แสนคำนึง บทที่ 5 : หัวใจเสรี

แสนคำนึง บทที่ 5 : หัวใจเสรี

โดย : สิริมารีน

Loading

แสนคำนึง โดย สิริมารีน กับเรื่องราวความรักและการรอคอย ท่ามกลางกลิ่นอายของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งอุบัติขึ้นโดยไม่มีใครคาดหมาย สงครามที่พรากความรักของมัทนาและศันต์จากกัน…หนึ่งหัวใจ และหนึ่งหน้าที่ที่มีต่อชาติบ้านเมือง…หากชีวิตนี้ ศันต์พร้อมจะพลีเพื่อเธอคนเดียว … นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คูณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อคุณผู้อ่าน สามารถหาซื้อเป็น eBook ได้ โดยสามารถติดตามรายละเอียดได้ใน Facebook Fanpage : สิริมารีน ค่ะ

……………………………………………………………

-5-

 

“อาสาสมัครจะต้องผ่านการคัดเลือกจากหน่วยโอเอสเอส สำนักงานแผนยุทธศาสตร์งานราชการลับสงคราม สัมภาษณ์ดูสภาพจิตใจ และสอบประวัติว่าเกี่ยวข้องกับฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ จากนั้นจึงจะส่งไปฝึก” ผู้ใหญ่ในที่ประชุมกล่าว “งานที่ทำนี้ยากลำบาก เสี่ยงชีวิต…”

ที่ประชุมเคร่งเครียด หลายคนมีสีหน้าหวาดหวั่น แต่ก็ไม่มีใครขอถอนตัว เสรีไทยผ่านการคัดเลือกรอบแรกสิบสามคน ทั้งหมดได้ชื่อรหัสใหม่ ต่อไปนี้จะไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต อยู่กับปัจจุบันและหน้าที่ หากถูกฝ่ายตรงข้ามจับ ก็จะไม่มีความลับอื่นใดรั่วไหลออกไป นอกเหนือจากเรื่องส่วนตัว

หลังจากตรวจสุขภาพ ปฏิญาณตนต่อธงชาติสหรัฐแล้ว ก็สวมชุดพลทหารอเมริกัน ศันต์ กลายเป็น “ซัน”…ชื่อรหัสซึ่งหมายถึงการทำหน้าที่ของลูกผู้ชายในการปกป้องมาตุภูมิ พร้อมกับเพื่อนร่วมตายอีกสิบกว่าคนที่จะออกเดินทางไปเข้าศูนย์ฝึกด้วยกัน

ชายหนุ่มกลุ่มนี้แตกต่างทั้งรูปร่าง หน้าตา และฐานันดร มีเพียงจิตใจที่มุ่งมั่นจะสู้เพื่ออธิปไตยของชาติเท่านั้น ที่รวมพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน “สมาร์ท” เพื่อนใหม่ที่นั่งเบียดข้างซันบนรถลำเลียงพลประกาศว่า “ญี่ปุ่นไม่มีทางชนะ และเราก็จะไม่ยอมให้ไทยต้องแพ้สงครามไปกับญี่ปุ่นด้วย” ความตั้งใจที่จะช่วยให้ชาติพ้นภัย ทำให้ทุกคนพร้อมจะเผชิญความยากลำบาก ที่เริ่มต้นตั้งแต่การออกเดินทางไปฝึก

จุดหมายของรถลำเลียงพลอยู่ที่ค่ายลับในป่าแมรี่แลนด์ ซันคิดว่าจะได้เข้าที่พัก อาบน้ำล้างฝุ่นและคราบไคลจากการเดินทาง แต่หัวหน้ากลับสั่งให้เข้าฟังปฐมนิเทศที่โรงเรือน

ครูฝึกที่ยืนอยู่หน้าห้องอบรมนั้นรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีทองอร่ามสวมเครื่องแบบทหารติดยศร้อยเอก

“พวกคุณเข้ามาเป็นกองกำลังใต้ดินเพื่อสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่น ในวันที่ฝ่ายสัมพันธมิตรกำหนด ผมทราบมาว่า บางคนผ่านการเรียนวิชาทหารมาบ้างแล้ว แต่อีกหลายคนเป็นนิสิตนักศึกษา เราจะคัดแยกจัดการฝึกตามความเหมาะสม”

“ถ้าไม่เข้าใจ หรืออยากรู้อะไร ให้ถามครูฝึกเท่านั้น อย่าถามกันเอง และไม่ต้องไปหาคนอื่น” ผู้กองย้ำหลายครั้ง “สำคัญที่สุดคือการรักษาความลับ ทั้งข้อมูลทางทหาร และเรื่องส่วนตัว ระวังเรื่องการพูดคุยไม่ว่ากับคนใกล้ชิดหรือใครก็ตาม”

ต่อจากนี้ ทุกคนจะต้องเรียนรู้ อดทนสู้ความยากลำบาก เพื่อออกสู่สนามรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนร่วมตายที่ไม่รู้จักชื่อจริง…

เพราะหิวโหยเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง อาหารเย็นไร้รสชาติจึงอร่อยขึ้นมาได้ ห้องอาบน้ำรวมเป็นอีกอย่างที่ไม่เคยคุ้น ต้องรีบอาบรีบออกมาจัดแถวในโรงนอน พอหัวถึงหมอน ซันจึงหลับเป็นตาย

 

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาถูกปลุกตั้งแต่ยังไม่สว่าง ไม่มีการลดหย่อนให้ทหารหัดใหม่ ครูฝึกจอมโหดเรียกแถว แล้วการออกกำลังมือเปล่าก็เริ่มต้นขึ้น

“หนึ่ง สอง สาม” ซันตะโกนตามจังหวะ

“แรงอีก!” ครูฝึกร้องแล้วเรียกคนที่ดูอ่อนแอออกมาวิดพื้น ระหว่างพวกที่เหลือออกวิ่ง พอได้กินอาหารเช้า ซันก็แทบจะเลียจาน และอย่าคิดว่ามีเวลาย่อย ล้างจานเสร็จเรียกแถวอีกแล้ว!

ซันงุนงงไปหมด แน่นอนเขาไม่ได้คิดว่าจะมาสนุกสบายเล่านิทานรอบกองไฟอย่างค่ายโรงเรียน แต่จารชนต้องเคี่ยวกรำร่างกายหนักหนาสาหัสขนาดนี้เชียวหรือ และนี่ก็เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น…

“ต่อไปเป็นวิชาต่อสู้ระยะประชิด” ครูผมทองประกาศ “ต้องใช้มากในการจารกรรม ทุกอย่างเป็นอาวุธได้ และต้องลงมือให้เร็ว ใครไวกว่าคนนั้นได้เปรียบ”

จู่ๆ ครูก็หันมาฟันสันมือใส่ซันจนต้องหลบฉาก “ตอบโต้ด้วย” ครูบอก “สมมติว่ามือคีบบุหรี่ จะดีดใส่หน้าข้าศึก หรือจิ้มนัยน์ตาเลยก็ได้”

ซันเหลือบมอง ไม่อยากคิดว่าเขาอาจต้องทำให้คนอื่นตาบอด “ถ้าเราไม่ทำก่อน เขาก็จะทำเรา” ครูฟาดสันมือมาอีกครั้ง คราวนี้ซันยกแขนรับพร้อมกับจิ้มนิ้วไปที่ตา แรงของเขายังสู้ฝรั่งร่างใหญ่ไม่ได้ แต่นิ้วมือมีพิษสงพอใช้

“จำไว้ ไม่มีความปรานีในสนามรบ!”

วันต่อมา การฝึกยิ่งหนักขึ้น เพิ่มการไต่เชือก ปีนกำแพง หลังจากแบกเครื่องหลังเดินทางไกล โหนตัวข้ามลำน้ำรอบแรกจบลง ซันพบว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก แขนและหน้าท้องมีกล้ามเนื้อขึ้นชัดเจน ทางด้านจิตใจนั้นแทบด้านชาต่อทุกความรู้สึก ระหว่างเดินเท้าเขาแทบไม่ได้รับอาหาร แต่ก็เพิกเฉยได้ต่อท้องที่ร้องประท้วง อีกทั้งยังพูดน้อยลง เพื่อรักษาความลับ ในบางวัน ซันพูดเพียง “ครับผม!” เท่านั้น

เขากลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับตัวเองไปเสียแล้ว…

“ขั้นต่อไป เรียนอาวุธสั้น” ครูจ่าประกาศ

เพื่อนกลุ่มแรกซ้อมยิงเสร็จแล้ว ซันกับสมาร์ทถูกเรียกเข้าไปเป็นชุดที่สอง เพื่อเรียนรู้การใช้อาวุธปืนสั้นสำหรับป้องกันตัว

“ถ้าเคยหัดยิงมาบ้าง ก็ลืมเสียให้หมด คราวนี้เป็นกระสุนจริง ปืนพก” ครูเรียงปืนสั้นแบบต่างๆ ลงบนโต๊ะ “นี่คาร์ไบน์ ของอเมริกัน หัดบรรจุกระสุนก่อน”

ทั้งกลุ่มมอง “ครูจ่า” ตาไม่กะพริบ

“เล็ง ยิง ปฏิบัติ!”

ซันก้าวออกไปก่อน ทำท่ากระชากปืนจากซองแล้วยิงแบบที่คิดว่าเท่ที่สุด

“ยังกับหนังคาวบอย” ครูส่ายหัว “วิธียิงปืนสั้น กำด้ามปืนด้วยมือข้างถนัดให้แน่นๆ”

ซันขยับปืนในมือ ยืนแยกขาตามต้นแบบ

“อย่าให้กว้างมาก เราไม่ได้เล่นซูโม่ ใช้มือซ้ายขึ้นลูกเลื่อน แล้วอุ้งมือซ้ายกุมมือขวา สปริงตัวให้ซ้อนตรงกับเป้าหมาย ยิงทันทีรับรองถูกแน่ๆ ตั้งแต่สะดือขึ้นไป”

“พร้อม! เล็ง! ยิง!”

กระสุนถูกเป้าหมายจริงอย่างครูว่า ซันลองกระโดดสปริงตัวซ้ายขวา ก็ได้ผลทุกครั้ง

“ทีนี้ลองรีวอลเวอร์ ต้องใช้สองมือง้างนก…ดีมาก ซัน!”

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่า ความเป็นนักรบค่อยซึมเข้าสู่สายเลือด ปืนกับกระสุนจริงที่ไม่เคยใช้มาก่อน ก็กลับกลายเป็นอาวุธที่คล่องมือ ก่อนหน้านี้เขาเคยสงสัยว่าตัวเองจะทนลำบากได้สักแค่ไหน แต่ก็ผ่านมาได้ทุกด่าน ตั้งแต่เดินทางไกล หมอบคลานในปลักโคลน ลอดซุ้มลวดหนาม มาจนถึงฝึกอาวุธปืนพก

“เราจะเน้นปืนสั้น เพราะเหมาะกับงานจารชน” ครูฝึกบอกเหมือนจะรู้คำถามในใจของเขา

“พื้นฐานผ่านหมดทุกอย่าง เหลือแต่ซ่อมให้คล่อง หัดถอดประกอบปืนจนชินทำได้อัตโนมัติ” นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองก่อนจะออกคำสั่ง “เลิกแถว!”

อาวุธคู่มือของซันคือปืนพกสิบเอ็ด ม.ม. เป็นเพื่อนที่คุ้นเคยและพึ่งพาได้มากที่สุด กลางดึกคืนนั้น พวกเขาถูกปลุกขึ้นมาหัดใช้ปืนในความมืด ถอดประกอบชิ้นส่วนจนคล่องแคล่ว จากนั้นในคืนต่อๆ มา ก็ทดลองออกปฏิบัติการ

“ดินระเบิดมีประโยชน์มาก” ครูบอกเสียงดังฟังชัด “ใช้ได้ทั้งทำลายรางรถไฟและสะพาน ตัดเส้นทางข้าศึก การวางระเบิดต้องทำตอนกลางคืน” นี่คือสาเหตุที่ถูกเรียกแถวกลางดึก ทั้งหนาว และมืดสนิทจนยกมือตัวเองขึ้นตรงหน้าก็แทบมองไม่เห็น

เพราะเคยสนใจฉากระเบิดในภาพยนตร์ ซันจึงนึกสนุกกับงานนี้ พอได้รับทีเอ็นทีครึ่งปอนด์ ก็รีบแขวนตามตำแหน่ง แล้วจู่ๆ ร่างของเขาก็ถูกแรงมหาศาลผลักจนล้มคว่ำหน้าครูดไปกับพื้น แผ่นหลังร้อนราวกับจะไหม้เกรียม

“ซัน!” เสียงตะโกนของครูคือสิ่งสุดท้ายที่รับรู้ก่อนสติจะดับวูบไป

………………………………..

”ตรงนี้เป็นแผลจากสะเก็ดระเบิด” เสียงของใครคนหนึ่งปลุกให้ซันตื่นจากฝันร้าย

“ส่วนนี่ รอยถลอกเพราะล้ม วิธีปฐมพยาบาลขั้นแรกรีบห้ามเลือด ใช้ผ้าที่ผูกคอ หรือผ้าอะไรก็ได้พับให้แน่นกดไปที่แผล แล้วพันทับด้วยผ้าผืนยาว พวกแจ็คเก็ต ผ้าพันคอ เสื้อยืดก็ได้ แบบนี้”

อาการร้าวระบมที่แผ่ซ่านไปทั้งร่าง บอกให้ซันรู้ว่า เขาคือคนเจ็บที่เพื่อนๆ ช่วยกันปฐมพยาบาลอยู่สมองที่มึนงงไม่เข้าใจคำอธิบายเรื่องการห้ามเลือด ล้างแผล วิธีใช้ยาทาและยากิน พวกปฏิชีวนะและลดไข้บรรเทาปวด แต่ก็พอจับใจความได้ว่า เขากลายเป็นหนูทดลองไปเสียแล้ว! ชายหนุ่มนึกขันจนต้องหัวเราะออกมาทั้งที่น้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวด…

พอลุกไหว ซันก็เข้าเรียนต่อ พอดีกับที่เป็นวิชาที่นั่งฟังบรรยายในห้อง ว่าด้วยการดูแลตัวเองเวลาเจ็บป่วย เดินป่า รักษาสุขภาพและทำแผลเล็กๆ น้อยๆ เป็นที่เข้าใจว่า ถ้าบาดแผลฉกรรจ์ ก็คงจะตายเสียในป่าเท่านั้นเอง

ซันยังไม่หายดีก็ต้องออกเดินทางอีกครั้ง หลังจากเรียนการปฐมพยาบาลและระเบียบปฏิบัติของทหารจบแล้ว พวกเขาก็ถูกส่งไปยังค่ายที่สอง เพื่อฝึกนาวิกโยธิน ซึ่งซันได้รับการยกเว้นให้เรียนรู้เพียงแค่พอทำได้ เพราะร่างกายยังไม่แข็งแรง

“การรบไม่ใช่แค่ใช้กำลัง” ครูเรียกซันไปคุย “มีงานใช้สมองอยู่ด้วย นายโดนระเบิดมา เราจะให้ฝึกวิทยุสื่อสาร ที่จริงก็ฝึกทุกคนในค่ายที่สาม แต่จะเน้นให้เป็นหน้าที่หลักของนาย เพราะว่า นายคล่องภาษา ความจำก็ดี ฉันสังเกตนายมาพักหนึ่งแล้ว”

ซันตอบรับ และตั้งใจเป็นพิเศษในค่ายที่สาม ซึ่งสอนวิทยุสื่อสาร

 

“ในการรับส่งวิทยุ เราใส่รหัสสามชั้น” ครูอธิบาย “แปลงข้อความธรรมดาเป็นโค้ด แปลงเข้ารหัสมอร์ส แล้วใส่ตัวคิวโค้ด ก่อนจะส่งสัญญาณออกไป เข้าใจไหม”

“ครับ” ซันตอบเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ทั้งที่เริ่มวิงเวียน หนักใจอยู่ไม่น้อย กับการเข้ารหัสซ้อนถึงสองชั้น แต่ในเมื่ออาสามาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะหันกลับ

“จะบอกวิธีการคร่าวๆ ก่อนเรียนรายละเอียดทีละขั้น เริ่มแรกต้องทำไซเฟอร์ คือทำข้อความเป็นโค้ด แทรกตัวอักษรหลอกที่เรียกว่าดัมมี่เข้าไปไม่ให้คนอื่นอ่านรู้เรื่อง นี่คือกุญแจถอดรหัส” จ่าส่งให้นักเรียนดู

สิ่งที่ครูเรียกว่า “คีย์” นั้นมิใช่กุญแจโลหะ หากแต่เป็นแพรขาวบางเบาราวใยไหม ผืนเล็กกว่าผ้าเช็ดหน้า พิมพ์ตัวอักษรไว้ด้วยหมึกดำ

“บางที ความอ่อนโยนอาจชนะการใช้กำลังรุนแรงก็ได้” ครูชี้ให้ดูตัวหนังสือ “ถ้าไม่มีคีย์ของโค้ดที่ตรงกัน ก็จะถอดข้อความไม่ออก หากเข้าที่คับขันให้กินผ้านี้เข้าไป เมื่อถ่ายออกมา ซักแล้วจะยังใช้ได้ต่อไป หมึกไม่เลือนหาย”

“พอเข้าโค้ดแล้วก็แปลงเป็นมอร์สอีกที รู้จักไหม” ครูพูดเหมือนง่าย ในขณะที่ซันต้องพยายามทั้งจดและจำ เพราะนี่คือหน้าที่หลักของเขา

“ไม่ทราบครับ” หลายคนตอบพร้อมกัน

“ตอนแรกอาจจะยาก แต่พอท่องจำได้แล้ว ก็จะอัตโนมัติไปเอง” ครูให้กำลังใจ “เบสิกก็คือ ใช้จุดและขีด แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลข จุด อ่านว่า ดิท ขีด ออกเสียง ดา ผสมกันเป็นตัวอักษรเช่น ซี ดา ดิท ดา ดิท”

ซันคิดว่าเขาน่าจะพอท่องจำได้ แต่…

“ยังไม่หมดนะ พอแปลงเป็นมอร์สแล้ว ตอนส่งวิทยุต้องนำด้วยคิวโค้ด เพื่อให้ฟังเหมือนวิทยุทหารหรือพลเรือนทั่วไป ฝ่ายตรงข้ามจะได้ไม่สนใจจับสัญญาณ”

“ที่จริง ยังมีรายละเอียดอื่นอีก วันนี้ เริ่มจากมอร์สก่อน ใครผ่านค่อยเรียนโค้ดต่อไป” ครูกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้านักเรียน

ตอนฟังครูครั้งแรกว่ายากแล้ว แต่ซันพบว่า เรียนจริงลำบากกว่าที่คิด เพราะ…“ถ้าเขาจับได้ เราก็ตาย เพราะเขาหาพิกัดจุดที่รับส่งไม่ยาก” ครูพูดถึงการฆ่าฟันได้อย่างหน้าตาเฉย ราวกับคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

เราต้องไม่พลาด…ซันบอกตัวเอง ยกมือขึ้นแตะผ้าเช็ดหน้าปักไหมที่ซ่อนไว้ในอก บอกตัวเองให้ตั้งใจเรียน หนึ่งแรงจากเขา อาจมีส่วนช่วยให้สงครามยุติเร็วขึ้น เขาจะได้กลับไปพบกับเจ้าของผ้าผืนนี้อีกครั้ง…

ความอยู่รอดของชาติและประชาชนนั้น หมายรวมถึงความสุขของบุคคลอันเป็นที่รักด้วย…

ชายหนุ่มหันมามุ่งสมาธิกับรหัสตรงหน้า และพบว่าครูมีวิธีการสอนที่ดี พอท่องไปนานเข้า ก็คุ้นเคยจนทำได้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อเรียนวิธีดูดินฟ้าอากาศ อุตุนิยมวิทยา และสรุปเน้นการรักษาความลับ ก็ถือว่าจบหลักสูตร

ในที่สุด เสรีไทยชุดแรกก็พร้อมออกปฏิบัติการ ภายใต้บังคับบัญชานายพลไทยและอเมริกันร่วมกัน พวกเขาได้รับการติวเข้มครั้งสุดท้าย เน้นการรักษาความลับ แต่ละกลุ่มไม่ควรรู้ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง “ไม่ต้องสนใจเรื่องคนอื่น ดูแววตานายก็เห็นแล้วว่า นายปกปิดอะไรอยู่”

“ย้ำกันอีกครั้ง” นายสิบฝรั่งร่างใหญ่ประกาศ “อย่ารู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็น อย่าสืบนอกเหนือหน้าที่ เพราะเวลาถูกจับ คนสอบสวนแค่ดูสีหน้าแววตา ก็สรุปได้แล้วว่าโกหกหรือไม่ ถ้าพูดเท็จก็จะถูกทรมานเค้นเอาความจริง พิการ หรือตาย” จึงต้องซ้อมตอบคำถามด้วย

ซันกับสมาร์ทสบตากัน แม้จะอยากถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากแค่ไหน ก็ทำไม่ได้ด้วยกฎข้อห้ามนี้…

สักวัน เมื่อสงครามสงบ ทั้งสองอาจได้เป็นเพื่อนกันในชีวิตจริง แต่ในสภาวะที่รู้จักได้แค่ชื่อรหัสสำหรับทำงานใต้ดิน ก็ดีไปอีกแบบ เพราะซันอยู่แต่ในปัจจุบัน ช่วยเหลือกันยามหิวหรือป่วยไข้ โดยไม่มียศ ตำแหน่ง ภูมิหลัง ทุกคนเท่าเทียมเมื่อมาร่วมรบเพื่อชาติ…

เวลาหนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสรีไทยกลุ่มแรกที่ฝึกการรบใต้ดินกลับไปติดยศทหารอเมริกันที่วอชิงตัน

ร้อยตรีซันทำวันทยหัตถ์ด้วยความรู้สึกที่ว่า พิธีประดับยศอย่างเป็นทางการนี้เป็นการประกาศให้อเมริการู้ว่า เสรีไทยพร้อมออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ไช่เพื่อเกียรติ แต่เป็นเครื่องหมายแสดงถึงศักดิ์ศรี ความรู้ และความสามารถที่ไว้วางใจได้

เมื่อติดยศแล้ว กลุ่มเสรีไทยก็รอคำสั่งให้ออกปฏิบัติการ…ซันรู้ดีว่าภารกิจนี้เสี่ยงตาย แต่เขาก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง เพื่อชัยชนะของประเทศชาติ…



Don`t copy text!