ตะวันชายน้ำ บทที่ 3 : ในความฝันอัน…เลือนลาง

ตะวันชายน้ำ บทที่ 3 : ในความฝันอัน…เลือนลาง

โดย : วสุทิยา

Loading

ตะวันชายน้ำ นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๒ โดย วสุทิยา ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของ ทวิชา ผู้ซึ่งมีบาดแผลในใจที่เกินกว่าจะเยียวยา แต่เมื่อได้เห็นภาพ ตะวันชายน้ำ ภาพเขียนสุดท้ายของพ่อกับเด็กหญิงวันใหม่ ย่าอะเคื้อและภาสุ ความคิดของทวิชาอาจเปลี่ยนไปกับแง่มุมที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรับรู้มาก่อน

วิชาเห็นภาสุเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับทำหน้าฉงน เขาคงทั้งงุนงงและสงสัยว่าเพราะเหตุใดหล่อนจะต้องลำบากลำบนหอบร่างเหนื่อยล้าไปนอนโรงแรมให้ยุ่งยากด้วย ในเมื่อมี ‘บ้าน’ ให้กลับไปพักซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ขับรถเพียงสิบนาทีก็ถึง แต่ชายหนุ่มมีมารยาทมากพอที่จะไม่ถามซักไซ้อะไร นอกจากหันมาบอกด้วยน้ำเสียงสม่ำเสมอ

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆ ผมค่อยรับคุณเข้าไปดูบ้านนะครับ”

“ค่ะ” หญิงสาวบอกก่อนจะเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งข้างใน ทันทีที่รถสมรรถนะสูงของภาสุเคลื่อนตัวออกจากลานวัด ชายหนุ่มก็เอ่ยปากถามหล่อนอย่างอดไม่ได้

“เรื่องบ้าน…คุณตัดสินใจจะขายจริงๆ ใช่มั้ยครับ”

“ฉันจาก ‘ที่นี่’ ไปหลายปีจนกลายเป็นคนอื่นไปแล้วละค่ะ” หล่อนจงใจใช้คำว่า ‘ที่นี่’ แทนคำว่า ‘บ้าน’

ทวิชาหูไม่ฝาดเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของชายหนุ่มดังแผ่วเบาแทรกมาในความเงียบ ก่อนจะตามมาด้วยคำพูดที่เดาความรู้สึกของเขาไม่ถูก

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะขาย ‘บ้านตะวันชายน้ำ’ หลังนั้นให้ผมได้มั้ย ผมจะขอซื้อเอาไว้เอง”

ทวิชานึกเอะใจกับคำเรียกที่ได้ยิน หล่อนหันไปถามเขาทันที “คุณเรียกบ้านหลังนั้นว่าอะไรนะคะ”

“บ้านหลังนั้น?” ภาสุละสายตาจากเบื้องหน้าทำหน้าเหลอหลา ก่อนจะเข้าใจความหมายของหล่อนในนาทีต่อมา

“อ๋อ…บ้านตะวันชายน้ำน่ะเหรอครับ ผมเรียกตามอาจารย์มารุตน่ะ ท่านเรียกบ้านหลังนั้นว่า ‘ตะวันชายน้ำ’”

“ทำไมถึงเรียกว่าตะวันชายน้ำ?”

“ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่อาจจะมาจากชื่อภาพวาดภาพสุดท้ายที่อาจารย์วาดก่อนที่จะ…” ชายหนุ่มลังเลนิดหน่อย ก่อนจะพูดต่อเสียงเบาลง “…ประสบอุบัติเหตุ ท่านบอกผมว่าภาพนั้นชื่อตะวันชายน้ำ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณค่อยลงมาดูสิครับ แขวนเอาไว้ในห้องทำงานของท่านที่ชั้นล่าง อาจารย์วาดภาพนี้เสร็จตั้งแต่ต้นปีแล้ว หลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นท่านจับพู่กันอีกเลย ภาพนั้นเป็นภาพที่ผมชอบมากที่สุดในบรรดาภาพวาดของท่าน ตอนแรกจะขอซื้อหรือแลกกับค่ารีโนเวตบ้าน อาจารย์ก็ไม่ยอมขายท่าเดียว บอกแต่ว่าเป็นผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซ ขายให้ใครไม่ได้”

“เพราะอย่างนี้ คุณก็เลยอยากซื้อบ้านหลังนั้นเอาไว้”

“ความจริงแล้วผมเสียดายน่ะครับ ผมใช้เวลาออกแบบด้วยตัวเองอยู่หลายเดือน กว่าจะลงมือต่อเติมอยู่เกือบปีถึงจะแล้วเสร็จ” ภาสุบอกในขณะสายตายังจับจ้องท้องถนนเบื้องหน้าที่เริ่มมีรถราสัญจรหนาตามากขึ้น

“เห็นแม่บอกว่าคุณเป็นสถาปนิก”

“ครับ…ผมเปิดบริษัทเล็กๆ เป็นโฮมออฟฟิศที่บ้านปู่ ข้างๆ บ้านของคุณนั่นแหละ…คุณปู่ผมท่านก็เป็นสถาปนิกเหมือนกัน เพราะอย่างนี้ผมก็เลยอยากซื้อบ้านหลังนั้นต่อเผื่อในอนาคตอาจจะขยับขยายออกมา แล้วคุณล่ะครับ เห็นคุณแม่ของคุณบอกว่าเป็นภัณฑารักษ์ ต้องทำอะไรบ้างหรือครับคนเป็นภัณฑารักษ์”

ชายหนุ่มชวนคุยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่เร่งเร้าทำราวกับถามเรื่องดินฟ้าอากาศ ทวิชาหันหน้า เหม่อมองด้านข้างกระจกอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้ภาพความทรงจำเมื่อครั้งเยาว์วัยพรั่งพรูก่อนจะเผลอพูดออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว

“ส่วนใหญ่จะดูแลศิลปะที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ หรือไม่ก็จัดนิทรรศการรวมถึงดูแลวัตถุที่จัดแสดง ตอนฉันยังเด็กจำได้ว่าพ่อชอบพูดเสมอว่า พวกภัณฑารักษ์ที่จัดแสดงภาพวาดของพ่อเป็นพวกไม่รู้เรื่องศิลปะชอบคิดเองเออเอง จับตรงโน้นมาวางตรงนี้มั่วไปหมดไม่เคยคิดจะถามคนวาด แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วศิลปินอย่างพ่อจะมีลูกสาวเป็นภัณฑารักษ์อย่างฉัน”

ภาสุพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาดำสนิทคู่นั้นของเขาเปล่งประกายขึ้นวูบหนึ่งในเงามืดก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็วโดยที่หญิงสาวผู้นั่งข้างไม่ทันสังเกต!

“เห็นแม่บอกฉันว่าที่…บ้านหลังนั้น…มีคนมาอยู่กับพ่อด้วย”

“อ๋อ…ย่าเคื้อกับวันใหม่น่ะเหรอครับ”

“ย่าเคื้อ” ทวิชาถามเสียงสูง “ใครเหรอคะ ทำไมถึงมาอยู่ที่บ้านหลังนั้น”

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้เพียงแต่ว่าตอนที่ผมเข้าไปช่วยคุณปู่เขียนแบบ ย่าเคื้อกับวันใหม่ก็อยู่บ้านหลังนั้นกับอาจารย์มารุตแล้ว…ทำไมเหรอครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าหรอกค่ะ…ฉันแค่สงสัยน่ะ เพราะเท่าที่ทราบพ่อไม่เคยมีญาติพี่น้องที่ไหนชื่ออะเคื้อเลย รวมทั้งเด็กผู้หญิงที่ชื่อวันใหม่ด้วย ฉันเลยนึกแปลกใจที่พวกเธอมีชื่ออยู่ในพินัยกรรมของพ่อ”

“อาจจะเป็นคนที่อาจารย์เพิ่งรู้จักตอนหลังมั้งครับ สำหรับย่าเคื้อผมไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ แต่วันใหม่ คุณปู่เคยเล่าให้ผมฟังว่าเป็นเด็กที่อาจารย์มารุตช่วยไว้เมื่อสองสามปีก่อนที่มูลนิธิเด็ก ตอนหลังก็เลยรับมาอุปการะ”

“ช่วยไว้?”

“ผมก็รู้มาแค่นี้เหมือนกันครับ เอาไว้พรุ่งนี้คุณค่อยไปถามย่าเคื้อกับวันใหม่ดีกว่ามั้ยครับ ทั้งสองคนน่าจะให้คำตอบคุณได้ดีกว่าผม”

ทวิชาพยักหน้า ก่อนจะละสายตาหันกลับมามองด้านข้างกระจก ปล่อยให้บรรยากาศภายในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานนัก ชายหนุ่มก็พาหล่อนมาถึงที่หมาย

“เดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆ ผมมารับคุณเข้าไปดูบ้านนะครับ สักสิบโมงคุณสะดวกมั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ทวิชาปฏิเสธโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดพร้อมกระชับกระเป๋าสะพายของตัวเอง “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันใช้รถของโรงแรมหรือไม่ก็เรียกแท็กซี่ก็ได้ ไม่รบกวนคุณดีกว่า”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้รบกวนอะไร คุณไม่ได้กลับมาเมืองไทยหลายปี ตอนนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมดโดยเฉพาะถนนหนทาง ให้ผมมารับเข้าไปเถอะ จะได้คุยรายละเอียดเรื่องบ้านกันด้วย”

หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็เห็นด้วยกับความคิดของเขาจึงบอกไปว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณเถอะค่ะ”

ภาสุค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินอ้อมไปเปิดฝากระโปรงท้ายรถเพื่อหยิบกระเป๋าเดินทางใบย่อมลากมาส่งให้หล่อนซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้วบริเวณหน้าล็อบบีของโรงแรม

“แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

“ค่ะ…ขอบคุณนะคะสำหรับวันนี้”

ภาสุยิ้มรับนิดหนึ่งตรงมุมปากก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ…จากนั้นรถคันหรูของเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนจากไปจนลับสายตา

 

วามตื่นเต้นเมื่อได้กลับมาประเทศอันเป็นบ้านเกิดครั้งแรกในรอบยี่สิบปีนั้นค่อยๆ เลือนหายไป เมื่อความเหน็ดเหนื่อยทั้งทางร่างกายและจิตใจทำให้หญิงสาวรีบเปิดกระเป๋าเดินทางหยิบเสื้อผ้ากับของใช้ประจำตัว แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปก่อนเป็นลำดับแรกทันทีที่ไขประตูเข้ามาในห้องพัก

กระแสน้ำเย็นๆ ที่ไหลรดตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าที่มีเจือจางลงได้บ้าง แต่กระนั้นหล่อนก็ยังปรารถนาจะล้มตัวลงนอนมากกว่าทำอย่างอื่น ดังนั้นใช้เวลาไม่นานนักทวิชาก็เดินออกจากห้องน้ำมานั่งเก้าอี้เช็ดผมตรงหน้ากระจก ก่อนชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากโทรศัพท์ของตัวเองดังเป็นจังหวะต่อเนื่องซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างๆ กับซองเอกสารสีน้ำตาลอันเป็นผลการชันสูตรของมารุตจากโรงพยาบาล

หญิงสาวเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นชื่อของมารดาก็รีบกดรับ แล้วกรอกเสียงไปตามสาย

“ค่ะแม่”

“ทางโน้นเป็นยังไงบ้างลูก ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย”

“เรียบร้อยดีค่ะ” ทวิชาตอบประหยัดคำ

“ถึงเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นโทรบอกเลย แม่เป็นห่วง”

“พอดียุ่งๆ น่ะค่ะ มาถึงสนามบินก็ไปโรงพยาบาลเลย กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็มืดแล้ว…ขอโทษนะคะแม่”

ปลายเสียงเงียบไปครู่หนึ่ง ทวิชาเองก็ไม่ได้พูดอะไร หล่อนรอจนมารดาเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาเอง

“แล้วเรียบร้อยดีมั้ยลูก…เขา…เป็นยังไงบ้าง”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ ผลการชันสูตรออกมาแล้ว พ่อเสียชีวิตเพราะจมน้ำ!”

“เป็นไปได้ยังไง!” ปลายเสียงสั่นไหวเล็กน้อยยากระงับ “เขาว่ายน้ำเป็นไม่ใช่เหรอ”

“น่าจะเป็นอุบัติเหตุค่ะ เพราะไม่มีร่องรอยบาดแผลอะไรเลย นี่ทางโรงพยาบาลก็ให้ผลการชันสูตรมาแล้ว แต่ทิชายังไม่มีเวลาดูเลย นี่ทิชาก็เพิ่งกลับมาจากวัด ตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปดูบ้าน”

ความเงียบเข้ามาเยือนอีกครั้ง ราวกับต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง แล้วก็เป็นคนปลายสายอีกเช่นเคยที่ทำลายความเงียบงันนั้นด้วยคำถาม

“ทิชาเจอคุณซันแล้วใช่มั้ย”

“ซัน?” หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นขณะเดินกลับมานั่งหน้ากระจก “อ๋อ…คุณภาสุน่ะเหรอคะเจอแล้วค่ะ ต้องขอบคุณเขาที่มาช่วยทุกอย่างวันนี้ ไม่อย่างนั้นทิชาคงทำอะไรไม่ถูก”

“ดีแล้วละลูก แม่ว่าถ้าทิชาจะขายบ้านหลังนั้นก็ขายให้เขาไปดีกว่า เก็บไว้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไว้ทำอะไร ทิ้งให้ผุพังเสียเปล่าๆ เห็นว่าเขาเป็นสถาปนิกออกแบบต่อเติมเอง ทิชาขายให้เขาก็น่าจะเต็มใจซื้อ ส่วนข้าวของอื่น ถ้าทิชาอยากได้เป็นที่ระลึกก็เก็บกลับมาแล้วกัน แต่ไม่ต้องเอาอะไรมาให้แม่!”

“ค่ะ” ทวิชารับเสียงแผ่ว เมื่อนึกถึงผู้หญิงสูงวัยปริศนาในบ้านพ่อที่หล่อนไม่รู้จักจึงถามมารดาต่อทันที

“ว่าแต่แม่คะ ผู้หญิงที่ชื่ออะเคื้อคนนั้นเป็นใครเหรอคะ ทำไมถึงมาอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ เขาเป็นญาติกับพ่อเหรอเปล่า”

“อืม…แม่ก็ไม่รู้จัก ตอนได้รับอีเมลจากคุณซันก็ยังนึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน”

หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย เป็นไปได้อย่างไรที่คนละเอียดลออแถมยังแต่งงานอยู่บ้านหลังนั้นกับพ่อมาหลายสิบปีอย่างแม่จะไม่รู้จัก

“แต่เห็นว่าเขามีชื่ออยู่ในพินัยกรรมของพ่อด้วยนะคะ”

“อาจจะเป็นคนที่เขารู้จัก หลังจากที่พวกเราย้ายมาอังกฤษก็ได้” ปลายสายถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ราวกับไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกจึงตัดบทว่า “เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทิชาพักผ่อนเถอะลูก หลังจากนี้อะไรที่ควรทำทิชาก็ตัดสินใจได้เลย ไม่ต้องถามแม่อีก เพราะแม่กับเขาเราไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว”

“ค่ะ”

“จัดการให้เรียบร้อยแล้วก็รีบกลับมานะลูก น้องบ่นคิดถึงทุกวัน” พูดยังไม่ทันจบประโยคก็มีเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งแทรกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า “รีบกลับมาได้แล้วพี่ทิชา อย่าลืมของฝากผมด้วยนะ”

“ได้ยินแล้วใช่มั้ยลูก”

ทวิชาไม่ตอบคำถามของมารดา สายตามองใบหน้าเรียบเฉยของตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกด้วยสายตาที่ว่างเปล่า แม้มองไม่เห็นแต่หล่อนก็สัมผัสได้ถึงความรักใคร่ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้อย่างชัดเจน

หญิงสาวได้ยินปลายสายพูดอะไรต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะวางสายไป ทวิชาลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงหน้ากระจกก่อนจะเดินมาแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง เส้นผมยาวสลวยดำขลับคลอเคลียอยู่ข้างแก้มก่อนปล่อยให้สยายเต็มฟูกสีขาวสะอาด

หล่อนดึงผ้าห่มที่เลื่อนลงไปกองที่เอวขึ้นมาปิดหน้าอก ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดหลายสิบชั่วโมงทำให้ถูกความง่วงงุนจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจนหนังตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด

ท่ามกลางภวังค์ฝัน ทวิชาหลับตาพริ้มรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยรู้สึกมานาน ตัวเบาราวกับกำลังนั่งอยู่บนปุยเมฆที่ล่องลอยไปตามกระแสลม ก่อนที่ฉับพลันนั้นปุยเมฆซึ่งหล่อนนั่งอยู่นั้นจะหายวับ ทิ้งให้หล่อนหลุดร่วงจมดิ่งสู่ก้นเหวลึกไม่อาจคาดเดา

ในภาพฝันอันเลือนรางนั้น หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ทั้งเตียงนอนที่แข็งกระด้างขึ้น รวมทั้งเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วตรงข้างหน้าต่าง หล่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนกลั้นใจลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหย่อนปลายเท้าลงพื้น ความเย็นเยียบจากพื้นไม้แล่นจากปลายเท้าไปถึงศีรษะเมื่อหล่อนได้เห็น ‘ห้อง’ นี้อย่างเต็มตา

ห้องของตัวเองที่บ้านหลังนั้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว!

“พ่อจ๋า…เราจะไปไหนกันเหรอจ๊ะ”

เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นตรงหน้าประตู พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ ทวิชากลืนน้ำลายลงคอแห้งผากก่อนจะเดินไปเปิดประตู

แล้วสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้หล่อนตัวชาตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อพบว่าเด็กผู้หญิงผู้เป็นเจ้าของเสียงเรียกนั้นคือตัวหล่อนเอง เมื่อครั้งยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กกำลังจูงมือพ่อเดินผ่านหน้าไปอย่างช้าๆ

หญิงสาวละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก แต่พอเห็นทั้งคู่เดินลงบันไดลับสายตาไปจึงตัดสินใจวิ่งตามทันที ชั่วเวลาไม่นานนักหล่อนก็ชะลอฝีเท้าลงเดินตามทั้งคู่อยู่ด้านหลัง ได้แต่เฝ้ามองตาไม่กะพริบ หัวใจหวิวโหวงอย่างบอกไม่ถูก!

“พ่อจะพาทิชาไปไหน” เด็กหญิงถามไม่หยุด ก่อนที่พ่อจะกระชับมือที่จูงอยู่แน่นพร้อมกับหันมาบอกด้วยใบหน้าที่เกลื่อนด้วยรอยยิ้ม

“เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกน้ำกัน ทิชาอยากดูมั้ยลูก”

“พระอาทิตย์ดวงโต๊โตจะตกน้ำได้ยังไง แล้วถ้าตกน้ำพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งของทิชาก็หายใจไม่ออกสิจ๊ะ ทิชาไม่อยากให้ตกน้ำ ไม่อยากให้พระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งตาย”

พ่อหัวเราะร่วนพลางยีผมอย่างเอ็นดู “ไม่ตายหรอกลูก พอพระอาทิตย์ตกน้ำจากบ้านเรา เขาก็จะไปโผล่พ้นน้ำในอีกมุมหนึ่ง ทิชาแค่นอนรอหนึ่งคืน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพระอาทิตย์ดวงเดิมก็จะกลับมาให้แสงสว่างที่บ้านเราอีกครั้ง”

คำพูดที่ได้ยินสะท้อนดังก้องในหัวของหญิงสาวซึ่งเดินช้าๆ อยู่ด้านหลัง หยดน้ำตาไม่รู้มาจากไหนเอ่อล้นจนอาบหน้า ใจอยากตะโกนร้องเรียก…อยากวิ่งเข้าไปสวมกอดแต่หล่อนก็กลัว…กลัวว่าภาพตรงหน้าจะหายไป

“แม่พาน้องไปรอเราที่ริมน้ำแล้ว ทิชาเดินเร็วหน่อย เดี๋ยวเราก็ไปไม่ทัน อดดูพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งของทิชาตกน้ำพอดี”

เท่านั้นเองเด็กหญิงตัวน้อยก็ปล่อยมือแล้ววิ่งปรูดลงบันไดไป มารุตส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเอ็นดูก่อนจะตะโกนร้องเตือนด้วยความเป็นห่วง

“ทิชาอย่าวิ่งลูก รอพ่อก่อนเดี๋ยวหกล้ม”

ทวิชายกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ก้าวแต่ละก้าวที่เดินนั้นช่างยากลำบากและหนักอึ้งราวกับมีโซ่ตรวนเส้นใหญ่พันธนาการไว้ที่ข้อเท้า สายตาเฝ้ามองแผ่นหลังของพ่อไม่วางตา จนในที่สุดหล่อนก็เดินมาถึงศาลาไม้เล็กๆ ริมน้ำซึ่ง ณ ที่นั้นแม่กำลังอุ้มน้องชายของหล่อนวัยเพียงขวบเศษยืนรออยู่ก่อนแล้ว

เด็กหญิงวิ่งเต็มฝีเท้าเข้าไปกอดขาแม่แน่นพร้อมกับหัวเราะเสียงใส หล่อนเห็นแม่ดุเล็กน้อยคงเพราะกลัวทำให้น้องเจ็บ

“ทิชาอยากดูน้องๆ”

พ่อที่เดินมาถึงจึงย่อตัวลงอุ้มเด็กหญิงขึ้นเหนือพื้นเพื่อชะโงกหน้าดูเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ในอ้อมอกของแม่ให้เต็มตา

ทวิชาที่เฝ้ามองเหตุการณ์เบื้องหน้าอยู่ตลอดเวลานั้นเบิกตากว้างขึ้นพร้อมกับใจที่ตกวูบลงไปกองกับพื้น ความตระหนกหวาดหวั่นวิ่งปั่นป่วนในกายหล่อน มือทั้งสองข้างกำแน่นจนสัมผัสความเจ็บตรงอุ้งมือจากปลายเล็บของตัวเอง ด้วยความหวังที่จะได้เห็นหน้าของ ‘น้องชาย’ ตัวน้อยให้ชัดสักครั้ง หญิงสาวจึงค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปในศาลาหลังนั้น

แต่แล้วพลันนั้นเองภาพตรงหน้าก็สั่นไหวแปรเปลี่ยนเป็นความมืดและสายฝน ทวิชาทรุดตัวลงกับพื้นยกมือขึ้นปิดหน้าเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นพร้อมกับเสียงแตรของรถยนต์ ในเสี้ยววินาทีนั้นหล่อนเห็นร่างของน้องชายนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนนซึ่งอาบด้วยเลือดสีแดงสด

“ทิชานนท์…พี่ขอโทษ…ขอโทษ!”

หญิงสาวพร่ำบอกอยู่อย่างนั้นก่อนที่ภาพทั้งหมดจะหายวับดับไปราวกับปิดสวิตช์!

 



Don`t copy text!