ตะวันชายน้ำ บทที่ 2 : งานศพ…พ่อ

ตะวันชายน้ำ บทที่ 2 : งานศพ…พ่อ

โดย : วสุทิยา

Loading

ตะวันชายน้ำ นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๒ โดย วสุทิยา ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของ ทวิชา ผู้ซึ่งมีบาดแผลในใจที่เกินกว่าจะเยียวยา แต่เมื่อได้เห็นภาพ ตะวันชายน้ำ ภาพเขียนสุดท้ายของพ่อกับเด็กหญิงวันใหม่ ย่าอะเคื้อและภาสุ ความคิดของทวิชาอาจเปลี่ยนไปกับแง่มุมที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรับรู้มาก่อน

ญิงสาวชาไปทั้งตัว สัมผัสได้ถึงความเย็นวาบตรงสันหลังไปจนถึงปลายนิ้ว พยายามกล้ำกลืนข่มความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง ขณะก้าวเดินตรงไปยังร่างไร้วิญญาณของชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงกลางห้อง

แม้จะพร่ำบอกตัวเองว่าได้เตรียมตัวเตรียมใจมานานหลายวันตั้งแต่รู้ข่าว หล่อนน่าจะเข้มแข็งจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากนักกับการจากไปของ ‘เขา’ แต่น่าแปลกที่เมื่อถึงเวลาจริงๆ ความเข้มแข็งที่ว่านั้นกลับพังทลายลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี

“คุณมารุต…เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจจากการจมน้ำ ตอนที่ตำรวจพาร่างของเขามาส่งที่โรงพยาบาลก็ได้สิ้นใจไปนานแล้วครับ เราช่วยเขาไว้ไม่ทันจริงๆ” คุณหมอหนุ่มพูดเสียงแผ่วเบาพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงผ้าคลุมออก

ทวิชายกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น สายตาจับจ้องใบหน้าซีดเผือดของพ่อที่ครั้งหนึ่งเคยยิ้ม มือทั้งสองข้างที่ใช้โอบกอดคอยป้องภัยให้หล่อนเมื่อตอนเป็นเด็ก บัดนี้ไม่มี…ไม่มีอีกแล้ว!

หญิงสาวเอื้อมมืออันสั่นเทาเข้าไปลูบเบาๆ ร่างของพ่อยังคงนอนนิ่งราวกับกำลังหลับอยู่ในนิทรา แต่เสียงของคุณหมอหนุ่มที่ดังข้างๆ กลับกระชากหล่อนให้กลับสู่โลกของความจริง

“ร่างกายของผู้ตายไม่ได้มีบาดแผลอะไร หมอที่ทำการชันสูตรสันนิษฐานว่าน่าจะเสียชีวิตจากการจมน้ำด้วยอุบัติเหตุหรือไม่ก็เพราะการฆ่าตัวตาย”

“ฆ่าตัวตาย!” ทวิชาทวนคำเสียงเข้มพลางตวัดสายตากลับมามองเขม็ง “เป็นไปไม่ได้ ฉันรู้จักเขาดี     เขาไม่มีทางคิดสั้นอย่างนั้นแน่นอน!”

“ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นอุบัติเหตุครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าพบศพลอยมาติดอยู่ที่ริมตลิ่งห่างจากบ้านของเขาไม่ไกลนัก คาดว่าน่าจะพลัดตกน้ำจากท่าน้ำที่บ้านตอนกลางคืน เลยไม่มีใครเห็น”

“แต่เขาว่ายน้ำเป็นนะคะ ทำไมถึงจมน้ำจนเสียชีวิต!”

“แต่ผลการชันสูตรอย่างละเอียดออกมาแล้ว เราไม่พบบาดแผลจากการถูกทำร้ายเลย ผู้ตายเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจจากการจมน้ำแน่นอนครับ เพียงแต่ว่า…” ตรังค์ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของเขามีแววลังเลอยู่วูบหนึ่งก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว

“เพียงแต่อะไรเหรอคะ”

“เปล่าหรอกครับ…ไม่มีอะไร” คุณหมอหนุ่มบอกปัดขณะเหลือบสายตามองตรงประตูทางออกแวบหนึ่ง “ถ้ายังไง เดี๋ยวผมจะเอาจะเอาผลการชันสูตรให้ดูนะครับ หากคุณอะไรสงสัยตรงไหนก็ถามได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”

ทวิชาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะจัดการรั้งผ้าห่มที่กองไว้บนอกขึ้นปิดหน้าของบิดาด้วยมือของตัวเอง นานชั่วอึดใจก่อนจะกลั้นใจหันมาถามคุณหมอหนุ่ม

“หลังจากนี้ฉันต้องทำอะไรต่อคะ จะรับศพเขาออกไปได้เลยมั้ย”

“ในส่วนของทางโรงพยาบาลไม่มีปัญหาอะไรแล้วครับ หากญาติของผู้ตายไม่ติดใจอะไรก็สามารถนำศพออกไปประกอบพิธีทางศาสนาได้เลย”

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอรับเขาออกไปเลยวันนี้…ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”

“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” ตรังค์ยิ้มนิดหนึ่งตรงมุมปาก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว

“ผม…เสียใจด้วยนะ…แล้วคุณอย่าลืมดูผลการชันสูตรที่ผมฝากเจ้าหน้าที่ไปให้นะครับ”

ด้วยความที่กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ทวิชาจึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างในน้ำเสียงและท่าทางของตรังค์ หล่อนเชิดหน้าขึ้นก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ

นายแพทย์หนุ่มผายมือให้หล่อนเดินนำออกจากห้องที่อบอวลด้วยความเศร้า

ทวิชาหันมองร่างอันไร้วิญญาณของ ‘พ่อ’ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินไปอย่างทระนง ทั้งที่ภายในใจนั้นกำลังพยายามซุกซ่อนความเจ็บปวดไว้อย่างสุดความสามารถ!

 

“เอกสารทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ ข้างในมีผลการชันสูตรจากคุณหมอด้วย หมอตรังค์ฝากมาบอกว่าหากคุณสงสัยไม่เข้าใจตรงไหนก็โทรศัพท์มาถามได้นะครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มของโรงพยาบาลบอกพลางยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้มาให้ ทวิชารับมาถือไว้โดยไม่คิดจะเปิดออกดู

“ส่วนศพของผู้เสียชีวิต เดี๋ยวผมให้รถของโรงพยาบาลไปส่ง…ว่าแต่ว่าคุณจะจัดงานที่วัดไหนครับ หรือจะเอาศพไปไว้ที่บ้าน”

หญิงสาวนิ่งไปชั่วขณะ…จริงสิ! หล่อนลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท ด้วยความที่จากเมืองไทยไปนาน ทำให้หล่อนไม่คุ้นเคยกับพิธีการอะไรโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับงานศพอย่างนี้ ในระหว่างที่กำลังมืดแปดด้านไม่รู้เลยว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีนั้นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“ผมจัดการไว้หมดแล้วครับ…เราจะทำพิธีฌาปนกิจที่วัด…” เขาเอ่ยชื่อวัดดังในละแวกนั้นที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดีพร้อมกับก้าวเท้าเดินเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ข้างๆ

เจ้าหน้าที่หนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะผละจากไปด้านในของตัวตึก ทวิชาหันกลับมามองพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ไม่ทันได้เอ่ยปากถามเขาก็ชิงแนะนำตัว

“ผม…ภาสุครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวเสียงเรียบ ก่อนจะอมยิ้มเพียงนิดเดียวตรงมุมปากเป็นเชิงทักทาย

ทวิชาพยักหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยราวกับถูกเคลือบด้วยเปลือกน้ำแข็งบางๆ

“ผมเข้ามาจอดรถรออยู่ตรงนั้นสักพักแล้ว” เขาพูดพลางชี้นิ้วไปด้านหลังที่มีรถยุโรปคันหรูของตัวเองจอดเทียบบาทวิถีอยู่ข้างตึกอำนวยการ

“ผมกำลังวนหาที่จอดรถ พอดีเห็นคุณกำลังคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็เลยเข้ามาดู เผื่อมีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้บ้าง”

“ฉันจัดการเรื่องเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยแล้วละค่ะ…ขอบคุณนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ภาสุพูดเสียงเบา พร้อมกันนั้นก็แอบมองหญิงสาวร่างสูงโปร่งระหงในชุดสูทสีเข้มที่กำลังยืนนิ่ง เรือนผมสลวยสีดำขลับล้อมกรอบใบหน้าที่แม้จะดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าและปราศจากเครื่องสำอางใดแต่งแต้ม แต่ก็ไม่อาจบดบังความงดงามเอาไว้ได้ ทั้งปลายจมูกโด่งเชิดและริมฝีปากบางได้รูป ติดอยู่อย่างเดียวก็คือความนิ่งสงบจนติดจะเย็นชาที่แผ่ออกมานั้นทำให้ความงามของหล่อนดูราวกับรูปสลักของเทพีสักองค์ที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกนึกคิดได้

“ผมจอดรถไว้ข้างหน้านี่เอง อีกเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเขาคงพาคุณพ่อของคุณออกมาทางประตูนี้ ผมว่าเราเข้าไปรอกันในรถแล้วค่อยไปวัดพร้อมกันดีมั้ยครับ”

“ค่ะ”

“มาครับ…เดี๋ยวผมช่วยลากกระเป๋า” ภาสุพูดพลางเอื้อมมือไปลากกระเป๋าเดินทางของหล่อน ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ไปยังรถของเขาซึ่งจอดห่างออกไปไม่ไกลนัก

ทวิชาเดินตามไปเพราะไม่มีทางเลือกอื่นดีกว่านี้ ในดินแดนที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นบ้านเกิด แต่เพราะต้องจากไปไม่ได้หวนกลับมาหลายปีจึงทำให้หล่อนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก ได้แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภาสุช่วยจัดการทุกอย่างไปโดยปริยาย

“คุณรู้จักกับ…” หญิงสาวกัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะกลั้นใจถามเมื่อนั่งอยู่ในรถของเขาเรียบร้อยแล้ว “…พ่อของฉันนานแล้วเหรอคะ”

“อาจารย์มารุตน่ะเหรอครับ” หางตาของภาสุชำเลืองมองแวบหนึ่งโดยที่หล่อนไม่ทันสังเกตก่อนจะหันกลับไปมองเบื้องหน้าพร้อมกับเอนหลังพิงพนัก “คุณปู่ของผมท่านซื้อบ้านอยู่ข้างๆ บ้านอาจารย์มารุตเมื่อเจ็ดแปดปีที่แล้วเห็นจะได้ คุณปู่ผมท่านเป็นสถาปนิกครับ อาจารย์มารุตก็เลยมาขอให้ช่วยรีโนเวตบ้านเห็นว่าอยากทำเป็นแกลเลอรี แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันจะแล้วเสร็จอาจารย์ก็…จากไปเสียก่อน”

แล้วตอนนั้นเองที่การสนทนาถูกแทรกด้วยเสียงสัญญาณรถติดไซเรนของโรงพยาบาล ภาสุหันกลับไปมองด้านหลัง ในขณะที่ทวิชาเลือกที่จะหลับตาลง มือทั้งสองข้างที่ประสานกันวางไว้บนตักนั้นบีบเข้าหากันแน่น

ภาสุไม่พูดอะไร เขาเหยียบคันเร่งหักพวงมาลัยออกนำรถพยาบาลคันนั้น…คันที่พ่อของหล่อนกำลังนอนอยู่อย่างสงบนิ่งมุ่งหน้าไปตามท้องถนนที่คลาคล่ำด้วยผู้คนและยวดยานที่สวนกันขวักไขว่

ชายหนุ่มปล่อยให้บรรยากาศภายในรถเงียบสนิท มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นดังแผ่วเบาแทรกมาในความเงียบ ปล่อยให้หล่อนจมอยู่ในความคิดของตัวเองเพียงลำพัง

หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ขับรถเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าศาลาหลังเล็กหลังหนึ่งภายในวัดซึ่งอยู่ระหว่างโรงพยาบาลกับบ้านของเขาและหล่อน

ทวิชาลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อสัมผัสได้ว่าพาหนะที่นำหล่อนมานั้นจอดนิ่งสนิท พร้อมกับเสียงของภาสุดังอยู่ข้างหู

“เรื่องที่วัดไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ เดี๋ยวผมช่วยกันจัดการให้เอง ความจริงผมก็ถือวิสาสะเตรียมไว้เกือบหมดแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกคุณก่อน” ภาสุอาสาไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธ เขาก็รีบเปิดประตูลงไปจัดการทุกอย่างแทน

ทวิชาได้แต่ยืนดูความโกลาหลตรงหน้าอย่างงงๆ พิธีกรรมหลายอย่างเป็นสิ่งที่หล่อนไม่คุ้นเคยจนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก่อนหลังหรือถูกต้องหรือไม่ ท้ายสุดจึงได้แต่นั่งอยู่เพียงลำพังแล้วปล่อยให้ภาสุวิ่งไปทางโน้นทีทางนี้ทีจนกระทั่งช่วยทำให้งานของ ‘พ่อ’ ในค่ำคืนแรกเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่าย

“ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยดีมั้ยครับ วันนี้เป็นคืนแรกแขกเหรื่อคงมาไม่มาก คุณมีญาติหรือเพื่อนสนิทคนไหนอยากจะติดต่อเพื่อแจ้งข่าวมั้ย เดี๋ยวผมช่วยติดต่อให้”

ทวิชาหายใจเข้าลึก เมื่อนาสิกประสาทสัมผัสกลิ่นหอมเยือกเย็นของดอกไม้ไทยชนิดหนึ่งที่คุ้นเคยโชยมาตามลม หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ เป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักที่มีสูทสีดำถูกถอดแขวนไว้ด้านหลัง เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวพับมาถึงข้อศอกเพื่อคลายร้อน

“ฉันกับแม่ย้ายไปอยู่อังกฤษหลายปี ไม่ได้ติดต่อใครเลย ญาติหรือเพื่อนสนิทก็มีแต่เพื่อนสมัยประถมที่ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว ส่วนญาติทางพ่อฉันแทบไม่รู้จักใครเลย”

ภาสุพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเราไปจุดธูปกราบพ่อคุณกันเถอะครับ อีกเดี๋ยวพระก็มาแล้ว”

ทวิชายันกายลุกขึ้น พยายามอย่างยิ่งที่จะทรงตัวเดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอจนมาทรุดกายนั่งพับเพียบลงตรงหน้าโลงศพสีขาวซึ่งประดับตกแต่งด้วยดอกไม้หลายชนิด ข้างๆ กันนั้นตั้งรูปถ่ายครึ่งตัวของพ่อ

หญิงสาวรับธูปที่จุดเรียบร้อยแล้วจากภาสุ ก่อนจะยกมือขึ้นพนมพลางแหงนหน้าขึ้นมองรูปพ่อที่กำลังมองมาที่หล่อน

ทวิชารู้สึกหวิวโหวงในอก…ใจหาย

“พระมาแล้ว เรากลับไปนั่งฟังพระกันเถอะครับ”

หล่อนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ รีบเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นตรงขอบตาเมื่อได้ยินเสียงเรียกของภาสุ จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม พร้อมกับพระสงฆ์หลายรูปที่เดินเรียงแถวเข้ามาในศาลา

หญิงสาวก้มหน้ายกมือไหว้ หางตาเหลือบเห็นชายผ้าเหลืองพลิ้วไหว พอเงยขึ้นอีกครั้งก็เห็นพระท่านนั่งอาสนะเรียบร้อยแล้ว

ตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่นั่งฟังเสียงพระสวด เรียกได้ว่าเป็นครึ่งชั่วโมงที่ยาวนานที่สุดในชีวิตหล่อน แม้ร่างกายภายนอกทวิชาจะนิ่งสนิทไม่ไหวติง แต่ใครจะรู้บ้างว่าภายในจิตใจของหล่อนนั้นกำลังหวั่นไหวสั่นสะเทือนราวกับมีมือใครสักคนบีบรัดเอาไว้แน่นจนหายใจไม่ออก พร้อมกันนั้นก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เหลียวมองรูปถ่ายพ่ออีก ด้วยเกรงว่าความเข้มแข็งที่เพียรสร้างมานั้นจะพังทลายลงอีกครั้ง

ด้วยความที่จมอยู่ในวังวนของความคิดตัวเอง ทวิชาจึงไม่ทันรู้ตัวเลยว่าพระสงฆ์เดินลงจากศาลาไปตอนไหน กว่าจะมารู้ตัวอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงของภาสุเอ่ยทัก

“วันนี้คุณคงเหนื่อยมาทั้งวัน เดี๋ยวผมขับรถไปส่งที่บ้านนะครับ พรุ่งนี้จะทำอะไรต่อค่อยว่ากันอีกที”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ทวิชาปฏิเสธโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“ทำไมล่ะครับ”

“ฉันจองโรงแรมเอาไว้แล้ว” หล่อนบอกชื่อโรงแรมหรูซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลนัก

“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง”

“แล้ว…ที่นี่ล่ะคะ” หล่อนลังเล เมื่อบรรยากาศรอบกายเริ่มกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ที่นี่มีคนเฝ้าอยู่ตลอด ผมจ้างเด็กวัดให้เขามานอนเฝ้าแล้ว คุณไม่ต้องกังวล เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราค่อยกลับมากันอีกรอบก็ได้”

ทวิชาพยักหน้า ก่อนจะตัดใจเดินตามหลังเขาออกมาจากศาลา โดยมีเพียงแสงไฟสลัวจากเสาไฟส่องนำทาง สายลมยามค่ำพัดมาเอื่อยๆ พร้อมกันนั้นก็หอบกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ชนิดหนึ่งที่หล่อนรู้สึกคุ้นเคยโชยมา

“กลิ่นอะไรคะ…หอมจัง”

ชายหนุ่มสูดกลิ่นหอมนั้น ก่อนจะพยักพเยิดไปทางริมกำแพงด้านหนึ่งของวัด “กลิ่นดอกราตรีโน่นไงครับต้นมันอยู่ทางโน้น ความจริงผมเห็นที่บ้านของคุณพ่อคุณก็ปลูกเอาไว้หลายต้น ตอนที่เข้าไปรีโนเวตบ้าน ท่านยังบอกให้คนงานระมัดระวังต้นไม้พวกนั้นให้ดี เพราะท่านหวงมาก ถ้าคุณชอบเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็ลองเดินไปดูสิครับ อาจารย์มารุตท่านให้ย้ายมาปลูกไว้ตรงริมกำแพงรั้วเตี้ยๆ ฝั่งที่ติดกับบ้านคุณปู่ผม แต่ตอนกลางวันมันไม่มีกลิ่นหอมอย่างนี้หรอก ราตรีเป็นดอกไม้กลางคืนจะส่งกลิ่นหอมเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น คนโบราณถึงเรียกอีกชื่อว่า…” ไม่ทันพูดจบทวิชาก็แทรกเสียก่อนว่า

“…หอมดึก…”

ภาสุทำหน้าสงสัยระคนประหลาดใจ เขาคงไม่คิดว่าผู้หญิงที่ไปเติบโตที่เมืองนอกมาหลายสิบปีอย่างหล่อนจะรู้เรื่องอะไรแบบนี้

“ดอกราตรีเป็นดอกไม้ที่แม่รักมากที่สุด ตอนเด็กๆ แม่ชอบพาฉันมานั่งดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็นๆ ที่ศาลาริมน้ำ รอจนพ่อทำงานเสร็จเราก็จะกินข้าวกันตรงนั้น ฉันได้กลิ่นดอกราตรีทุกคืน”

“อย่างนี้นี่เอง…ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์มารุตท่านถึงได้รักต้นราตรีพวกนั้นนัก ที่แท้ก็เพราะเพื่อระลึกถึงคุณกับแม่นี่เอง”

ทวิชาได้แต่ยิ้มเซียวๆ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรหรือพูดอะไรดีไปกว่านี้

“ว่าแต่คุณแน่ใจนะครับว่าจะไม่กลับไปนอนที่บ้าน ผมเห็นย่าเคื้อเตรียมห้องเอาไว้ให้แล้ว…เป็นห้องเก่าตั้งแต่สมัยเด็กของคุณ ตอนผมออกแบบแปลนบ้าน อาจารย์มารุตให้รักษาสภาพเดิมของชั้นบนไว้หมดทุกห้อง จะมีที่ต่อเติมเพื่อจัดทำเป็นแกลเลอรีก็ที่ชั้นล่างเท่านั้น”

หญิงสาวชะงัก หล่อนหยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ก่อนจะหันมาพูดกับภาสุด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดอยู่ในทีว่า

“ไม่ค่ะ! ฉันไม่คิดจะกลับไปนอน ‘ที่นั่น’ อีกแล้ว คุณช่วยพาฉันไปส่งที่โรงแรมก็แล้วกัน!”

 



Don`t copy text!