แสนคำนึง บทที่ 3 : กุหลาบงาม

แสนคำนึง บทที่ 3 : กุหลาบงาม

โดย : สิริมารีน

Loading

แสนคำนึง โดย สิริมารีน กับเรื่องราวความรักและการรอคอย ท่ามกลางกลิ่นอายของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งอุบัติขึ้นโดยไม่มีใครคาดหมาย สงครามที่พรากความรักของมัทนาและศันต์จากกัน…หนึ่งหัวใจ และหนึ่งหน้าที่ที่มีต่อชาติบ้านเมือง…หากชีวิตนี้ ศันต์พร้อมจะพลีเพื่อเธอคนเดียว … นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คูณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อคุณผู้อ่าน สามารถหาซื้อเป็น eBook ได้ โดยสามารถติดตามรายละเอียดได้ใน Facebook Fanpage : สิริมารีน ค่ะ

……………………………………………………………

-3-

 

ตั้งแต่วันที่มัทนาร้องไห้เรื่องแม่ ศันต์ก็คอยสอดส่องดูแลเธออยู่เงียบๆ ด้วยความเป็นห่วง แม้เขาจะเรียนหนักในชั้นเตรียมมหาวิทยาลัย และต้องไปอยู่บ้านอาจารย์ที่เปิดเป็นหอพัก เขาก็ยังแบ่งเวลาแวะมาที่บ้านคำหอมเสมอ เมื่อทราบว่ามัทนาจะแสดงเปียโนที่โรงเรียน ศันต์ก็ไปให้กำลังใจด้วย

สำหรับเด็กนักเรียนหนุ่มๆ การเข้าไปงานของโรงเรียนหญิงล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย ศันต์ทราบกฏระเบียบดี จึงนัดกับคุณอร ว่าจะตามไปพบกันที่หน้าโรงเรียนในตอนสาย แล้วเข้าไปพร้อมกัน

“ทำไมยอมมาฟังน้องร้องเพลง” คุณประวิชถามปนหัวเราะ เมื่อเห็นศันต์เดินเข้ามาหาที่ลานหน้าโรงเรียน

“นั่นสิ วดีไปบังคับยังไง คุณศันต์ถึงยอมมาได้” คุณอรเองก็สงสัย

“น้องบอกว่าเป็นงานใหญ่ครั้งสุดท้ายของชั้นมัธยมหก ผมเองก็ท่องหนังสือจนล้า เลยอยากจะมาพักสมองบ้างครับ” ศันต์ไม่ได้อธิบายว่า “น้อง” ที่พูดถึงนั้น คือมัทนา ไม่ใช่วดี

“หรือว่าอยากมาดูสาวๆ เพื่อนของน้องกันแน่ ถึงได้แต่งตัวหล่อใส่กางเกงขายาวเสื้อเชิ้ตอย่างนี้” คุณประวิชเลิกคิ้ว

“เด็กๆ โตกันหมดแล้ว” คุณอรถอนใจยาว “ไม่วิ่งเล่นกันในบ้านเหมือนอย่างแต่ก่อน”

“จะให้วิ่งเล่นอยู่ได้ยังไงเล่า อร ไว้รอเลี้ยงหลานก็แล้วกัน” คุณประวิชส่ายหน้าก่อนจะส่งกระดาษแผ่นเล็กๆ ให้ศันต์ “นี่บัตรเข้างาน พี่จองที่นั่งไว้ให้ อยู่อีกฝั่งนะศันต์ ส่วนของพี่เป็นที่นั่งผู้ปกครอง แต่เก้าอี้ของศันต์ ก็ไม่ไกลมาก เห็นชัดเหมือนกัน เดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้ว เราเข้าหอประชุมกันเถอะ”

หลังจากผู้หลักผู้ใหญ่กล่าวเปิดงานแล้ว การแสดงชุดแรกเป็นรำเบิกโรงโดยเด็กๆ ชั้นประถม มีรำเดี่ยว และระบำต้นตระกูลไทยจากละครเพลงแนวรักชาติ ซึ่งเป็นแนวใหม่เพิ่งมีมาไม่กี่ปี

ช่วงพักครึ่งเวลา ศันต์กำลังจะลุกออกไปเดินเล่น แต่ก็ต้องชะงักเพราะมีมือหนักๆ ตบลงมาที่บ่าจนสะดุ้ง พอหันไปมอง ก็เห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคมคายของหนุ่มร่างสูงวัยเดียวกัน

“กรณ์!” มาได้ไงนี่ ศันต์ร้องทัก เขากับกรณ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่นในโรงเรียนประจำ ก่อนจะแยกไปเข้าเตรียมมหาวิทยาลัยหลังจากจบมัธยมหก ศันต์ไปเตรียมจุฬา ส่วนกรณ์อยู่เตรียมธรรมศาสตร์ ต่างคนยุ่งอยู่กับการเรียน จึงไม่มีโอกาสได้พบกัน

“น้องสาวฉันมาร้องเพลง” กรณ์พยักหน้าไปทางแถวนักร้องประสานเสียงที่เดินเรียงกันออกมาจากหลืบเวที “คนที่สามจากขวา หางเปียยาวนั่นไง”

“น้องนาก็มาแสดงเปียโนเหมือนกัน แล้วก็มีวดีอีกคน นายจำได้ใช่ไหม แล้วคุณพ่อคุณแม่นายมาด้วยหรือเปล่า” ศันต์ถาม

“อยู่กับกลุ่มผู้ปกครองทางโน้น ตอนพาคุณแม่ไปนั่ง ฉันเห็นพี่ชายกับพี่สะใภ้นาย ก็เลยเข้าไปถาม หา นายเป็นไงบ้าง เรียนยากหรือเปล่า” กรณ์ชวนคุย

ศันต์ยังไม่ทันตอบ โฆษกก็ประกาศชื่อนักเปียโน

มัทนาก้าวออกมายืนเด่นอยู่กลางเวทีในชุดที่สวยจนศันต์ตะลึง ตะลึง ผ้าต่วนสีครีมขับผิวขาวอมชมพูให้นวลสว่าง ไหล่ล้ำ จับเดรพพาดลงมา คาดผ้าผูกเอว กระโปรงจับจีบน้อยๆทิ้งยาวกรอมเท้า เธอก้มศีรษะให้ผู้ชม ก่อนจะหันไปนั่งที่ม้าหน้าแกรนด์เปียโน แม้แต่ด้านหลัง ก็ยังงดงามด้วยผมถักเกล้าหลวมๆ คอเสื้อแหลมลงมา และผ้าผูกเอวรวบเป็นโบว์ ประดับช่อกุหลาบผ้าสีชมพูกับใบเขียวจาง

ชุดที่เธอเคยบอกว่าเป็นของขวัญวันเกิด ถอดแบบมาจากนางเอกภาพยนตร์ฝรั่ง เมื่อมาอยู่บนร่างของเด็กสาววัยสิบห้า ก็กลายเป็นความสวยน่ารักที่จับตาจับใจจนศันต์มองไม่วางตา

“น้องนาโตขึ้นสวยอย่างนี้เทียวหรือ” กรณ์อุทาน

คำพูดนั้นทำให้ศันต์ขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าเพื่อน แต่กรณ์ยังจับจ้องสาวน้อยในชุดสีครีม ซ้ำยังบอกด้วยว่า “ว่างๆ นายติวเลขให้หน่อยได้ไหม ไว้ฉันจะแวะไปหา ที่บ้านคำหอม”

มัทนาพรมนิ้วลงบนคีย์ และการแสดงก็เริ่มขึ้น ศันต์จึงไม่ต้องตอบคำถามนั้น…

เขาเกือบจะลืมเรื่องกรณ์ไปแล้ว ถ้าหากว่าฝ่ายนั้นไม่พยายามเข้ามาหา บ่ายวันเสาร์ต่อมา ศันต์ขี่จักรยานกำลังจะเข้าบ้าน ลุงยามก็ออกมาเรียกไว้

“วันนี้เพื่อนคุณศันต์มาหาขอรับ”

“เพื่อนคนไหนหรือ ลุง” ศันต์ยิ้มรับ

“คนสูงๆ ตาโต ผิวคล้ำหน่อย ขี่รถเครื่องมา ผมก็ลืมถามชื่อ”

รถเครื่อง หรือมอเตอร์ไซค์ นิยมกันในหมู่คนหนุ่มมีฐานะ ศันต์เองก็อยากได้นักหนา แต่คุณจอมห้ามไว้ ด้วยท่านยังฝังใจเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดกับมหาดเล็กในวัง เป็นข่าวใหญ่โต ศันต์จึงได้แต่แอบยืมของเพื่อนฝูงมาขับเล่น เมื่อลุงบอกว่าผู้มาเยือนรูปร่างสูงและมีรถเครื่องขี่ ศันต์ก็รู้ได้ทันทีว่า “กรณ์…”

“เขาฝากของไว้ให้ ดูเหมือนจะมีชื่อเขียนอยู่ รอสักครู่นะขอรับ” ลุงรีบวิ่งไปหยิบถุงกระดาษมาส่งให้

“ขอบคุณ” ศันต์พึมพำ ขมวดคิ้วเมื่อเห็นกระดาษเขียนข้อความสั้นๆ ว่า “แวะมาหาแต่นายไม่อยู่ ฝากของให้น้องนาด้วย วันหลังจะมาใหม่” ลงชื่อกรณ์ พอจะเดาได้อยู่ว่าฝ่ายนั้นต้องหาทางสานต่อ แต่ไม่คิดว่าจะมาตรงๆ และภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียวอย่างนี้

ซ้ำร้าย ในถุงนั้นยังมีกล่องห่อกระดาษสีสวย ติดชื่อมัทนาเสียด้วย!

ศันต์ยืนยันกับตัวเองว่า อารมณ์ที่ขุ่นมัวขึ้นมานั้น เป็นแบบพี่ชายที่หวงน้องสาว และคุณจอมคงจะไม่ชอบใจนัก ถ้าหากว่าเขาจะริเป็นพ่อสื่อ…

เมื่อหาเหตุผลให้ตัวเองได้อย่างนั้น เขาจึงแกะชื่อมัทนาออกจากกล่องลูกกวาด แล้วจูงจักรยานไปทางห้องซ้อมดนตรี นั่งฟังลาวแพนท่อนสุดท้ายจนจบก่อนจะก้าวเข้าไป

“คุณศันต์ วันนี้กลับมาบ้านได้”

“แม่ขวัญ” ศันต์ยิ้มประจบมือซออู้ พี่สาวเหล่านี้ช่วยกันเลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเล็ก โดยเฉพาะพี่ขวัญ ที่เขาเรียกว่าแม่ “ศันต์มีของมาฝากทุกคนด้วยครับ” เด็กหนุ่มแลเลยไปที่เปียโน เห็นมัทนามองมาอย่างสนใจก็พยักหน้าเรียก “มาทานด้วยกันสิ น้องนา ลูกกวาดสีสวย อร่อยด้วย”

เขาเปิดกล่องลูกกวาดส่งไปรอบวง บอกตัวเองว่า อย่างไรมัทนาก็ได้รับตามที่กรณ์ตั้งใจ แม้เธอจะไม่รู้ว่าใครส่งมาให้ก็ตาม…

“วันก่อน เพื่อนพี่ไปงานโรงเรียนน้องนา เขาชมใหญ่ว่าน้องเล่นเปียโนเก่ง” ศันต์บอก

“พี่กรณ์ใช่ไหมคะ นาเห็นนั่งอยู่กับพี่” มัทนาจำได้ เพราะกรณ์เคยมาเที่ยวเล่นที่บ้านคำหอมหลายครั้ง สมัยยังเป็นนักเรียนประจำอยู่กับศันต์

“ใช่”

“น้องสาวเขาร้องเพลงอยู่ด้วย”

“แต่กรณ์ไม่ได้ไปดูน้องสาวหรอก” ศันต์บอกปนหัวเราะ “เขาแอบชอบนางรำอยู่คนหนึ่ง กำลังหาทางเข้าไปรู้จักพ่อแม่”

“คนไหนคะ”

“คนขาวๆ ที่แสดงเพลงต้นตระกูลไทย” เขาตัดกำลังเพื่อนต่อไป

“พี่ศันต์” มัทนาค้อน “เพลงนั้นแสดงสิบคน มีขาวอยู่ตั้งหก ใครจะไปรู้ว่าคนไหน”

“ช่างมันเถอะ น้องนากับวดีไม่ต้องช่วยหรอก ครูรู้เข้าจะดุเอาได้” ศันต์ส่งกล่องไปให้วดีหยิบบ้าง ก่อนจะเปลียนเรื่องว่า “ลาวแพนยังเพราะเหมือนเดิม”

“เมื่อไรจะกลับมาอยู่บ้าน ที่นี่ก็ไม่ได้ไกลโรงเรียนเท่าไรเลย” แม่ขวัญตัดพ้อ

“ผมต้องท่องหนังสือ ทำการบ้าน อยู่ใกล้โรงเรียนไม่ต้องเหนื่อยเดินทาง สงสัยอะไรก็ถามอาจารย์ได้ด้วย”

“คุณจอมท่านว่าเกรงใจอาจารย์ จะให้คุณประวิชซื้อข้าวส่งไปกระสอบหนึ่ง กับพวกของแห้งกะปิน้ำปลา เพราะคุณศันต์ทานเก่งนัก” แม่ขวัญล้อ

แล้วหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนจากเรื่องของกรณ์ เป็นเรื่องการกินอยู่และเรียนหนังสือของศันต์ ที่มัทนานั่งฟังอย่างสนใจพร้อมกับรับประทานลูกกวาดไปด้วย…

กรณ์แวะเวียนมาอีกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปได้ไกลกว่าป้อมยาม เมื่อไม่มีคำตอบรับจากสาวน้อย เขาก็ล่าถอยไปเอง ระหว่างที่ศันต์เริ่มหาของฝากมาให้ “น้องนา” แทบจะทุกวันเสาร์ โดยไม่ลืมเผื่อแผ่ไปถึงวดีด้วย

“ทำไมพักนี้อาศันต์ใจดีนัก” วดีตั้งข้อสังเกต เด็กสาวทั้งสองยังคงชอบนั่งเล่นกันใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีชิงช้าผูกไว้ และตอนนี้ ก็วางม้าหินเพิ่มอีกชุด เป็นที่ทำการบ้านรับประทานของว่าง

“ก็คุณศันต์ใช้นาชุนกางเกงให้ เลยมีทองม้วนมาตอบแทน” มัทนาหยิบทองม้วนที่ศันต์แวะซื้อมาให้จากบางลำภู พร้อมกับไกวชิงช้าเล่น

“แล้วเสาร์ก่อน เธอทำอะไรให้ ถึงมีขนมชั้น ฉันสงสัยตั้งแต่มีลูกกวาดมาแจกแล้ว” วดีหรี่ตามอง

“อันนั้นเขาฝากทุกคน” มัทนาเริ่มรู้สึกว่าผิวแก้มร้อนขึ้น “รีบทานสิ เดี๋ยวต้องไปซ้อมต่อนะ”

วดีเอื้อมมาหยิบทองม้วน “ยังไง ฉันก็ว่าอาศันต์ใจดีผิดปกติจริงๆ”

“นินทาเราอยู่หรือ!” เสียงทุ้มทักมาจากข้างหลัง ทำให้สองสาวสะดุ้งสุดตัว

“ปละ…เปล่าค่ะ” มัทนารีบหันไปบอก

“อย่ามาเลย พี่ได้ยิน” ศันต์หัวเราะ ชะโงกมาหยิบทองม้วนไปกินบ้าง

“วดีแค่ถาม ว่าทำไมพักนี้อาใจดีนัก” หลานสาวสารภาพอุบอิบ

“ใจดี…” ศันต์ทวน “แค่ซื้อขนมมาให้นี่นะ”

“ก็แต่ก่อนแต่ไร อาเคยมีของฝากที่ไหน” วดีลอยหน้าเถียง

“ก็เมื่อก่อนอาอยู่โรงเรียนประจำ ออกจากโรงเรียนก็กลับบ้าน ไม่ได้ไปเดินตลาดที่ไหนนี่นา” ศันต์หัวเราะ

“แล้วนี่ไปเดินบางลำภูหรือคะ” วดีหยิบขนมอีกชิ้น

“ใช่” ศันต์พยักหน้า “พอมาเรียนสห ถึงได้รู้ว่าผู้หญิงชอบกินขนมจุบจิบ เมื่อก่อนอยู่กับน้องๆ พี่ไม่ได้สังเกตเพราะเราก็หยิบของจากในครัว แต่เพื่อนที่เตรียมเขาไปเดินหาซื้อกันเอง พี่ก็ตามไปกับเขาด้วย”

คำว่า “สหศึกษา” สะดุดหูมัทนาจนต้องมองหน้าคนพูด แปลกใจตัวเองที่นึกสงสัยขึ้นมาว่า เพื่อนหญิงที่เขาตามไปเดินซื้อขนมด้วยกันนั้น เป็นคนพิเศษขนาดไหน…

“ดี หลานพลอยได้อานิสงส์” วดีบอกก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงมารดาเรียกมาแว่วๆ

“วดี” คุณอรชะโงกมาจากระเบียง “เข้ามาช่วยแม่ในครัวหน่อย”

“แม่ทำบัวลอยสามกษัตริย์” วดีย่นจมูก “หาแรงงานไปช่วยปั้น เดี๋ยวเสร็จแล้ววดีจะแบ่งมาให้นะคะ”

คุณอรเรียกซ้ำอีกครั้ง เร่งให้วดีรีบวิ่งขึ้นบ้านไป

“น้องนาเป็นยังไงบ้าง” ศันต์ลุกขึ้นมายืนข้างชิงช้า มือแข็งแรงจับเชือกไกวเบาๆ ทั้งที่ไม่จำเป็น

“แม่มาหาเมื่อเย็นวานค่ะ”

“คุณแม่มาหาแล้วทำไมหน้าเศร้าอย่างนี้” ศันต์ก้มลงสบตา

“นายังทำใจไม่ได้” เธอตอบตามตรง “แม่ไม่ได้พูดถึงเสี่ยเลย แต่ดูแม่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ใส่เพชรทองเต็มตัว”

“ไม่พูดถึงก็ดีแล้ว ความเป็นแม่ลูกยังเหมือนเดิม”

มัทนาส่ายหน้า รีบลุกขึ้นจากชิงช้าก่อนจะร้องไห้ออกมา “นาควรจะกลับไปซ้อมได้แล้ว…”

“พี่ถามคุณพี่ประวิช เรื่องทหารเมืองโคราช” คำพูดของศันต์ทำให้เธอหยุดชะงัก หันกลับมาหาเขา

“พ่อ…”

“พี่ยังไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับคุณพ่อโดยตรงหรอก รู้แต่เพียงว่าส่วนหนึ่งถูกคุมขังไว้ ที่ถูกปลดก็มี แยกย้ายกันไป”

“พ่ออาจจะยังไม่ตาย ที่มาหานาไม่ได้ เพราะว่าถูกขังอยู่” มัทนาพึมพำ

“เราก็ยังมีความหวัง” ศันต์ปลอบ

“ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ” แม้ข่าวนั้นจะไม่มีชื่อบิดา แต่อย่างน้อยเธอก็ได้รู้ว่า ทหารจากนครราชสีมาส่วนหนึ่งต้องโทษ และพ่ออาจจะอยู่ในกลุ่มนั้นก็ได้…

“ถ้าน้องนาจะกลับไปห้องซ้อม พี่จะเดินไปส่ง”

เธอพยักหน้า และทั้งสองก็เดินไปด้วยกันช้าๆ ผ่านสวนดอกไม้

“คิดหรือยัง ว่าจะเรียนต่อทางไหน” ศันต์ชวนคุย

“ว่าจะต่อฟินิชชิ่งสกูลค่ะ” มัทนาหมายถึงหลักสูตรกุลสตรีที่เน้นการเรือน การเข้าสังคม ภาษา และบางโรงเรียนก็สอนวิชาเลขานุการด้วย

“เตรียมตัวเป็นคุณนายหรือ” ศันต์ล้อ

“เปล่าค่ะ” มัทนารีบปฏิเสธ “ที่จริง นาอยากแสดงคอนเสิร์ต แล้วก็เป็นครูสอนเปียโนมากกว่า แต่คุณจอมท่านอยากให้มีความรู้ด้านอื่นด้วย”

“ก็ดีเหมือนกัน” ศันต์นิ่งไปนิดหนึ่ง “พี่ว่าจะสอบชิงทุน”

“ทุนมหาวิทยาลัยหรือคะ ต้องสอบได้แน่ๆ พี่ศันต์เรียนเก่งออก” มัทนายิ้มให้กำลังใจ

“ไม่…ไม่ใช่” เขาส่ายหน้าก่อนจะพูดออกมาอย่างเร็วว่า “ทุนเรียนต่ออเมริกา”

“ไปนอกหรือคะ!”

“ใช่ แต่คนเก่งเยอะแยะ พี่ไม่ได้คาดหวังขนาดนั้นหรอก แค่จะลองสอบดูเท่านั้น” ทั้งสองเดินมาถึงตึกใหญ่พอดี และศันต์ก็ส่งเธอที่หน้าห้องซ้อม  “ตั้งใจเล่นนะ พี่จะนั่งฟังอยู่แถวนี้”

นัยน์ตาของเขาพราวด้วยรอยยิ้ม เป็นประกายที่สวยจนมัทนาต้องเมินหลบ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผิวแก้มร้อนขึ้นมากับคำพูดเพียงเท่านั้น…

 



Don`t copy text!