ธำมรงค์เลือด บทที่ 2 : สองยาม
โดย : พงศกร
ธำมรงค์เลือด นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาและพงศกรอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์…เรื่องราวของบุรุษลึกลับที่เทียวกลับมาที่ร้านของคุณไลยหลายครั้งหลายหน เพื่อตามหาแหวนโบราณวงหนึ่ง…แหวนไพลินที่ทำขึ้นมาในสมัยอยุธยา และคือจุดเริ่มต้นของความรัก ความแค้น ความพยาบาทที่ผูกพันมาแต่อดีตและเป็นแหวนที่จะเชื่อมโยงชะตากรรมของทุกคนเข้าด้วยกัน
เป็นความเคยชินไปเสียแล้วที่จะต้องอ่านหนังสือก่อนนอนทุกคืน วันนี้เลือกอ่านนวนิยายเล่มหนาหนัก อ่านไปอ่านมาเผลอหลับไปเมื่อไรไม่ทันรู้ตัว ปะวะหล่ำมาสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
“เพลง”
เพลงภัทรนั่นเองที่โทร.มา
ปะวะหล่ำเหลือบตามองไปที่ผนัง…นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนพอดี เสียงของเพื่อนเธอสั่นด้วยความโกรธ
“หวัดดีจ้ะ เป็นอะไรไปหรือเปล่า โทรมาเสียดึกดื่น”
“พรุ่งนี้ร้านของเธอเปิดไหม…แป้ม” เพลงภัทรถามปะวะหล่ำ ขณะที่เพื่อนฟังแล้วเริ่มสงสัยว่าคนที่โทร.มาดึกดื่นขนาดนี้ มีเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือ
“เปิดจ้ะ” ปะวะหล่ำตอบเสียงแผ่ว
“งั้นก็ดี” เพลงภัทรกระแทกเสียง “เตรียมตัวรอไว้เลยนะ ฉันจะไปหา จะเอาสร้อยไปขายคุณยาย เธอช่วยเชียร์ให้ขายได้ราคาดีๆ หน่อยนะ”
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน” ปะวะหล่ำกะพริบตาถี่ๆ หายง่วงขึ้นมาทันใด “ฉันฟังผิดไปหรือเปล่า เธอจะเอาสร้อยมาขายคุณยายฉันอย่างนั้นหรือ”
“ใช่” เพลงภัทรเสียงเด็ดเดี่ยว “ของเก่าสมัยอยุธยา”
“เกิดอะไรขึ้น เธอจะเอาเงินไปทำอะไร” ปะวะหล่ำขมวดคิ้ว “เล่ามา”
เพลงภัทรกับเธอเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล อีกฝ่ายเป็นลูกสาวนักธุรกิจเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ครอบครัวมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องเงินทอง
“เอาเถอะน่ะ” เพลงภัทรยังไม่อยากเล่า “ช่วยซื้อไว้ก็แล้วกัน”
“ถ้าไม่เล่า ฉันไม่ช่วยเชียร์นะ” ปะวะหล่ำขู่
“ฉันจะเอาเงินมาใช้เป็นค่าเล่าเรียน” เพลงภัทรยอมเล่าในที่สุด “ฉันลาออกจากคณะเก่าแล้ว”
“ลาออก” ปะวะหล่ำพึมพำ “อีกแล้วเหรอ”
ในระยะเวลาสี่ปี เพลงภัทรเปลี่ยนมหาวิทยาลัยไปแล้วหลายแห่งทั้งในและนอกประเทศ จนเพื่อนรุ่นเดียวกันเรียนจบออกมาหางานทำกันหมดแล้ว
“ฮื่อ” เพลงภัทรว่า “ตั้งใจจะสอบเข้าเรียนโบราณคดีเหมือนเธอ แต่แม่ไม่เห็นด้วย”
“อยากจะเรียนโบราณคดี คิดให้ดีนะ” ปะวะหล่ำเตือน “ไม่ได้เรียนกันง่ายๆ เลยนะเพลง คนจะเรียนต้องชอบจริงๆ เธอชอบเหรอ…”
“ไม่รู้สิ” ปะวะหล่ำได้ยินเสียงถอนใจของเพื่อน “ฉันคิดว่าตัวเองชอบอยู่นะ ฉันชอบเที่ยวโบราณสถาน ชอบฟังตำนาน เรื่องเล่าเก่าๆ…คงจะได้แหละ”
“เฮ้อ” ปะวะหล่ำถอนใจ ไม่รู้จะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างไรว่าเรียนโบราณคดีไม่ใช่แค่โบราณสถาน ตำนาน และเรื่องเล่าอย่างที่อีกฝ่ายคิดสักนิด
“แม่ไม่เห็นด้วย” เพลงภัทรระบาย “แม่อยากจะให้ฉันเรียนพยาบาล…แม่บอกว่าถ้าฉันจะไปเรียนอย่างอื่น ก็ให้ฉันหาเงินเรียนเอง”
“เธอก็เลยจะเอาสร้อยมาขาย” ปะวะหล่ำถอนใจ นึกเห็นใจทั้งเพื่อนและมารดาของเพื่อนขึ้นมาครามครัน
เพลงภัทรเป็นคนหวือหวา รักง่ายหน่ายเร็ว ความสนใจเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว วันหนึ่งเพลงภัทรชอบหนังสือเล่มนี้ วันรุ่งขึ้นก็กลับเบื่อขึ้นมาเสียเฉยๆ
เวลาสนิทสนมกับใคร เพลงภัทรก็พร้อมจะทำทุกอย่างเหมือนกับเพื่อนคนนั้นๆ ใส่เสื้อผ้าเหมือนๆ กัน ฟังเพลงแบบเดียวกัน แต่พอเบื่อเพื่อนคนนั้นขึ้นมา เธอก็พร้อมจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยชอบไปอย่างง่ายดาย ปะวะหล่ำจึงไม่แปลกใจที่เพลงภัทรไม่เคยทนเรียนอะไรได้นานกว่าหนึ่งปี
…นี่ละ ตัวตนที่แท้จริงของเพื่อน…
และคราวนี้คุณเกษเกล้าก็คงตัดสินใจจะลงดาบ ดัดนิสัยลูกสาวคนเดียวของเธอ
แต่หารู้ไม่ว่าเพลงภัทรเป็นคนหัวดื้อ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ยิ่งถูกบังคับ เพลงภัทรจะยิ่งดิ้นรนหาทางสู้ และนี่เธอคงตัดสินใจแล้วที่จะเปิดกรุ เอาสมบัติส่วนตัวออกมาขาย
“สร้อยของฉันสวยมาก เป็นของอยุธยาแท้ๆ ตกทอดกันมา…เธอน่าจะจำได้นะแป้ม” เพลงภัทรเล่า “ชุดที่คุณย่ายกให้ฉันนั่นไง ท่านบอกว่าให้เก็บเอาไว้ขายกินยามตกยาก…ดูเอาเถอะ…ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งต้องขายสร้อยกินจริงๆ”
คุณภัทรา คุณย่าของเพลงภัทรรู้จักกับคุณไลย ทั้งสองเคยเรียนโรงเรียนคอนแวนต์เดียวกัน คุณภัทราเป็นรุ่นพี่คุณไลยสองสามปี
คุณย่าของเพลงภัทรมีเชื้อสายผู้ดี บิดาของเธอเคยรับราชการเป็นถึงสมุหเทศาภิบาล มีนิวาสสถานเก่าอยู่แถวบางปะหัน อยุธยา คุณภัทราจึงมีมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษมากมาย เพลงภัทรเคยเล่าให้ปะวะหล่ำฟังว่า ก่อนเสียชีวิต คุณภัทรายกเครื่องประดับโบราณให้หลานสาวสองหีบใหญ่ และเพลงภัทรก็เก็บเอาไว้เป็นอย่างดี ไม่เคยนำออกมาใช้ เพราะเครื่องประดับพวกนั้นเป็นของโบราณ รูปลักษณ์ลวดลายพ้นยุค ไม่เหมาะกับหญิงสาวทันสมัยอย่างเธอ
“เธอจะขายเส้นไหน” ปะวะหล่ำนิ่วหน้า ในหีบที่คุณภัทรายกให้หลานสาวมีเครื่องประดับเต็มไปหมด “ฉันจำไม่ได้หรอก”
“ที่จริงก็มีอยู่หลายเส้น ทั้งสร้อย แหวน กำไล” เพลงภัทรว่า “ของเก่า ของแท้ทั้งนั้น เดี๋ยวฉันลองเลือกดู ลองขายสร้อยสักเส้นก่อน พอเงินหมดค่อยขายชิ้นที่เหลือ”
“ไม่เสียดายหรือ” ปะวะหล่ำอดเสียดายไม่ได้
“ไม่” เพลงภัทรตอบอย่างมั่นใจ “ยังไงฉันก็ไม่ใส่ของพวกนี้ และยังไงฉันก็จะไม่ยอมตามใจแม่เด็ดขาด เป็นไงเป็นกัน…ไม่ยอมส่งฉัน ฉันหาเงินเองก็ได้”
“งั้นก็ตามใจ ตกลงเธอจะขายชิ้นไหนบ้าง ก็แวะเอามาให้ยายดูก็แล้วกัน” ปะวะหล่ำไม่ค่อยเห็นด้วยกับเพื่อน แต่ไม่รู้ว่าจะห้ามอย่างไร เพลงภัทรเป็นคนมั่นใจในตัวเองเกินร้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว “ยายเอ็นดูเธอออกจะตายไป ฉันเชื่อว่าท่านต้องให้ราคาดีแน่ๆ”
สองยาม…
ท้องฟ้ามืดสนิท ดวงจันทร์หม่นแสง หมู่เมฆทะมึนแผ่ปกคลุมเหนือศีรษะ แหงนหน้ามองฟ้าไม่เห็นดาวแม้สักดวง
…ยามปลอด…
โบราณเรียกเช่นนั้น
แต่ไม่ว่าโบราณจะเรียกอย่างไร ตกมาถึงสมัยนี้ พ.ศ.นี้ คนรุ่นใหม่อย่างพวกเขาไม่สนแล้ว รู้แต่ว่าสะดวกเมื่อไรก็ลงมือเลย เร็วที่สุดย่อมดีที่สุด และนั่นคือฤกษ์ที่สะดวกที่สุด
บรรยากาศรอบกายของพวกเขาในยามนั้นเต็มไปด้วยความเงียบสงัด…เป็นความเงียบและสงัดชนิดที่ว่าถ้าเข็มตกลงพื้นสักเล่ม ก็คงจะได้ยินกันโดยทั่วหน้า
น้ำค้างพรมตัวลงมาจนหนาวยะเยือก ผู้คนแถวละแวกวัดเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำ บ้านเรือนปิดไฟมืด เปิดโอกาสให้มิจฉาชีพได้ลงมือตามที่วางแผนเอาไว้
บรรดาหมาวัดที่เคยวิ่งไปวิ่งมาถูกวางยานอนหลับ พากันนอนเงียบเชียบ หนึ่งในกลุ่มหัวขโมยลองใช้เท้าเขี่ยแรงๆ แต่พวกมันก็ยังหลับสนิท ไม่ขยับ ไม่รับรู้ต่อการมาถึงของผู้บุกรุก
“มึงแน่ใจหรือว่ามีของที่ต้องการ” ชายฉกรรจ์หนึ่งในสามถามด้วยน้ำเสียงลังเล “ยังจะเหลืออยู่อีกหรือวะ กูว่าวัดนี้โดนขุดจนพรุนไปแล้ว”
“กูแน่ใจ” คนที่เป็นหัวโจกเอ่ยเสียงหนักแน่น เขาชูเครื่องตรวจโลหะในมือราวจะยืนยัน “กูมาดูลาดเลา มาตรวจสอบหลายรอบจนแน่ใจแล้ว ยังจะข้อมูลที่นายให้มาอีก…”
ไม่เพียงแต่เครื่องตรวจสอบโลหะรุ่นทันสมัยที่อยู่ในมือเท่านั้น แต่คนที่จ้างเขาให้ขุดหาสมบัติโบราณยังมีตัวช่วยอื่นๆ ให้มาอีกมากมาย
เขาคนนั้นมีทั้งเงินและอำนาจ สามารถหารูปถ่ายทางธรณีวิทยาและภาพถ่ายจากดาวเทียมของบริเวณวัดแห่งนี้มาโดยละเอียด วิทยาการอันทันสมัยบอกให้รู้ว่าภายใต้ฐานรากของพระปรางค์โบราณอายุหลายร้อยปีแห่งนี้ มีสมบัติฝังอยู่อย่างแน่นอน
“ใช่…ข้อมูลที่นายได้มาก็บอกชัดเจน สอดคล้องกับลายแทงโบราณ” มือของอีกคนชี้ไปที่พระปรางค์ด้านหลังโบสถ์ รูปลักษณะคล้ายกับพระปรางค์วัดราชบูรณะย่อส่วนลงมา “กูมั่นใจ…ยังมีสมบัติซ่อนอยู่ใต้พระปรางค์แน่นอน”
“แต่…” เปรียวลังเล “กรุมันเคยถูกขุดไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว”
“มีเหลือสิ ข้างใต้นั่นยังมีกรุอยู่อีกหนึ่งชั้น” คนหัวหน้ามั่นใจ “หลายปีก่อนที่ถูกขโมยขุดไปนั่น มันแค่กรุชั้นบนเท่านั้น…”
“นายอยากได้อะไรกันแน่” จิกขมวดคิ้วมุ่น คนรวยขนาดนั้นอยากได้อะไรไม่ใช่เรื่องยาก เงินเนรมิตได้ทุกอย่าง การที่เขามุ่งมั่นจะให้มาขุดพระปรางค์โบราณแห่งนี้…ต้องมีของชิ้นสำคัญที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้
“พระแสงดาบ” โบ้ตอบ เขาเป็นหัวหน้าทีม พอมีความรู้อยู่บ้าง ศัพท์แสงที่พูดจึงดูน่าเชื่อถือ
“ดาบ” จิกนิ่วหน้า “ดาบอะไรวะ สำคัญมากนักหรือไง”
“ดาบของพระมหากษัตริย์ น่าจะสำคัญแหละ” โบ้บอก “นายบอกกูว่าตามหามานานแล้ว หาไปตั้งหลายวัด สุดท้ายได้เบาะแสว่าถูกฝังไว้ที่นี่ เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ”
“ถ้าของสำคัญขนาดนั้น…ทำไมมาฝังอยู่ที่วัดเล็กๆ ในอำเภอเล็กๆ แบบนี้” เพื่อนอีกคนที่มาด้วยกันถาม
“วัดเล็กๆ แต่มีความสำคัญโว้ย พวกมึงจะไปรู้อะไร” โบ้อธิบาย ดวงตาจับจ้องมองยอดพระปรางค์ที่อยู่ในเงามืดของรัตติกาล “ดูชื่อวัดสิ แค่ชื่อวัด…มึงก็รู้แล้วว่าสำคัญ”
“วัดราชธิดา” จิกยกมือขึ้นเกาหัว “ราชธิดาของใครวะ”
“ของพระพันวษา” โบ้พึมพำตอบ
“พระพันวษา” จิกโคลงศีรษะ รู้สึกคุ้นๆ กับพระนามนั้น “ชื่อเหมือนอยู่ในขุนช้างขุนแผนเลย”
“องค์เดียวกันละมัง” โบ้แค่นเสียง “ขุนช้างขุนแผนก็เป็นคนอยุธยาไม่ใช่เหรอ พระพันวษานี่ก็กษัตริย์อยุธยาพระองค์หนึ่งนั่นละ”
“ถึงกับสร้างวัดให้ แปลว่าต้องรักมาก” เปรียวพูดขึ้นบ้าง
“นายเล่าว่าพระพันวษาสร้างวัดนี้อุทิศให้ลูกสาวที่ป่วยตาย” โบ้เล่าอย่างอวดรู้ “คงจะรักลูกคนนี้มากอยู่หรอก เพราะเป็นลูกสาวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาตั้งแต่ท่านยังไม่ได้เป็นพระมหากษัตริย์ ท่านเสียใจมากเลยสร้างวัดให้ ตั้งชื่อว่าวัดราชธิดา”
“แน่ใจนะว่ามีกรุอยู่อีกชั้น” จิกยังไม่วายสงสัย สายตาเขาจ้องมองปรางค์ประธานที่มีขนาดใหญ่ เงาสลัวรางของยามราตรีสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับเขาไม่น้อย
“แน่ใจ” โบ้ว่า “มึงจะสงสัยอะไรนักหนา กูพาพวกมึงมานี่ ต้องมั่นใจแล้วว่าไม่เสียเวลาเปล่าแน่นอน”
เมื่อหลายสิบปีก่อน ช่วงเดียวกับที่มีการขโมยขุดกรุวัดราชบูรณะ เคยมีคนมาลักลอบขุดหาสมบัติที่ปรางค์ประธานวัดราชธิดาเช่นกัน ครั้งนั้นหัวขโมยพบกรุขนาดใหญ่ ภายในมีสมบัติโบราณล้ำค่ามากมาย พวกมันช่วยกันขนได้ไปทั้งพระเครื่อง พระพุทธรูป และเครื่องประดับทองคำหลายสิบชิ้น หลังจากตำรวจจับคนร้ายได้ ก็มีการนำเอาเครื่องทองบางส่วนมาเปิดประมูล เพื่อนำรายได้ไปใช้ซ่อมแซมบูรณะโบสถ์เก่าของวัด ของชิ้นเอกในครั้งนั้นที่ถูกประมูลไปในราคาแพง ก็คือทับทรวงทองคำประดับด้วยทับทิม
คราวนั้น การขุดค้นหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ไม่มีการสำรวจต่อ เพราะทางการมุ่งให้ความสนใจแต่วัดราชบูรณะที่เป็นวัดหลวง ดังนั้น การที่โบ้บอกว่ายังมีกรุซ่อนอยู่ข้างใต้อีกชั้น จึงมีความเป็นไปได้สูง
“กูก็แค่สงสัย” จิกพึมพำ
“สร้างอุทิศให้ลูกสาวแบบนี้ ต้องมีของล้ำค่าเยอะแน่ มิน่าถึงทำกรุเอาไว้หลายชั้น ชั้นบนมีของดีขนาดนั้น ของในกรุชั้นล่างต้องเด็ดกว่าแน่นอน” เปรียวหัวเราะชอบใจ “ยิ่งถ้าไม่เคยมีใครขุดมาก่อน เราอาจจะเจอกรุใหญ่เหมือนคราววัดราชบูรณะก็ได้นะไอ้โบ้”
“กูว่าไม่ใช่เหมือนคราววัดราชบูรณะ” โบ้หัวเราะเสียงก้อง “แต่กูว่ากรุชั้นล่างที่เรากำลังจะขุดนี้ จะมีของมากกว่าที่วัดราชบูรณะเสียอีก”
“จริงอ้ะ” เปรียวทำตาโต “วัดราชบูรณะนั่นก็มากสุดเท่าที่เคยมีคนขุดมาแล้วนะเว้ย”
“เออสิ” โบ้ยังหัวเราะร่วน “มึงไม่เชื่อก็คอยดู”
เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๔๙๙ มีหัวขโมยสามคนลักลอบขึ้นไปบนพระปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ ใช้ชะแลงงัดเข้าไปจนถึงห้องใต้พระปรางค์ เมื่อเหยียบหินแผ่นหนึ่งก็รู้สึกเหมือนว่าข้างใต้มีโพรง จึงช่วยกันยกแผ่นหินขึ้น ก็พบว่ามีโพรงอยู่จริงๆ ครั้นเมื่อลองส่องไฟลงไปดูก็ต้องตะลึงเพราะข้างใต้แผ่นหินนั้นไม่ใช่โพรงธรรมดาๆ แต่เป็นกรุสมบัติขนาดใหญ่ มีเครื่องทอง เครื่องประดับ และเครื่องราชูปโภคที่ทำด้วยทองคำบรรจุอยู่มากมาย
นับเป็นการค้นพบสมบัติโบราณสมัยอยุธยาครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีประวัติมา
“นายอยากได้แค่พระแสงดาบเท่านั้น” เสียงของโบ้แผ่วต่ำในลำคอ “อย่างอื่นนายยกให้พวกเราทั้งหมด เจออะไร อยากได้อะไร นายอนุญาตให้ขนไปได้เลย”
“แน่นะมึง ลงแบบนี้รวยเละแน่กู แต่อย่าให้นายเปลี่ยนใจมาทวงคืนทีหลังนะเว้ย” เปรียวหัวเราะชอบใจ ขณะที่จิกยังไม่คลายกังวล
“แต่เรามาแบบนี้ มันประเจิดประเจ้อมากเลยนะไอ้โบ้” จิกพึมพำ เสียงเริ่มสั่นเพราะจู่ๆ หมาในหมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไปก็พร้อมใจกันส่งเสียงหอนเยือกเย็น “เกิดใครมาพบเข้าละก็…หมดอนาคตแน่”
“ปอดแหกหรือไงไอ้จิก ตัวโตเสียเปล่า” โบ้หันไปตวาดลูกน้อง “แทนที่จะเอาแต่บ่น มึงหุบปากแล้วรีบขุด ช่วยกูทำงานนี้ให้สำเร็จไวๆ แล้วอนาคตสวยๆ จะรอมึงอยู่”
“อ้ะ…บอกมา” จิกตัดใจ เขางัดเครื่องมือขุดเจาะขนาดเหมาะมือออกมาจากเป้สะพายหลัง “มึงจะให้กูเริ่มขุดตรงไหน”
“ขึ้นไปข้างบน เราจะไต่จากโถงกลางพระปรางค์ลงไปที่กรุชั้นบน จากนั้นเจาะฐานกรุชั้นบนลงไปแบบวัดราชบูรณะ” โบ้วางแผน มันชี้มือไปที่บันไดที่ทั้งแคบและชัน ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้เพื่อนอีกคน “มึงด้วยไอ้เปรียว ขึ้นไปช่วยไอ้จิกขุด ประเดี๋ยวกูจะตามไป ใช้เครื่องจับโลหะตรวจดูว่าสมบัติอยู่ตรงไหนกันแน่”
จิกพยักหน้าให้กับเปรียว ก่อนที่ชายฉกรรจ์ทั้งสองจะพากันปีนบันไดขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง เมื่อถึงโถงกลางที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาบสางของค้างคาว พวกมันก็พากันไต่ลงไปในช่องแคบๆ จนถึงกรุชั้นแรก จากนั้นก็ลงมือขุดพื้นของกรุที่ก่อด้วยศิลาอย่างเร่งรีบ
ดาวเคลื่อน เดือนคล้อย เสียงสุนัขหอนยังคงลอยมากับสายลม สลับกับเสียงจอบกระทบพื้นศิลาเป็นระยะ
แม้อากาศจะเย็นสบาย หากแผ่นหลังของชายหนุ่มทั้งสองเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม โบ้ที่เพิ่งตามขึ้นมาสมทบ ใช้เครื่องมือทันสมัยกวาดไปรอบๆ
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ…
มีเสียงดังให้ได้ยินเป็นระยะ เมื่อเครื่องสแกนจับโลหะที่อยู่ใต้โถงของพระปรางค์ได้
“เห็นไหม…ยังมีกรุอยู่ข้างล่างอีกหนึ่งกรุจริงๆ ด้วย” โบ้ร้องดีใจ นั่นทำให้ลูกน้องสองคนที่กำลังออกแรงเริ่มมีความหวัง
“อยู่ตรงนั้น มึงขุดลงไปอีก” โบ้มั่นใจ เขาชี้มือไปที่มุมด้านหนึ่งของพื้นศิลาที่ถูกขุดลึกลงไปถึงบั้นเอว ขณะที่จิกกับเปรียวรีบเร่งขุดให้ลึกขึ้น
ครืด…
อะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ อยู่ใต้พื้นที่พวกเขายืนอยู่ ขณะที่จิกและเปรียวรู้สึกถึงความสั่นสะเทือน เคลื่อนที่อยู่เบื้องล่าง
“ไอ้โบ้” จิกเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนที่กำลังใช้เครื่องตรวจจับโลหะอยู่อย่างขะมักเขม้น
“มีอะไรอีก” โบ้ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ “มึงนี่เรื่องเยอะเสียจริง”
“ข้างใต้” จิกชี้มือลงไปที่ก้นหลุม ขณะที่เปรียวพึมพำปากคอสั่น ช่วยยืนยันด้วยอีกคน
“ใช่…ข้างใต้”
“อะไรของพวกมึง” โบ้ส่ายหน้า
“ไม่รู้อะไร” จิกเสียงสั่น คำพูดแทบไม่เป็นคำพูดแล้วในตอนนั้น “มันกำลังเคลื่อนที่อยู่”
“สมบัติเคลื่อนหรือไงวะ โม้น่ะ”
“จริงนะพี่โบ้…อะไรข้างใต้นั้น…มันกำลังขยับ”
และราวกับเป็นการยืนยันคำพูดของจิก
อะไรบางอย่างขยับเคลื่อนไหวอีกครั้ง เกิดเสียงครืดคราดดังสะท้านไปทั่วทั้งบริเวณ…
ครืดดดด…