินทางต่อ” นายจั่นตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ พลางส่งยิ้มกว้าง “ว่าแต่เจ้าเป็นไผมาแต่ไสล่ะ เป็นหยังจึงได้ผ่านมาทางนี้”

“ข้อยชื่อแสงคำจ้ะ…ลุงเรียกข้อยว่าบักแสงก็ได้ ข้อยขี่เกวียนออกมาตามลำพังหวังออกมาหากินเอาดาบหน้า เพราะบ้านเกิดข้อยนั้นแห้งแล้งจนอยู่บ่ได้” ชายหนุ่มเอ่ยอธิบายพลางยกขันน้ำขึ้นดื่มอีกครั้ง นึกดีใจไม่น้อยที่บิดาของเธอถูกชะตากับเขา

“ถ้าอย่างนั้นก็มาถูกทางแล้วละ…ให้เจ้าขี่เกวียนลงทิศใต้สิเห็นแม่น้ำมูล ลุ่มแม่น้ำอุดมสมบูรณ์หลาย เจ้ากินข้าวกินน้ำให้อิ่มก่อน ไว้มีแฮงแล้วค่อยเดินทางต่อ”

นายจั่นเอ่ยบอกเส้นทางให้ชายหนุ่มอยู่พักหนึ่ง แผ่นดินลุ่มแม่น้ำมูลค่อนข้างอุดมสมบูรณ์มากทีเดียว แต่เหตุที่เขาและชาวบ้านที่นี่มิได้ยายถิ่นฐานไปเพราะยังรักในแผ่นดินเกิดของตน ดินแดนเดิมที่ปู่ย่าตายายบุกเบิกไว้ให้…แม้อดอยากปากแห้งสักเพียงใดก็จะยังรักษาไว้เท่าชีวิต

เดือนยังคงนั่งสาวไหมอยู่ที่เก่า นอกจากมิเข้ามาสนทนาด้วยแล้ว…สายตามองเขาก็ดูมิสบอารมณ์เท่าใดนัก เหตุเพราะจำได้ว่าเขาคือชายที่แอบมองเธออาบน้ำเมื่อวันก่อน คนฉวยโอกาสเช่นเขามิสมควรได้รับไมตรีใดๆ จากเธอทั้งนั้น

ฟังบิดาเธอเอ่ยอธิบายเส้นทางเรียบร้อยแล้วนายแสงคำจึงพยักหน้ารับ เมื่อครอบครัวของหญิงสาวคอยต้อนรับด้วยความเมตตา เขาจึงดีใจนักที่จะมีโอกาสได้เข้าใกล้เธอมากกว่านี้ แม้ว่าเดือนจะมิยอมปริปากทักทายแม้แต่คำเดียวก็ตาม

เหตุที่เป็นเช่นนี้คงเพราะเธอยังโกรธเคืองเขายังมิทันหาย…แต่มหาโจรผู้มิเคยพ่ายแพ้อย่างเขาจะมาเสียเชิงชายเพราะเรื่องแค่นี้ได้อย่างไร เมื่อตะวันเริ่มคล้อยลงแล้ว เขาจึงเอ่ยปากขอค้างแรมตามแผนที่วางไว้

“ข้อยเดินทางรอนแรมมาไกล เมื่อยหลายจนเดินทางต่อบ่ไหว หากคืนนี้สิขออาศัยอยู่ใต้ชายคา…หวังว่าลุงกับป้าคงสิบ่รังเกียจ…”

“บ่เป็นยังดอก…ลุงยินดีหลาย…” บิดาของหญิงสาวส่งยิ้มกว้าง “นอนพักอยู่นี้สักคืนก่อนแล้วกัน แล้วค่อยเดินทางต่อ”

“บ่ได้จ้ะพ่อ…บ่ได้เด็ดขาด” เดือนรีบกล่าวแย้งขึ้นมาทันที สายตาที่จ้องมองบุรุษแปลกหน้านั้นเจือความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด “เขาเป็นคนแปลกหน้า บ่น่าไว้ใจ หากเป็นโจรปล้นเฮาสิเฮ็ดแนวได๋”

“เดือนเอ๋ย คนเดินทางขอค้างแรมกับชาวบ้านนั้นเป็นเรื่องธรรมดา สมัยพ่อยังหนุ่มๆ ก็เป็นอย่างนี้ คนเฮาต้องรู้จักเมตตาช่วยเหลือกัน…เข้าใจบ่” นายจั่นเอ่ยอธิบายเมื่อเห็นลูกสาวของตนยังดื้อรั้น เหตุเพราะคนเดินทางไกลเช่นนี้มิควรค้างแรมตามป่าเขา เนื่องจากโจรผู้ร้ายอาจบุกปล้นได้โดยง่าย

“อ้ายบ่ได้มีประสงค์ร้าย…อ้ายสาบานได้” นายแสงคำหันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจนัก รู้ตัวดีว่าแม่หญิงมิได้ต้อนรับ แต่เพราะหลงเสน่ห์ความงามของเธอจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว…เขาจึงยอมแพ้มิได้

เดือนรู้ว่านายแสงคำมิใช่คนน่าคบหาจึงมิอยากสนทนาด้วย ตะวันเริ่มคล้อยลงปลายไม้เธอจึงเตรียมสำรับเย็นให้บิดามารดาอีกครั้ง ก่อนจะเดินถือกระบุงไม้ไผ่ออกจากเรือนโดยมิสนใจเขาสักนิด

“เดือน…ไปไหนลูก”

“ไปเก็บผักจ้ะแม่ คงกลับมาค่ำๆ” หญิงสาวกล่าวตอบคำถามมารดาก่อนจะเดินลับหายไป อันที่จริงเธอมิได้มีธุระที่ใด เพียงแค่ต้องการออกมาจากเรือนเท่านั้น เมื่อถึงชายป่าจึงถือโอกาสเก็บครั่งตามต้นไม้เพื่อนำไปใช้ย้อมเส้นไหมด้วย ร่างเล็กเดินเลียบชายป่าท้ายเรือนตนพลางชะเง้อมองหาตามกิ่งไม้ ทั้งต้นมะเดื่อ ตะคร้อและต้นไม้อื่น แต่ยังมิทันได้มาสักก้อนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนจากด้านหลัง

“อ้ายเก็บมาให้แล้ว”

เดือนหันกลับมาทันที เสียงทุ้มที่คุ้นหูทำให้เธอเผลอยิ้มกว้าง

“อ้ายขัน…”

สายตาของนายขันที่มองมาชวนให้เธออบอุ่นหัวใจนัก ร่างสูงกำยำเดินเข้ามาหาแล้วเก็บกองครั่งใส่กระบุงให้หญิงสาว ครั่งก้อนน้ำตาลเข้มเนื้อในเป็นสีแดงสด เขาปีนเก็บตามต้นไม้ตั้งแต่หัววันจึงได้มาเกือบสองกำมือ เตรียมไว้ให้เธอใช้ย้อมเส้นไหมก่อนทอผ้า

“หากอยากได้หยังก็บอก อ้ายสิหามาให้”

เดือนพยักหน้ารับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “บ่เป็นหยังดอกจ้ะ อย่างอื่นข้อยเก็บไว้ก่อนหน้านี้แล้ว…ได้สีย้อมครบแล้วละ”

สองหนุ่มสาวเดินเคียงคู่รับลมยามเย็นที่ชายป่า ตะวันเริ่มคล้อยลงปลายไม้ทุกทีเธอจึงชวนเขามานั่งสนทนาในร่มไม้ นอกจากครั่งที่ชายหนุ่มเก็บมาให้แล้ว ยังมีดอกไม้หอมที่เขาเก็บใส่กรวยใบตองนำมาให้เธอด้วย

“ดอกมันปลา” นายขันนั่งลงเคียงกายพลางยื่นดอกไม้ให้ “กลิ่นหอมหลาย…อ้ายเห็นออกดอกเหลืองงามเต็มต้น เลยเก็บมาฝาก”

เดือนรับเอาดอกไม้จากเขามาถือไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกไม้สีเหลืองนวลในมือก็ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย นายขันเป็นชายหนุ่มร่างสูงกำยำน่ามอง อายุยี่สิบกว่าปี ใบหน้าคมเข้ม ท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผ่นอกแกร่งสมชายชาตรี ท่อนล่างนุ่งหยักรั้งมัดเอวทับด้วยผ้าขาวม้าอย่างชาวอีสาน เขากำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก แต่ก็ขยันทำมาหากิน แม้มิได้ร่ำรวย…แต่ก็ไม่ถึงกับขัดสน

เขากับเดือนผูกสมัครรักใคร่กันมาสักพักแล้ว…แต่เดือนยังมิได้เปิดเผยให้ใครรู้เพราะมารดาหวงเธอมากนัก เหตุเพราะความงามของเธอเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมือง จึงคาดหวังให้เธอออกเรือนกับชายหนุ่มที่ร่ำรวยและเหมาะสม

 

เดือนกลับเรือนมาอีกครั้งเมื่อฟ้ามืด บรรยากาศยามราตรีก็ยังสงบเงียบน่าพักผ่อนอย่างทุกครั้ง พ่อแม่และน้องเข้านอนกันหมดแล้ว เหลือเพียงเธอที่ยังมิยอมหลับใหล แต่เพราะยังไม่ง่วงจึงออกมานั่งรับลมคนเดียวเงียบๆ หญิงสาวนั่งพิงระเบียงเรือนพลางเหม่อมองบรรยากาศรอบกาย ข้างกายสาวมีกระบองขี้ไต้จุดไฟให้แสงสว่าง สายตากำลังจ้องมองชายหนุ่มผู้มาขออาศัย

ร่างสูงนอนหงายบนแคร่ใต้ต้นไม้หน้าเรือนท่าทางอ่อนเพลียนัก แต่นั่งมองได้เพียงไม่นานชายหนุ่มก็งัวเงียตื่น เมื่อสองหนุ่มสาวได้สบตา…ความงามของเธอก็ทำให้เขาเผลอหวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง

“อ้ายขอขึ้นไปหาได้บ่”

“บ่ต้องดอก…เดี๋ยวข้อยลงไปเอง” หญิงสาวกล่าวตอบก่อนจะเดินลงเรือนไปหาเขา เพียงมองจากสายตาก็พอรู้ว่าเธอยังขุ่นเคืองมิทันหาย

“เรื่องวันนั้น…อ้ายขอโทษเจ้าหลาย” แสงคำเอ่ยขอร้อง “อ้ายบ่ได้ตั้งใจฉวยโอกาสแอบมองเจ้าอาบน้ำ เรื่องคืนนี้ก็เหมือนกัน…อ้ายเพียงอยากมีโอกาสให้เฮาสองได้อยู่เคียงใกล้ ให้โอกาสอ้ายได้บ่”

เดือนจ้องมองใบหน้าคมนั้นนานโข…ก่อนจะถอนหายใจเสียงเบา เธออายุถึงวัยออกเหย้าออกเรือนได้แล้ว เหตุใดจะมิรู้เล่าว่าสายตาบุรุษที่มองมานั้นแฝงไปด้วยความเสน่หา เพียงมองตาเธอก็พอรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่วิธีเข้าหาของเขานั้นดูไม่บริสุทธิ์ใจเลยสักนิด…แล้วหลังจากนี้เธอจะเชื่อคำเขาได้อีกหรือไม่

“หากเจ้าบ่พอใจอ้ายก็ขอโทษหลาย ให้โอกาสอ้ายได้บ่…”

“ข้อยคงให้บ่ได้ดอก” เดือนกล่าวตอบตามตรง “ข้อยมีคนรักอยู่แล้ว…อ้ายอย่าเสียเวลาอีกเลย”

นายแสงคำได้ฟังคำตอบก็พลันเหยียดยิ้มมุมปากเบาๆ เมื่อถูกปฏิเสธตามตรงเช่นนี้ก็ทั้งเจ็บปวดและขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด “คนรักของเจ้ามันเป็นไผ…หรือสิเป็นบักคนที่เก็บก้อนครั่งมาให้เจ้า”

ถ้อยคำจากปากเขาทำให้เดือนพลันนิ่งชะงัก หากเขากล่าวเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขาแอบตามเธอไปห่างๆ จนเห็นเธอกับนายขันยืนสนทนากัน เมื่อรู้ตัวว่าถูกลักลอบติดตามไปจึงเผลอเม้มปากแน่นด้วยความโกรธ “อ้ายแสงคำ…เจ้าสะกดรอยตามข้อย…”

“อ้ายบ่ได้ตั้งใจดอก เพียงแค่บังเอิญไปเห็น”

ถ้อยคำแก้ตัวของเขาฟังไม่ขึ้นนัก เพราะวันนี้เธอเดินเลียบชายป่ามานานโขกว่าจะพบกับนายขัน ในขณะที่แสงคำยังนั่งสนทนากับบิดาเธอที่เรือน หากบอกว่าบังเอิญเห็นย่อมเป็นไปมิได้

หญิงสาวนั่งนิ่งสงบสติอารมณ์ไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อนึกดูแล้วก็คิดว่าเป็นการดีกับทุกฝ่าย…เพราะเธอเองก็ไม่อยากให้เขาเสียเวลากับตนนัก

“รู้แล้วก็ดี” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบ “อ้ายขันเป็นคนรักของข้อย หากฟ้าสว่างแล้วเจ้าก็กลับไปเถิด…อย่าเสียเวลากับข้อยอีกเลย”

“อย่าเพิ่งตัดโอกาสอ้ายได้บ่ เจ้ายังบ่ได้ออกเรือน บ่ได้เป็นเมียไผ…แล้วเป็นหยังอ้ายจึงบ่มีสิทธิ์”

“อย่าเสียเวลากับข้อยอีกเลย” เดือนกล่าวย้ำอีกครั้งพลางถอนหายใจเสียงเครียด “ข้อยรักอ้ายขัน…รักกันมาหลายปีแล้ว”

“แต่อ้ายก็รักเจ้า”

“แต่เราสองคนเพิ่งรู้จักกัน…ใช้คำว่ารักมันเร็วไป” เดือนรีบกล่าวเตือนสติเขาในทันที แม้เห็นแววตาเจ็บปวดของอีกฝ่ายชัดเจนนัก แต่เธอก็รู้ดีว่าที่เขาเป็นเช่นนี้เพราะหลงใหลในความงามของเธอเท่านั้น เวลาเพียงสองวันที่ได้พบกัน…จะใช้คำว่ารักได้อย่างไร

“อ้ายแสงคำ…”

หญิงสาวหันมาสบตาเขาอยู่นานโข ในแววตาคู่ใสนั้นเด็ดเดี่ยวและมั่นคงนัก “ข้อยขอให้อ้ายเดินทางปลอดภัย ฟ้าแจ้งยามใดก็ออกเดินทางไปเถิด…ข้อยขออวยพรให้”

 

ถ้อยคำจากหญิงสาวทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจนัก แม้รู้ดีว่าควรตัดใจออกห่างตามคำขอ…แต่เหตุใดหนอเขาจึงยิ่งหลงรักเธอมากขึ้น หรืออาจเป็นเพราะความจริงใจที่เธอมีให้ ยิ่งเธอปฏิเสธมากเท่าใดเขายิ่งต้องการได้เธอมาครอบครองมากเท่านั้น

รุ่งเช้าวันถัดมา…เขาจึงกลับมาที่เรือนเธออีกครั้ง…

แต่คราวนี้เขามิได้ขี่เกวียนเล่มน้อยมาอย่างเคย ร่างสูงขี่ม้ามาหยุดยืนหน้าเรือนหญิงสาว…พร้อมกับชายฉกรรจ์ที่จูงวัวคู่หนึ่งเดินตามมาด้วย เมื่อบิดาของเธอลงจากเรือนมาทักทาย แสงคำจึงเข้ามากราบขอขมาที่แสร้งเป็นคนจรมาขอค้างแรม…และยังขอมอบวัวคู่หนึ่งให้บิดาเธอเป็นสินน้ำใจด้วย

“วัวคู่หนึ่งราคาแพงหลาย ลุงรับไว้บ่ได้ดอก”

บิดาของเธอรีบกล่าวปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่นายแสงคำก็ยังคะยั้นคะยอให้รับไว้ “บ่เป็นหยังดอกจ้ะ ข้อยเป็นนายฮ้อยค้าวัวควาย…วัวเพียงคู่เดียวสำหรับข้อยบ่แม่นเรื่องลำบากดอก ให้ลุงกับป้าเลี้ยงพวกมันไว้ใช้สอย…ยามไปไหนมาไหนสิได้มีวัวเทียมเกวียน”

สิ้นถ้อยคำชายหนุ่มก็ขยับเข้ามาใกล้ แล้วก้มกราบแทบตักบิดาของหญิงสาว “ถึงแม้เราเพิ่งเคยพบหน้ากัน…แต่ข้อยก็รักลุงกับป้าเสมือนพ่อแม่ คงเป็นเพราะข้อยกำพร้าพ่อแม่มาแต่ยังน้อย อยากสิขอฝากตัวเป็นลูกหลาน…ลุงกับป้าได้โปรดเมตตา”

“ลุงเองก็ถูกชะตาเจ้าบ่ต่างกันดอก…”

นายจั่นผู้เป็นบิดาของเดือนส่งยิ้มกว้าง พลางเอื้อมมือตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ ท่าทางพึงพอใจนัก “เอาละๆ ลุงสิรับเจ้าเป็นลูกหลานอีกคนหนึ่ง หากต้อนวัวควายผ่านทางนี้ก็แวะมา คิดเสียว่าเป็นเฮือนอีกหลังหนึ่งของเจ้า…”



Don`t copy text!