แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 2 : โรงการพนัน

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 2 : โรงการพนัน

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

เจ้ามือวงไพ่ในค่ำคืนนี้คือเจ้าเมืองหาง ชายผู้มีลักษณะท่าทางและสำเนียงการพูดเหมือนกับคนหนุ่มวัยประมาณสี่สิบปลายๆ ทั้งที่อายุกระดูกและสีของเส้นผมน่าจะล่วงเลยไปไกลมากแล้วก็ตามที เขาเดินทางมาพร้อมกับบรรดาขาไพ่ที่เป็นพวกข้าราชการท้องถิ่นอีกสาม และพ่อค้าฝิ่นชาวดอยอีกสี่ สถานที่นัดหมายในวันนี้ คือห้องรับรองที่ตั้งอยู่บนชั้นสองของตัวโรงแรม

เมื่อมาถึง พ่อเมืองเฒ่าก็เรียกให้คนของเขาทยอยนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามารับรองแขก แม้จะมีท่าทีเลิ่กลั่กบ้างในตอนแรก ด้วยเห็นว่ามีคนอังกฤษรวมอยู่ในนี้ด้วย แต่เมื่อชายหนุ่มหัวหน้าคณะได้ยืนยันอย่างหนักแน่นแล้วว่า ชายคนดังกล่าวเป็นเพียงนักสำรวจเท่านั้น ท่านเจ้าเมืองจึงมีท่าทีผ่อนคลายลง

ภายหลังจากอาหารมื้อค่ำอันโอชา ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการเล่นไพ่ เหล้าสุรา และมวนบุหรี่ซิการ์

แม้จะนั่งอยู่ในโต๊ะกลมร่วมกับคนอื่นๆ หากแต่แอลัน คาลเตอร์กลับรู้สึกเบื่อหน่ายถึงขีดสุด เพราะในวงไพ่เอาแต่สนทนาโต้ตอบกันไปมาเป็นภาษาถิ่นจนน่าหงุดหงิดรำคาญ แต่อย่างไรก็ดี รสชาติของวิสกี้ที่เพียรกระดกลงคอก็ไม่ได้ว่าเลวทราม แถมยังพอช่วยให้ช่วงเวลาที่น่าอึดอัดดูมีอะไรขึ้นมาบ้าง ว่าแล้วเขาก็เอาแต่นั่งมองชายหนุ่มที่กำลังนั่งเล่นไพ่และเจรจาปราศรัยกับคนอื่นๆ อย่างออกอรรถรส

ด้านเนย์วินไท่ก์เองก็ไม่มีเวลาสนใจเพื่อนของเจ้านายตนเองมากนัก เพราะเขาเอาแต่สาละวนอยู่กับไพ่ในมือ ส่วนมืออีกข้างก็ถือทั้งแก้ววิสกี้และคีบมวนซิการ์ขึ้นสูบไปพร้อมๆ กัน

…ทุกการเปิดไพ่คือธุรกิจ ทุกการแพ้ชนะคือการเดิมพัน ไพ่ทุกแต้มคือความเสี่ยงที่ตั้งอยู่บนตัวเลขจำนวนมากมาย

อนิจจา คาลเตอร์แทบไม่รู้ตัวเลยว่า แท้ที่จริงแล้ว ตนเองกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางวงเจรจาซื้อขายสิ่งต้องห้าม โดยเอาการเล่นไพ่มาบังหน้า

จนกระทั่งเวลาลุล่วงผ่านไปจนเกือบดึก หนึ่งในลูกน้องของพวกพ่อค้าฝิ่นก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกระซิบลงต่อหูผู้เป็นนาย ว่าแล้วก็หันไปกวักมือเรียกพวกผู้หญิงที่ยืนรออยู่ตรงหน้าประตูให้เข้ามา

“นี่มันอะไรกัน นิคโก้” คาลเตอร์หันมาถามอย่างสงสัย

“ก็คุณพูดเองไม่ใช่หรือ ว่าการเดินทางจะไร้ซึ่งรสชาติ ถ้าหากขาดการพนัน เหล้ายา และผู้หญิง… ”

ท่ามกลางควันบุหรี่ที่ลอยคละคลุ้ง กึ่งมึนกึ่งเมา เนย์วินไท่ก์พยักหน้าและผายมือให้อีกฝ่ายหาความสุขใส่ตนเอง “สาวสวยพวกนี้ พวกหล่อนเป็นของคุณแล้วคาลเตอร์ เลือกเอา…”

ไม่รอช้า บรรดาหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นก็รีบตรงปรี่เข้ามานั่งคลอเคลียอยู่ข้างๆ บรรดาแขกในห้องอย่างเป็นงาน ต่างรุมล้อมยื้อแย้งกันพัดวีและทำออดอ้อนเอาใจต่างๆ นานา พวกหล่อนพูดจาสนทนาปราศรัยด้วยน้ำเสียงละมุนละม่อมอ่อนหวานน่าฟัง

คาลเตอร์ระมัดระวังมือไม้ของตนเองอยู่ในที แถมยังมีท่าทีตระหนกมากกว่าจะรู้สึกสำราญด้วยซ้ำ เขามั่นใจว่าตนเองค่อนข้างสุภาพกับผู้หญิงเหล่านั้น และแปลกใจที่พวกหล่อนสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเกินคาด กลิ่นหอมจางๆ จากเครื่องประทินผิวและเรือนกายที่เพรียวบางระหงในชุดผ้านุ่งเนื้อดีราคาแพง ช่างส่งให้พวกหล่อนดูน่าทะนุถนอมจนแทบไม่อยากเชื่อว่าจะทำงานเป็นผู้หญิงหากิน

เนย์วินไท่ก์ยกมุมปากยิ้มเยาะคาลเตอร์ประหนึ่งสมเพช เขาเองหันกลับไปถามพ่อค้าชาวดอยเป็นภาษาถิ่น ก่อนจะเป็นฝ่ายลงมือกรีดไพ่

“แล้วผู้หญิงของฉันล่ะ”

“ผู้หญิงของนายท่านยังมาไม่ถึงขอรับ” พ่อค้าฝิ่นตอบด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง และคาดไม่ผิดว่าคำตอบนั้นจะทำให้ชายหนุ่มขุ่นเคือง

คิ้วเข้มมุ่นขมวดเข้าหากัน เขาหยุดไพ่ในมือ “อย่ามาเล่นตลก รู้ใช่ไหมว่าฉันไม่ชอบรออะไรนานๆ”

“อย่ากังวลไปเลยนายท่าน ถึงจะช้าหน่อย แต่นายท่านก็จะได้สิ่งที่ตกลงกันไว้อย่างแน่นอน”

“แล้วเมื่อไหร่กันล่ะ ฉันจ่ายเงินไปเยอะพอสมควร และต้องการสิ่งที่ตกลงกันไว้ให้เร็วที่สุด”

“ใจเย็นๆ ก่อนนายท่าน สิ่งแรกในข้อตกลง นายท่านจะได้ในวันรุ่งขึ้นทันทีที่ฟ้าสาง ส่วนอย่างที่สองหล่อนกำลังเดินทางมา ลูกน้องของข้าเพิ่งตามไปจับตัวหล่อนกลับมาจากในป่าเมื่อครู่นี้นี่เอง”

“หมายความว่ายังไง จับตัวมาจากในป่า…”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังตึงตังมาจากโถงทางเดินด้านนอก ก่อนที่สาวน้อยนางหนึ่ง จะถูกผลักให้เข้ามายืนตรงกลางห้องที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ลอยคลุ้งเหมือนม่านหมอกบางๆ สายตาทุกคู่ต่างหันไปจับจ้องมองหล่อนเป็นตาเดียว ซึ่งนั่น ก็ยิ่งทำให้คนถูกมองประหวั่นสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตาหันไปมองรอบๆ อย่างตื่นตระหนกตกใจ

“นี่มันตัวอะไรวะเนี่ย…”

เนย์วินไท่ก์มองหญิงสาวคนนั้นแล้วแทบจะส่ายหน้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยแววซูบตอบเหมือนคนป่วยนั้นไม่มีแม้แต่รอยผัดแป้งเหมือนกับคนอื่นๆ หรือไม่มีแม้แต่รองเท้าจะสวมใส่ เสื้อผ้าหน้าผมหล่อนสกปรกมอมแมมเหมือนเพิ่งไปคลุกฝุ่นคลุกดินมายังไงยังงั้น ช่างไร้เสน่ห์ ไม่น่าพิศวาสใดๆ ลักษณะคล้ายเป็นแมวผีแมวโพงที่สิงอยู่ตามป่าไพรเสียมากกว่า

ชายหนุ่มกุมขมับ หันไปกระดกแก้วเหล้าและยกมวนซิการ์ขึ้นสูบอีกหลายๆ ครั้งเพื่อปลดเปลื้องอารมณ์ที่ขุ่นมัว

“ฉันบอกฉันต้องการผู้หญิง แล้วนี่อะไร…แมวป่าชัดๆ” เนย์วินไท่ก์เสียงเข้มด้วยความไม่พอใจ

“ก็หล่อนเป็นคนเดียวที่ข้าพอจะหาให้นายท่านได้ ตามเงื่อนไขที่นายท่านจ่ายมา”

“หล่อนต้องไม่เคยนอนกับแขก”

“หล่อนไม่เคยออกรับแขกสักครั้ง นายท่าน”

พ่อค้าฝิ่นชาวฮ่อลนลานตอบ ก่อนจะหันไปมองทางสาวน้อยนางนั้นแล้วกล่าวเท้าความ

“ความจริงแล้วหล่อนเพิ่งมาใหม่ แต่ดันโชคร้ายที่ป่วยเป็นไข้ป่าเสียได้ สภาพของหล่อนก็เลย เอ่อ…  เป็นอย่างที่นายท่านเห็น”

“บอกว่าป่วยก็พอเข้าใจได้ แต่มาสภาพยับเยินขนาดนี้…ใครจะกระเดือกลง”

“ก็เป็นเพราะหล่อนไม่เคย เลยไม่ยอมอ่อนให้โดยง่าย แถมตอนจะมาที่นี่ ก็ยังฉวยโอกาสวิ่งหนีเข้าไปในป่าอีก กว่าพวกข้าจะไปตามจับตัวหล่อนกลับมาได้ ก็… ”

“พอเถอะ เลอะเทอะ คร้านจะฟัง”

“แต่ถึงหล่อนจะมาในสภาพนี้ ข้าก็รับประกันได้ว่าหล่อนไม่ใช่หญิงเหลือเดน แต่เป็นคนทางอีกฝั่ง”

คำว่า ‘อีกฝั่ง’ ของคนพูด ความหมายคือฝั่งตรงข้ามกับเขตชายแดน ซึ่งหมายถึงเมืองฝาง เมืองหน้าด่านของเชียงใหม่ เมืองในอาณัติของสยามประเทศ และสิ่งนั้นเองที่ทำให้ชายหนุ่มหันกลับมาสนใจอีกครั้ง

“นิคโก้ หล่อนยังดูเด็กอยู่เลย อย่าบอกนะว่าคุณจะนอนกับหล่อน หล่อน…”

คาลเตอร์หันมาบอกด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน หากแต่ก็ถูกเนย์วินไท่ก์ยกมือขึ้นปรามเสียก่อนจะพูดจบ

ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันไปตะโกนเรียกคนที่กำลังยืนงกๆ เงิ่นๆ อยู่ตรงกลางห้องเสียงดัง เขาพูดออกเป็นสำเนียงชาวสยามชัดเจน

“เฮ้ย! นังแมวป่า นี่แกจะยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นอีกนานไหม!”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดถามจนคนที่ถูกเรียกว่า ‘นางแมวป่า’ ตกใจ ใบหน้ามอมแมมรีบหันรีหันขวางมองหาทางหนีทีไล่ ทำหน้าเจียนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ จนพวกผู้หญิงที่มาด้วยกันเห็นท่าไม่ค่อยดี จึงได้รีบออกหน้าไปพาตัวหญิงสาวให้มานั่งลงข้างๆ แขกเสียเอง พร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าและทรงผมของหล่อนให้เข้าที่ พอดูได้

“นายท่านพอใจหรือไม่ หากไม่ ข้าจะได้พาหล่อนกลับและให้คนอื่นอยู่ดูแลแทน ครึ่งราคาที่จ่ายมา”

พ่อค้าหันมายื่นข้อเสนอ หากแต่ถูกชายหนุ่มเอาแต่ผุยควันบุหรี่ออกถี่ๆ ให้เป็นคำตอบที่ชัดเจน

เนย์วินไท่ก์นิ่งไปสักพักใหญ่ๆ ราวกับกำลังมีอะไรผุดเข้ามาในหัวให้ต้องครุ่นคิด ทุกคนในวงไพ่เองก็รอดูว่าชายหนุ่มจะมีความเห็นหรือท่าทีอย่างไรไปต่อ จนกระทั่งเมื่อเห็นว่าเขาปล่อยใจแล้วเอื้อมมือไปหยิบสตรอว์เบอร์รีในถาดขึ้นมาแกล้มนิโคตินที่สูบอัดลงปอดไปก่อนหน้าหลายเฮือก ในที่สุด วงไพ่ก็ดำเนินต่อไปได้อย่างสบายใจ

ระหว่างนั่งเล่นไพ่ไปนั้น เนย์วินไท่ก์ก็ใช้เพียงหางตาเหลือบมองคนที่เอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่หลายคราว และบางครั้งก็ได้ยินเสียงหล่อนหายใจหอบถี่ ก่อนที่จะมีเสียงแหบพร่าเอ่ยแว่วมาอย่างแผ่วเบา

“น้ำ…ขอน้ำหน่อย”

“อะไรนะ”

“ขอน้ำหน่อย”

ว่าแล้ว เขาก็หันไปคว้าเหยือกน้ำมาเทลงใส่ในแก้วแล้วส่งให้หล่อนอย่างเสียไม่ได้ ด้านคนกระหายน้ำก็รีบคว้าแก้วขึ้นมาดื่มอย่างว่องไว ครั้นดื่มเสร็จก็รีบวางแก้วไว้ แล้วกลับไปนั่งก้มหน้าลงเหมือนเดิม

“หึ คงจะวิ่งหนีพวกมันหัวซุกหัวซุนละสิท่า”

“…”

“ดื่มน้ำจนอิ่มหนำแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมา”

ร่างใหญ่หนาในชุดเสื้อแจ็กเกตผ้าเวสปอยท์สีเขียวขี้ม้าออกคำสั่ง ระหว่างเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้

“เงยหน้าขึ้นมาสิ ฉันรู้ว่าแกเข้าใจภาษาที่ฉันพูด…”

เขาหันมาสั่งหญิงสาวอีกครั้งเมื่อหล่อนพยายามทำหูทวนลม สั่งคราวนี้เสียงแข็งและส่งให้คำบัญชาเป็นผลทันทีดั่งคำศักดิ์สิทธิ์ คนนั่งตัวสั่นเหมือนลูกนกตกน้ำยอมเงยหน้าขึ้นมาอย่างสุดจะขัดขืนในคำเข้ม แต่แทนที่จะได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย หล่อนกลับเห็นซองมีดหนังที่เหน็บอยู่ตรงเอวของเขานั้น…ชัดเจนกว่า

“สูเป็นใคร”

“แกถามว่าฉันเป็นใครงั้นหรือ…” เนย์วินไท่ก์เผลอขบขันให้กับคำถามที่ฟังดูใสซื่อราวกับคนไร้เดียงสา “ในที่นี้ฉันจะเป็นใครไปได้ ฉันก็เป็นคนที่จ่ายเงินซื้อแกมาน่ะสิ”

“งั้นสูก็คงจะเป็นคนที่เลวทราม พวกสูที่นี่ทั้งหมด…ก็น่าจะเลวทรามพอๆ กัน”

“ฉันนี่น่ะรึคนที่เลวทราม แกกล้าพูดแบบนี้กับคนที่เพิ่งเมตตารินน้ำให้แกดื่มได้ยังไง พูดแบบนี้ ฉันก็น้อยใจแย่น่ะซี”

“ความเมตตาเดียวที่สูจะหยิบยื่นให้ข้าได้ตอนนี้ คือความตายเท่านั้น ซื้อขายข้าราวกับเป็นสิ่งของ และหวังจะย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นคนของข้า สูยังกล้าเรียกว่านั่นเป็นความเมตตาอยู่อีกหรือ”

“อะโล่ คำพูดคำจาช่างร้ายกาจเสียจริงเชียว ฉันไม่คิดสงสัยเลยว่าทำไมแกถึงกล้าวิ่งหนีคนพวกนั้น แกนี่…ใจกล้าบ้าบิ่นกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีก”

ว่าแล้วเนย์วินไท่ก์ก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต ก่อนจะหยิบเอาไฟแช็กออกมาแล้วโยนลงบนโต๊ะต่อหน้าหญิงสาว ในปากคาบมวนบุหรี่สีเทาท่ารอ

“…แต่ความใจกล้าของแกใช้ไม่ได้กับที่นี่ หุบกรงเล็บของแกเอาไว้ซะ หยิบไฟแช็กขึ้นมาและจุดบุหรี่ให้ฉัน ทำงานให้คุ้มกับราคาที่ฉันจ่ายมา” เขาสั่ง

เดิมแรกหญิงสาวคิดจะเพิกเฉยต่อคำสั่งนั้น แต่สุดท้ายจะเปลี่ยนใจหันไปหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดตีไฟตามคำสั่งอย่างเสียไม่ได้ แต่ทว่าในตอนที่กำลังจะยื่นไฟแช็กออกไป หล่อนก็หัวเราะร่วนออกมาราวกับคนสติหลุด ก่อนจะจงใจดับไฟลงต่อหน้าชายหนุ่มเพื่อเป็นการท้าทาย การโยนไฟแช็กทิ้งลงต่อหน้าเขานั่นทำให้อีกฝ่ายเหลืออด แต่ถึงกระนั้นสาวน้อยก็ยังจ้องมองลงไปในนัยน์ตาที่ดุกว่าราวกับเป็นคนละคน

“ฆ่าข้าเสียเลยสิ เพราะถึงยังไงคืนนี้ข้าก็ตายอยู่แล้ว หรือต่อให้ข้าจะอยู่หรือข้าจะตาย ข้าก็บ่ยอมให้พวกสูกดขี่แน่ๆ”

“ดูเหมือนแกอยากจะตายมากละสิท่า”

ว่าแล้วร่างใหญ่ก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่ง เขาพ่นลมหายใจทิ้งอย่างหมดความอดทน ก่อนมือหนาจะปรี่คว้าหมับเข้าตรงสองแก้มของหล่อน ออกแรงบีบพร้อมกับฉุดยกดึงร่างผอมโซให้ลุกขึ้นตาม เขาออกแรงเพียงนิดก็สามารถผลักคนไร้กำลังให้ถอยกรูดไปยืนจนตรอกอยู่ที่มุมห้อง ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่อยู่ในห้องแห่งนั้น

“ปากดีนักนะ นังแมวป่า” น้ำเสียงเขากล่าวอย่างเก็บอารมณ์

ด้านคนในกำมือกลับน้ำตานองหน้าด้วยความเจ็บ หยดน้ำตาหยาดร่วงผล็อยๆ จากดวงตาแดงก่ำที่เต็มตื้นไปด้วยความเจ็บป่วย แต่ถึงกระนั้น หญิงสาวก็ยังคงกล้าที่จะมองตาต่อตากับอีกฝ่ายอย่างถือดี ดวงหน้าขาวเผือดเย็นเฉียบเหมือนศพคนตาย

ในตอนนั้นเอง เนย์วินไท่ก์สังเกตเห็นหยดเลือดที่ไหลซึมลงมาจากศีรษะของคนในมือจับกุม นิ้วมือหยาบจึงสลัดมวนบุหรี่ทิ้งก่อนจะแหวกแนวเส้นผมเพื่อดูรอยแผลขนาดใหญ่ตรงขมับหล่อนอย่างขอไปที แผลนั้นปริแตกอ้าออกจนเห็นเนื้อหัวด้านใน เส้นผมเกาะกระจุกเต็มไปด้วยคราบเลือดเหนียวเหนอะส่งกลิ่นคาว…  ถึงว่าล่ะ สภาพหล่อนเหมือนคนจะตายแหล่มิตายแหล่

“แกถูกพวกมันทำร้ายมาหรือไง” เขาถาม

“บ่ต้องพูดมาก จะฆ่าก็ฆ่าเลยสิ”

“แกพูดคำว่าฆ่าเสียหลายครั้ง ฉันจะบอกอะไรให้นะ…แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้ฉันฆ่าแกหรือไว้ชีวิตแก ฉันรู้เพียงอย่างเดียว คือฉันจ่ายเงินซื้อตัวแกมาแล้ว และคืนนี้แกจะต้องอยู่กับฉันทั้งคืน”

“ข้าบ่ไปไหนทั้งนั้น หากบ่คิดเมตตาก็จงฆ่าข้าให้ตายเสียที่นี่ อย่าหวังว่าจะได้อันใดจากร่างกายข้า”

“หยุดอวดเก่งซะทีได้ไหม” เสียงแหบใหญ่คำรามเสียงดังอีก คราวนี้กัดฟันพูดจนสันกรามนูนด้วยโทสะ เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ “…รำคาญเต็มที”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความน่ารังเกียจของใบหน้าเหี้ยมที่รุงรังไปด้วยหนวดเครา สาวน้อยก็กลัวลนลานจนต้องผินหน้าหนี หล่อนดิ้นรนสุดตัวเพื่อที่จะผลักเขาออกไปให้พ้นและเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากการจับกุม แต่ทว่าด้วยแรงที่มีอยู่เพียงน้อยนิด นอกจากจะดิ้นไม่หลุดแล้ว ร่างของหล่อนยังถูกเขากระตุกคว้าเข้าไปกอดกำชับอยู่กับหน้าอกอันแข็งแกร่งอย่างง่ายดาย

นางแมวป่าที่เคยอวดดีตอนนี้สิ้นท่า สั่นเป็นเจ้าเข้า

คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเบือนหน้าหนีกันไปคนละทิศละทาง ก่อนจะพากันทยอยออกจากห้องไปเพราะกระดากอายที่จะได้เห็นฉากรักอันดุเดือดเร่าร้อนต่อจากนี้ พวกเขาอาจจะคิดแบบนั้น เว้นเสียแต่คาลเตอร์และอ่องมินตูเท่านั้นที่ยังไม่ยอมไปไหน เพราะใจกลัวว่าชายหนุ่มจะฆ่าหญิงสาวทิ้งเสียมากกว่า

“ลำพังตัวแกเองจะยืนก็ยังยืนแทบไม่ไหว อย่ามาทำเป็นอวดดี สั่งนู้นสั่งนี่ไปหน่อยเลย” ว่าแล้วก็โน้มหน้าลงไปกระซิบกระซาบคนในวงกอด “จริงๆ แล้ว ร่างกายแกเองก็สู้มือดีเหมือนกันนี่ อาบน้ำขัดตัวดีๆ อีกสักหน่อย ก็คงจะสมราคาอยู่พอประมาณ ดูๆ ไปแกเองก็หาใช่คนถ่อยเสียที่ไหน คนสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว”

หญิงสาวร้องไห้โฮออกมาเพราะทนฟังคำแทะโลมไม่ไหว แม้ร่างกายจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต้านทานด้วยพิษไข้ แต่หล่อนก็ยังพยายามดิ้นเพื่อหวังจะให้ตัวเองหลุดออกมา ร่างใหญ่ที่โถมกดทับลงมานั้นแนบสนิทเสียจนได้กลิ่นเหล้าเคล้าบุหรี่ และกลิ่นผลไม้บางอย่างที่ปะปนอยู่ในลมหายใจของเขา

“ขอร้องเถิดนายท่าน ปล่อยข้าเจ้าไปเถิดนะ ข้าอยากกลับบ้าน…”

สาวน้อยละล่ำละลักอ้อนวอนเขาเป็นเสียงอ่อนอย่างน่าสงสารในท้ายที่สุด หล่อนหวังให้เขายังคงความเป็นมนุษย์ และปล่อยหล่อนไป

“ข้าถูกพวกมันจับตัวมา ตัวข้าบ่ได้เต็มใจมาที่นี่”

“ฉันช่วยแกไม่ได้หรอก แกรู้หรือไม่ว่าที่นี่ที่ไหน…ที่นี่เมืองหาง เขตรัฐไทคำหลวง ตรงที่ที่แกยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เขตของเชียงใหม่หรือสยามอีกต่อไป แกมาไกลเกินกว่าจะกลับบ้านได้แล้ว เพราะฉะนั้น อย่าพยศให้มากนัก”

หญิงสาวใจหล่นลงวูบเมื่อได้ยินอย่างนั้น รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังจนร่างกายโอนเอนไร้เรี่ยวแรง แถมสติที่เหลืออยู่ก็ดูเหมือนใกล้จะสิ้นลง รู้สึกวูบๆ วาบๆ ภาพและเสียงพลันขาดๆ หายๆ พยายามประคองร่างกายและสติไว้ แต่พิษไข้ในตัวนี่ก็ช่างรุนแรงเสียเหลือเกิน ลมหายใจเข้าออกมีแต่ไอร้อนผะผ่าว แถมแผลตรงศีรษะนี่ก็ช่างเจ็บปวดรวดร้าวลงไปจนถึงไขกระดูกสันหลัง

…ดูท่าจะมาตายเป็นผีเฝ้าโฮงการพนันนี้เสียแล้ว

โดยไม่มีใครคาดคิด นางแมวพยศฝืนรวบรวมแรงฮึดเฮือกสุดท้ายของชีวิต คว้าดึงมีดสั้นที่พกเหน็บอยู่ที่เอวของชายหนุ่มออกมา หล่อนกลั้นหายใจแล้วเงื้อมีดขึ้นสุดมือ หมายจะจ้วงแทงเอาชีวิตคนเบื้องหน้า แต่ทว่าฝ่ามือใหญ่หนากลับรีบคว้าหมับจับแย่งมีดเล่มนั้นได้เร็วกว่า ใบมีดคมกริบจึงบาดเข้าตรงฝ่ามือเขาเข้าอย่างจังจนเป็นแผลลึก เลือดสดๆ ไหลหยดลงพื้นเป็นเส้นเป็นสาย

“นิคโก้!”

นั่นคือเสียงที่หญิงสาวได้ยิน ก่อนที่หล่อนจะทรุดตัวลง และหมดสติไป…

 



Don`t copy text!