ศรีนาง ตอนที่ 5 : ดอกจัน

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“ตัดหัวโคตร” ยายจันทร์ด่าทอด้วยถ้วยคำหยาบคายรุนแรงด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ชาติเปรต ไอ้เด็กอุบาทว์ กูเลี้ยงแม่มึง เลี้ยงมึง สันดานเหมือนกัน ไม่โร้หวัน (1) ไม่โร้บุญคุณ…”

ศรีนางนั่งล้างจานทั้งที่น้ำตาคลอ ถ้าอ่อนไหวหรือเข้มแข็งน้อยกว่านี้คงร้องไห้ตั้งแต่โดนด่าคำแรก แม้อายุเพียงสิบแปดแต่ชีวิตของศรีนางผ่านบททดสอบหลายครั้ง อย่างหนึ่งที่เธอมีมากกว่าเด็กวัยเดียวกันคือความอดทน

“แม่มึงก็อุบาทว์ ตามผัว (2) ให้กูบัดสีคน ลักทองกูไปขายเหม็ดฉาด” ยายจันทร์อารมณ์เสียหนัก ดุด่าหลานสาวคนเล็กตั้งแต่คล้อยหลังแขก “ถึงแล้วพันพรือ สุดท้ายก็กลับมาตายที่บ้าน ทุ่มมึงไว้ให้กูเลี้ยง อีฉิบหายเลี้ยงให้เปลืองข้าวสุก”

น้ำที่คลออยู่ในตาหยดแหมะผ่านแก้มนวล ศรีนางคิดถึงแม่ ถ้าแม่ยังอยู่ อย่างน้อยเธอคงไม่อ้างว้างและสิ้นไร้ที่พึ่งอย่างนี้

“ล้างถ้วยเสร็จก็ไปพ้น เห็นหน้ามึงแล้วกูหวิบ (3) ขึ้นมาหลาว ถ้ากำนันโกรธ แกไม่เอามึงให้ลูกบ่าว ทีนี้ได้ฉิบหายกันหมด”

ศรีนางเม้มปากแน่น สูดจมูก เช็ดน้ำมูกน้ำตากับแขนเสื้อ เธอรู้เท่าทันอารมณ์ของยายจันทร์ จึงเลือกเงียบ เมื่อพูดไปก็ไร้ประโยชน์

หลังทำงานในครัวเสร็จ เด็กสาวก็ลอดใต้ถุนบ้าน เดินตัดลานดินกลับเรือนข้าว แต่ภาพที่เห็นทำเอาเข่าอ่อน เดินไม่ไหว ถึงกับทรุดนั่งตรงนั้น ละล่ำละลักถามปากคอสั่น

“ป้ารุ่งผะ…เผาหนังสือนุ้ย เผาของนุ้ยทำไม”

“แม่เฒ่ามึงสั่ง” รุ่งใช้ปลายเท้าเขี่ยเศษกระดาษเข้ากองไฟ “ทำหรอย ทำพี่พอได้ วันนี้มึงทำแม่เฒ่าบัดสีคน”

ศรีนางพูดไม่ออก ก้อนสะอื้นจุกแน่นในลำคอ มองเปลวไฟเผาไหม้หนังสือเรียนที่มีไม่กี่เล่มด้วยใจสลาย ลมหอบใหญ่พัดผ่านวูบหนึ่งโหมกระพือเปลวเพลิงให้ยิ่งลุกโชน กระแสลมแรงพัดเถ้ากระดาษปลิวว่อนรอบกายศรีนาง ไม่เพียงหนังสือเท่านั้นที่มอดไหม้ แต่ความหวัง ความฝันพลันดับสูญไปพร้อมกัน

“มึงมันคนไม่รู้สา พ่อแม่มึงตาย ได้แม่เฒ่าเลี้ยงจนใหญ่ ให้ที่กิน ที่นอน หมามันยังรู้บุญคุณคนให้ข้าว ให้น้ำ”

“เผาทำไม เผาหนังสือนุ้ยทำไม” ศรีนางถามเสียงเบาเจือสะอื้น

“หนังสือมึงช่วยไรได้ม่าย วุฒิมอหกเอาไปทำไร” รุ่งใช้ปลายนิ้วกดหน้าผากหลานสาวค่อนข้างแรงเพื่อย้ำเตือน “เขาให้แต่งก็แต่ง ยังดีว่าเณรสันต์ (4) ชอบมึง เป็นลูกกำนัน บุญราสา เงินทองของหมั้นเขาก็สมฐานะ”

“นุ้ยไม่ใช่สิ่งของ จะยกจะขายให้ใครก็ได้” ใจศรีนางบอบช้ำ น้ำตาอาบแก้ม หมดสิ้นแรงใจและไฟฝัน ต่างกับกองเพลิงที่ยังโหมกระพือเพราะมีกระดาษเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี

“เสียดายว่าเณรสันต์อยู่ในเคราะห์ ต้องบวชก่อน ไม่พันนั้นได้แต่งแล้ว” รุ่งนึกเสียดายสินสอด แต่อย่างน้อยถ้าหมั้นหมายกันอีกฝ่ายคงมอบแก้วแหวนเงินทองให้ส่วนหนึ่ง “มีผัวแล้วก็ไปให้พ้นๆ เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก”

พูดจบรุ่งก็เดินบ่นพึมพำจากไป ทิ้งหลานสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้ากองไฟ

ความอดทนของศรีนางสิ้นสุดลงพร้อมๆ กับกระดาษแผ่นสุดท้ายที่โดนเผาจนไหม้เกรียม หญิงสาวคิดและตัดสินใจในนาทีที่ฟ้ากำลังเปลี่ยนสี ช่วงเวลาที่กลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืน

ไม่ขออยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว

ทว่าความจริงไม่ง่ายอย่างที่คิด ศรีนางต้องใคร่ครวญและวางแผนอย่างรอบคอบ อีกอย่างคนที่พึ่งพาได้มีแค่เทียนจ๋ายกับกิ่งกาญจน์ เธอไม่อยากให้ทั้งสองคนเดือดร้อน จึงต้องมั่นใจว่าจะไม่เป็นภาระให้ใคร อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศรีนางต้องรอคือ…เธอไม่มีเงิน

 

ย่างเข้าเดือนเมษายน การไฟฟ้าเริ่มปิดอุโมงค์เพื่อกักเก็บน้ำ คณะทำงานของกรมป่าไม้ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพราะระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ การเข้าช่วยเหลือสัตว์ป่าในพื้นที่ยังพอทำได้ แต่ทุกคนกังวลกับหน้าฝนที่กำลังมาถึง

“ตอนนี้ระดับน้ำเท่าไหร่ ริน” เบนจามินใช้มือซ้ายจดข้อมูลยุกยิกในสมุดโน้ตเล่มหนา

“ประมาณสิบสี่เมตรเหนือระดับน้ำทะเลครับคุณเบน”

“ปัญหาไม่ได้มีแค่ระดับน้ำ…ได้ยินว่าชาวบ้านลักลอบเข้ามาล่าสัตว์ ตัดต้นไม้”

“ครับคุณเบน” สารินไม่วิพากษ์วิจารณ์ หน้าที่ของเขาคือช่วยเบนจามินเก็บข้อมูลทำวิจัย เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือข้อมูลไม่ใช่ความคิดเห็น “เขาจัดให้มีเจ้าหน้าที่คอยลาดตระเวนครับ”

“ฉันคงไปๆ มาๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอด” เบนจามินปิดสมุดตอนที่แสงสุดท้ายของวันลับขอบฟ้า “ครั้งนี้ต้องไปพึ่งอังเคิลนาย”

“คุณชายบอกผมแล้วครับ”

แผนเดิมของเบนจามินคือเก็บข้อมูลเตรียมทำวิจัย แต่เขื่อนยังไม่เสร็จ และยังไม่ถึงหน้าฝน อีกอย่างคือผู้ช่วยอย่างสารินต้องกลับไปทำงาน ชายชาวอังกฤษจึงใช้โอกาสนี้พักผ่อนตามคำชักชวนของเพื่อนเก่า

นักวิจัยชาวอังกฤษชื่นชมสารินเรื่องความรู้ความสามารถและระเบียบวินัย น่าเสียดายที่เอ่ยชวนไปเรียนต่อที่เคมบริดจ์แต่อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างสุภาพ

“รินน่าจะกลับกรุงเทพพร้อมฉัน” เบนจามินเอ่ย

“มีงานด่วนครับ ผมต้องไปทำภารกิจ”

“ซีเคร็ต?”

สารินเพียงยิ้ม เมื่อบ่ายวันนี้มีนายทหารชั้นประทวนมาหาพร้อมข้อความจากบิดา ฝ่ายนั้นรอสารินจบงานกับเบนจามินในอีกสองวัน แล้วเดินทางไปทำภารกิจลับในจุดที่เคยเป็นพื้นที่สีแดง นั่นเป็นสาเหตุที่สารินต้องไปกับเจ้าถิ่น

“คุณชายฉัตรรอรับคุณเบนที่หัวลำโพงครับ ส่วนผมจะกลับหลังจากนั้นราวๆ สามวัน”

“งานอะไรหรือริน” เบนจามินถามย้ำ วิสัยเขาไม่ใช่คนช่างซักหรืออยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่น แต่เพราะถูกชะตาและพอใจนิสัยใจคอสารินจึงอดถามหนุ่มรุ่นน้องไม่ได้ “อันตรายหรือเปล่า”

“ไม่หรอกครับ” บทสนทนากับบิดาทำให้สารินรู้ว่าเร็วๆ นี้อาจมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ เป็นช่วงที่คนเมืองลงพื้นที่ผูกสัมพันธ์กับผู้นำท้องถิ่นในชนบท สารินบอกใครไม่ได้ว่า พ.อ.ดนู พันธินพลาธิป พ่อของเขากำลังผูกมิตรกับผู้นำชาวบ้านเพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้า

สองวันต่อมาก็ครบกำหนดช่วยงานเบนจามิน สารินขับกระบะดัทสันมาคืนเจ้าของที่สถานีรถไฟ พร้อมๆ กับส่งเพื่อนชาวต่างชาติของน้าชายขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ

“See you soon” เบนจามินโผล่หน้าจากหน้าต่างพลางโบกมือให้สาริน “เจอกานถีบานชาร์ลส์” คราวนี้นักวิจัยหนุ่มตะโกนเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ

“หมวดริน”

ร้อยตรีสารินหันไปตามเสียงเรียก พบนายทหารยศจ่าซึ่งเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง สวมเสื้อเชิ้ตเก่าปอนหลวมโพรก มีใบจากกับยาเส้นโพล่จากกระเป๋าเสื้อ เหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไป

“สวัสดีครับจ่า ผมพร้อมแล้วครับ”

เพื่อให้กลมกลืนกับผู้คนและสถานที่ สารินจึงแต่งกายเรียบง่าย คือสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเชิ้ตเนื้อบางแขนสั้น ใส่กางเกงผ้าสีเข้ม และสวมหมวกแก๊ปปิดผมสั้นเกรียน กระเป๋าเป้ลายพรางถูกเปลี่ยนเป็นสีฟ้าปอนๆ ดูเผินๆ ไม่แตกต่างจากชาวบ้านร้านตลาดเท่าไร เว้นเสียแต่ว่าหากจ้องมองอย่างพินิจพิจารณา จะเห็นถึงความต่างทั้งรูปร่างสูงโปร่ง ผิวกายขาวละเอียดสะอาดสะอ้าน และใบหน้าหล่อเหลาชวนมอง

“ไกลไหมจ่า”

“ไม่ไกลเท่าไหร่ครับ”

เพราะเป็นรถรอบสุดท้ายจากสถานีรถไฟไปต่างอำเภอ ผู้โดยสารจึงเต็มจนล้น สารินสละที่นั่งให้สองยายหลาน ส่วนตัวเองยืนเกาะโครงเหล็กที่ท้ายรถสองแถว

ถนนเส้นนี้ยังเป็นดินลูกรังสีแดง เต็มไปด้วยหลุมบ่อ รถโดยสารจึงเคลื่อนที่ค่อนข้างช้า กว่าจะถึงปลายทางซึ่งเคยเป็นพื้นที่สีแดง ซึ่งก็คือค่ายลับของกลุ่มคอมมิวนิสต์เมื่อหลายปีก่อนก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ

“ต้องเดินไปเหลย” จ่าด้วงพูดใต้ หมายถึงเดินไปอีกหน่อย “สองแถวจอดเทียมนี้ ไม่มีรถเข้าไปแล้วหมวดริน”

“สบายมากครับ”

 

การปรากฏตัวของนายทหารหนุ่มสร้างความประหลาดใจให้ชายวัยย่างหกสิบ ลุงจำลองเคยเป็นผู้นำกลุ่มชาวบ้าน แม้ปัจจุบันพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยจะล่มสลายไปแล้ว แต่สายสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนร่วมอุดมการณ์ยังคงเหนียวแน่น อย่างหนึ่งที่ พ.อ.ดนูเล็งเห็นและพยายามมาตลอดคือดึงคนเหล่านี้มาเป็นพวกเดียวกัน สารินรู้ว่าบิดาเก่งกาจเรื่องกลยุทธ์ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำสั่งให้ทำภารกิจสำคัญ ชายหนุ่มอดทึ่งกับมันสมองของบิดาไม่ได้

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพ่อของเขาจึงก้าวหน้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่น ทว่ายังไม่เป็นที่พอใจของคุณนายลออ แม่เลี้ยงสารินอยากเป็นคุณหญิงใจจะขาด เฝ้ารอว่าเมื่อไรพันเอกจะเลื่อนขั้นเป็นนายพล…

“ว่าพรือจ่า นั่นมากับใคร” นายจำลองนุ่งโสร่ง ไม่ใส่เสื้อ มีผ้าขาวม้าสีแดงพาดบนไหล่ สองมือค้ำราวระเบียง หรี่ตามองสารินจากบนชั้นสอง

“นี่หมวดรินครับลุงลอง มาจากกรุงเทพ”

“สวัสดีครับ” สารินทำความเคารพ “ผม…”

“ไปๆ” ชายหนุ่มยังไม่ทันพูด อีกฝ่ายก็โบกมือไล่ด้วยเสียงที่แม้ไม่ดังแต่ชัดถ้อยชัดคำ “ไม่ต้องมาแหลงมาก ขี้คร้านฟัง”

“ขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ”

“แหลงไม่รู้ฟัง” ลุงจำลองทำท่าหมุนตัวเข้าบ้าน จ่าด้วงรู้ดีว่าข้างฝาแขวนปืนยาวลูกซองลำกล้องเป็นเหล็กขัดขึ้นเงาส่วนพานท้ายทำจากไม้มะค่า

“ลุงลอง…หมวดรินเป็นลูกบ่าวคุณเดี่ยว ดนู”

นายจำลองชะงัก หรี่ตามองสารินอีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา ครู่ใหญ่จึงเอ่ยสั้นๆ ว่า…

“หน้าไม่เหมือนพ่อ” ซึ่งแปลว่าหน้าเหมือนแม่ แต่ไม่ได้พูดออกไป

ชายชราซึ่งเคยลุกขึ้นต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ เปิดบ้านตอนรับลูกชายของนายทหารใหญ่ จำลองคลางแคลงใจในประชาธิปไตยและสงสัยในระบบทุนนิยม ทว่าหลายปีที่ผ่านมาเพื่อนๆ ผู้สนับสนุนแนวความคิดเดิมทยอยล้มหายตายจาก บ้างก็เปลี่ยนฝ่าย สุดท้ายจึงตกตะกอนความคิด อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน นั้นเป็นเพียงคำหวานไว้หาเสียงและหล่อเลี้ยงระบบให้น่าศรัทธา

จำลองวางอคติ ให้โอกาสชายหนุ่มที่ถูกส่งมาผูกมิตรถึงเรือน ด้วยความสุภาพเรียบร้อย พูดจามีหลักการน่าฟัง บวกกับท่าทางเป็นมิตรของสารินทำให้ผู้สูงวัยเปิดใจรับฟัง ออกปากว่าจะรับเงื่อนไขไว้พิจารณา

“เมื่อก่อนลุงจำลองแกดื้อ ใครมาบ้านนี่ยกปืนลูกซองขึ้นเล็ง” จ่าด้วงเล่าให้สารินฟังหลังเสร็จภารกิจ “พอแก่ถึงไม่ค่อยด้น” คำหลังหมายถึงดุ

“แกดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีนะครับ ถ้าไม่นับตอนเข้าไปหยิบปืน”

จ่าด้วงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ชาวบ้านเกรงใจ แหลงไหรใครก็เชื่อ”

สารินพยักหน้า หายสงสัยว่าทำไมบิดาอยากได้เป็นพวก การผูกไมตรีกับนายจำลองไม่มีธนบัตรเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับร่างกฎหมายใหม่เรื่องที่ดินทำกินและราคาสินค้าเกษตร

“ผมคิดว่าลุงจำลองคงไม่ยอมให้ผมเข้าบ้าน” ชายหนุ่มเอ่ยกับนายทหารผู้นำทาง “คุณพ่อให้เวลาผมสามวัน”

“เพราะหมวดเป็นลูกคุณหญิง” จ่าด้วงพูดพลางล้วงยาเส้นมาใส่ใบจาก

สารินชะงัก มองคนที่พ่นควันออกจากปาก นานมากแล้วที่ไม่มีคนนอกพูดถึงมารดา “จ่ารู้จักคุณแม่ผมหรือครับ”

“ผมม่ายรู้จัก แต่ลุงจำลองแกเคยพบคุณหญิงสมัยเสธ.มาอยู่ค่ายที่นี่” จ่าด้วงสูดควันเข้าปอดแล้วปล่อยออกทางปากและจมูก “ตอนนั้นแกไส้ติ่งแตก ผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย แต่แผลอักเสบ ไข้ขึ้นสูง เกือบตาย เห็นว่าคุณหญิงเป็นธุระ ช่วยหารถพาส่งโรงหมอที่ชุมพร แกเลยรอด”

สารินเพียงพยักหน้า ทุกคนที่รู้จักหม่อมราชวงศ์ช่อนลินีต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน…ใจดี

“แล้วนี่เราจะไปไหนกันครับจ่า”

“คืนนี้ต้องนอนวัด หมวดนอนได้ม่าย” จ่าด้วงฉีกยิ้ม อวดฟันหน้าที่หายไปหนึ่งซี่

“สบายมากครับ” แม้จะเป็นลูกชายนายพัน มีแม่เป็นหม่อมราชวงศ์ แต่สารินไม่ใช่คุณชาย เขาผ่านการฝึกทุกรูปแบบในโรงเรียนนายร้อย

“ไม่ใช่วัดแถวนี้ เป็นอีกหมู่บ้าน ญาติผมเป็นเจ้าอาวาส ตรงนั้นอยู่แค่หลาด ต่อเช้าหมวดขึ้นรถเที่ยวแรกไปถานีรถไฟได้บายๆ” จ่าด้วงพูดอะไรอีกหลายคำ แต่สารินเริ่มฟังไม่รู้เรื่อง เมื่ออีกฝ่ายจิบของเหลวไร้สีที่พกใส่ย่ามเก่าๆ

“แล้วจ่ากลับพร้อมผมไหมครับ”

“ผมเข้าป่า” ป่าที่จ่าด้วงพูดถึง เป็นผืนป่าอุดมสมบูรณ์อีกอำเภอ

ตอนที่สองหนุ่มต่างวัยเดินมาถึงถนนสายหลักก็เย็นมากแล้ว จ่าด้วงโบกรถปิกอัปเก่าคร่ำคร่าของชาวบ้าน แล้วขอไปลงอีกหมู่บ้านหนึ่ง สารินโหนตัวขึ้นกระบะหลัง ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดง ราวความมืดกำลังกลืนกินดวงตะวัน ควันจากยาสูบลอยเป็นสายกระจัดกระจายในบรรยากาศ จนกระทั่งพาหนะสี่ล้อเคลื่อนผ่านสะพานไม้ สองข้างทางเป็นภูเขาหินปูนเตี้ยๆ ตอนนั้นสารินได้ยินเสียงน้ำไหล

“คลองหรือครับจ่า”

“น้ำตกครับหมวด ตรงนี้เขาเรียกน้ำตกหัวโค้ง น้ำไหลมาจากบนเขา ทั้งใสทั้งเย็น” จ่าด้วงอธิบายพลางชี้ให้ดูสายน้ำที่ไหลผ่านใต้สะพาน

สารินพยักหน้า จู่ๆ ความคิดก็กระหวัดถึงสาวน้อยริมคลองอิปัน

“ร้อนๆ มาโดดน้ำ หนุกนิหมวด ตอนผมเด็กๆ ชอบมาเล่นน้ำที่นี่แล้วก็สระแก้ว”

“สะ…สระแก้วหรือครับ” สารินละล่ำละลักถาม “อยู่ตรงไหนฮะ”

“อยู่แค่ๆ วัด วัดอยู่บนควน (5) เดินลงมาก็พบสระแก้ว”

“ที่มีตาน้ำผุดขึ้นมาใช่ไหมฮะ”

“ช่าย” จ่าด้วงกำลังกรึ่มๆ ได้ที่ จึงเล่าประวัติสระน้ำใสแจ๋วให้นายร้อยหนุ่มฟัง “ศักดิ์สิทธิ์นะหมวด แม่ผมเล่าว่าเป็นวังพญานาค ใครมีบุญก็ได้เห็นท่านออกมาเล่นน้ำ เจ็บไข้ไม่บายถ้าได้กินน้ำในสระก็หาย…นี่ๆ แค่ถึงแล้ว เดี๋ยวผมพาหมวดไปแล”

“จ่าครับ” สารินลังเลเล็กน้อยก่อนถาม “จ่ารู้จักน้องนุ้ยไหมครับ”

คนฟังกะพริบตาปริบๆ น้ำเมาทำให้สมองทำงานช้า “มีคนชื่อนุ้ยกะลุยกะเอ นุ้ยไหนหมวด” นายด้วงหมายถึงคนชื่อนี้มีเยอะแยะมากมาย

สารินเลิกถาม เพราะเขาไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น

ครู่เดียวรถก็แล่นผ่านเขตชุมชน กระบะจอดหน้าตลาด สารินเดินตามจ่าด้วงที่ผิวแก้มเริ่มแดง ไม่นานก็ถึงวัดซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ

ตอนที่ทั้งคู่เข้าวัด ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม กลางศาลาการเปรียญจุดเทียนเล่มใหญ่ แสงสีส้มส่ององค์พระประธานดูงดงามแปลกตา ตอนนั้นชายหนุ่มสังเกตว่ามีชายสองคนนั่งพนมมือต่อหน้าพระสงฆ์รูปหนึ่ง

“สองสามวันนี้ก็อยู่วัดแลก่อน” พระชราพูดช้าๆ ด้วยสำเนียงพื้นถิ่นฟังยาก

“พ่อ ค่อยบวชได้ม่าย” คมสันต์กระซิบบอกกำนันเกษม

“แม่มึงไม่บายใจ”

“แต่ผมยังไม่อยากบวช”

กำนันเกษมนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ส่วนตัวนั้นไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ แต่เพราะภรรยาไม่สบายใจอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อหมอสายเอ่ยทักเมื่อวันก่อน “บวชไม่บวชก็ไม่ได้แต่งตอนนี้”

คมสันต์หงุดหงิด ดูเหมือนอะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ชายหนุ่มกราบลาเจ้าอาวาสเร็วๆ แล้วลุกออกจากศาลา ย่ำเท้าผ่านความมืด เห็นเงาตะคุ่มๆ สองเงา เขาไม่สนใจ ความเป็นลูกชายกำนันเกษมทำให้ทำตัวกร่าง จงใจกระแทกไหล่คนมาใหม่อย่างแรง

“คุณ เดี๋ยวสิ” สารินร้องเรียกชายที่เดินชนเขา รออีกฝ่ายขอโทษ

“พรือ อยากมีเรื่องเหอะ”

สารินชะงัก ลอบถอนหายใจเบาๆ เขาเป็นทหารก็จริง แต่นิสัยเป็นคนรักสงบ ไม่ชอบใช้กำลังแก้ปัญหา เมื่อเจอนักเลงเจ้าถิ่น ชายหนุ่มก็นิ่งเสีย

อีกฝ่ายฮึดฮัดขัดใจ กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงเนินจนกระทั่งลับสายตา

“ไอ้ลูกคนนี้” ชายวัยกลางคนลุกออกจากศาลาแล้วเดินตามลูกชายไปเงียบๆ

“บ่าวนั้นเป็นลูกกำนัน ยังเด็ก” จ่าด้วงกระซิบบอกเป็นทำนองว่าอย่าถือสา

สารินหมดความสนใจ ชายหนุ่มเดินเข้าศาลา กราบพระประธาน ก่อนกราบเจ้าอาวาสซึ่งเป็นญาติของจ่าด้วง ที่เมื่อเจอกันก็พูดภาษาถิ่นรัวเร็วจนฟังไม่ทัน

“มีกุฏิว่าง พอนอนได้” เจ้าอาวาสเอ่ยช้าๆ

“ขอบคุณครับ”

 

สารินนอนฟังเสียงกรนเบาๆ ของจ่าด้วงมาหลายชั่วโมงแล้ว ชายหนุ่มนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะแปลกที่ต่างถิ่น แต่เป็นเพราะความกังวล เขารู้ดีว่ากลับบ้านคราวนี้มีสิ่งใดรออยู่ หลังเสียแม่ สารินก็จำได้ว่าเขาไม่เคยเลือกหรือได้รับอนุญาตให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง บางครั้งชายหนุ่มก็นึกสงสัยในคำพูดของน้าและเพื่อนน้า…

ชีวิตเป็นของเรา

จริงหรือ

หลังจากหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน สารินก็ตัดสินใจคว้าเป้ที่ใช้หนุนต่างหมอน เปิดประตูไม้เก่าๆ อย่างเงียบกริบ นาฬิกาพรายน้ำบนข้อมือบอกว่าเป็นเวลาสี่นาฬิกา จันทร์เกือบเต็มดวงบนท้องฟ้าทอแสงนวลกระจ่างส่องให้เห็นบริเวณโดยรอบ

นายร้อยหนุ่มกระชับเป้บนไหล่แล้วเดินลงเนิน ครู่เดียวก็ถึงทางแยกซ้ายขวา จำได้ว่าตอนขามา จ่าด้วงชี้ให้เห็นทางไปสระแก้ว ไม่รู้เพราะแสงจันทร์บนท้องฟ้าหรือความสงสัยแห่งวัยทำให้สารินตัดสินใจเดินไปฝั่งตรงข้ามของตลาด

สระที่ว่าเป็นทรงกลม ตลิ่งปูด้วยหินก้อนแข็งแรงกันน้ำเซาะ รอบๆ เป็นต้นไม้ใหญ่ มีทั้งต้นโพ ต้นไทร และมีศาลเพียงตาเล็กๆ ทำจากไม้

แม้เป็นเวลาเกือบเช้าแต่พระจันทร์ยังส่องแสงลอดแนวต้นไม้ มองเห็นแผ่นน้ำกระเพื่อมไหวราวมีชีวิต เชื่อว่าถ้าได้เห็นสระแก้วตอนกลางวันคงสวยสมคำล่ำลือ

ขณะที่สารินกำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติ เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบแผ่วจางแว่วมากับสายลม

“มันอยู่เรือนข้าวคนเดียว”

“ตะ…แต่…”

สารินซ่อนตัวใต้เงามืด จากมุมนี้เขาเห็นชายหนุ่มคนเดียวกับเมื่อวาน ส่วนอีกคนเป็นหญิงวัยกลางคน หน้าตาไม่น่าคบ ส่วนท่าทางก็เลิ่กลั่กมีพิรุธ ความเป็นคนมีมารยาท ไม่นึกอยากรู้เรื่องชาวบ้าน สารินจึงค่อยๆ ขยับออกจากตรงนั้น

“ขึ้นหายายนุ้ย แล้วเอามันทำเมีย ป้าช่วยเต็มที่” ช่วยเต็มที่ของรุ่งคือแลกเปลี่ยนกันที่ธนบัตรสีม่วงหลายใบ “คืนนี้ ตอนนี้เลย”

สารินใจหายวาบตั้งแต่ได้ยินชื่อ ‘นุ้ย’ ไม่รู้ว่าคนเดียวกันหรือเปล่า แต่ฟังจากบทสนทนา เขามั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องดี ความกังวลใจเล็กๆ ทำให้นายทหารหนุ่มไม่อาจปล่อยผ่าน เขาโยนสัมภาระในสุมทุมพุ่มไม้เพื่อความคล่องตัว จากนั้นเร้นกายใต้เงามืด ตั้งใจฟังด้วยความหวั่นใจ

“น้องนุ้ยโกรธผมตาย” คมสันต์จำแววตาเอาเรื่องของสาวน้อยได้ดี

“ฮายยย ได้เป็นเมียก็สิ้นเรื่อง โกรธก็ทำไรไม่ได้แล้ว”

คมสันต์พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับป้ารุ่ง

สารินไม่ได้ยินเสียงกระซิบหลังจากนั้น รู้ว่าหญิงวัยกลางคนเดินข้ามสะพานไม้ ส่วนลูกชายกำนันยังรออยู่ฝั่งนี้ สารินสังเกตสถานการณ์อย่างไม่ค่อยสบายใจนัก ไม่ว่าหญิงสาวที่ทั้งคู่พูดถึงเป็นใคร เมื่อเขารับรู้การกระทำต่ำช้าของมนุษย์เพศชายที่คิดเอาเปรียบเพศที่อ่อนแอกว่า จึงทำใจวางเฉยไม่ได้

ครู่ใหญ่ชายหนุ่มผิวคล้ำ วางท่าเหมือนนักเลงค่อยๆ เดินข้ามสะพานไม้ซึ่งค่อนข้างเก่า ไม่มีขอบกั้น ทำจากไม้วางไว้เป็นซี่ๆ แล้วทับด้วยไม้กระดานขนาดพอให้รถยนต์ขับผ่าน

ทันใดนั้นทางเดินที่สว่างด้วยแสงจันทร์พลันมืดสนิท เมื่อเมฆดำก้อนใหญ่ลอยคล้อยต่ำ เสียงฟ้าร้องดังครืนๆ แว่วมาไกลๆ

สารินเหลียวมองรอบกาย ความมืดทำให้ชายหนุ่มต้องปรับสายตาเขาเห็นชายคนเดิมยืนอยู่กลางสะพาน แสงฟ้าแลบแวบหนึ่งเผยให้เห็นใบหน้าคมเข้ม น่าแปลกที่สารินจดจำใบหน้านั้นได้ขึ้นใจ

ฝ่ายคมสันต์แหงนหน้ามองฟ้า ยิ้มกริ่ม คิดเข้าข้างตัวเอง สวรรค์เป็นใจ หากฝนตกหนัก…

ชายหนุ่มวัยว้าวุ่นหยุดรอที่กลางสะพานครู่หนึ่งเพื่อบอกตัวเอง…น้องนุ้ย อย่าโกรธพี่สันต์เลยนะ พี่ทำเพราะรักน้อง คืนนี้ พี่ต้องได้น้องเป็นเมีย สาบาน!

ยังไม่ทันสิ้นคำสาบาน อสนีบาตก็ฟาดเปรี้ยงเสียงดังคล้ายระเบิด แสงสว่างวาบปรากฏตรงหน้าคมสันต์ สะพานไม้หลายซี่ไฟลุกพรึ่บ ร่างแข็งแรงของชายวัยฉกรรจ์ร่วงตกจากสะพานแล้วจมหายไปในคลองทันที

ด้วยสัญชาตญาณ สารินซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด กระโดดจากริมตลิ่ง เผชิญหน้ากับสายน้ำเย็นจัด โชคดีที่เป็นหน้าร้อน ระดับน้ำตื้นบ้างลึกบ้าง ทำให้นายทหารหนุ่มเห็นร่างที่ตกจากสะพานลอยไปติดสันดอนทรายกลางคลอง

ลูกชายกำนันยังมีลมหายใจ แม้บางส่วนของร่างกายจะเป็นรอยไหม้และผิวหน้าครึ่งหนึ่งดำคล้ำ สารินโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้โดนฟ้าผ่าตรงๆ ไม่อย่างนั้นคงสิ้นชื่อตั้งแต่นาทีก่อน

กว่าจะลากร่างไร้สติขึ้นฝั่งได้ก็ทุลักทุเลไม่น้อย ตอนนั้นเองที่ฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ริมตลิ่งที่สารินพาตัวขึ้นมานั้นเป็นไผ่สีสุกกอใหญ่ เสียงสวบสาบดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงเม็ดฝนกระทบใบไผ่แห้ง เนื้อตัวนายร้อยหนุ่มเปียกโชก สารินจับแขนลูกชายกำนันพาดบ่า แบกร่างไร้สติไปขอความช่วยเหลือ แต่รองเท้าคอมแบตเปียกชุ่มหนักอึ้ง ทำให้ชายหนุ่มรีบจัดการตัวเอง เขาวางร่างชายที่ไม่รู้ชื่อแล้วถอดรองเท้าเพื่อระบายน้ำ…

ว่ากันว่า ‘ชะตากรรม’ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อสรพิษลำตัวยาวกว่าสองเมตร สีดำมะเมื่อม ชูคอยกลำตัว หลังหัวแผ่ออกเห็นวงกลมสีขาวที่เรียกว่าดอกจันชัดเจน ลิ้นสองแฉกตวัดรับกลิ่นพลางส่งเสียงขู่ฟ่อเป็นเอกลักษณ์

โชคไม่ดีที่ฝนตกหนัก สารินไม่ได้ยินเสียงเตือน รู้ตัวอีกทีสองเขี้ยวก็กดลึกบนหลังเท้า พร้อมพิษร้ายที่แล่นปราดเข้าเส้นเลือด

พิษ…ที่ทำให้ถึงตาย!

 

เชิงอรรถ : 

(1) ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้กาลเทศะ

(2) หนีตามผู้ชาย

(3) โมโห

(4) ผู้ใหญ่นิยมเรียกผู้ชายที่ยังไม่เคยบวชพระว่าเณรตามด้วยชื่อ

(5) เนิน



Don`t copy text!