ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 31 : อาเนีย ฮัมมิง

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 31 : อาเนีย ฮัมมิง

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

ดิวาห์ขับรถหรูสีดำมายังบ้านแห่งความรัก เดินเหม่อผ่านเตียงทั้งสี่ที่ซึ่งน้องๆ ยังนอนมิได้สติ หรือไม่ก็กำลังวนเวียนอยู่กับฝันอันโคตรทรมานจากเหล่าผีร้ายที่สลับกันมาชิมชมความหวาดกลัว ครู่หนึ่งจึงเดินมายังห้องทำงานโดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ หน้าจอขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยไลฟ์สดสยอง ดูคนถูกฆ่าพร้อมหัวเราะในบาปของตนเอง

แต่แล้วก็มีการแจ้งเตือนถึงผู้ล็อกอินรายใหม่ ผู้ไม่ได้เข้ามาชมไลฟ์พวกนี้เกินเดือนแล้ว

อาเนีย ฮัมมิง

อดีตคู่ค้าคนสำคัญ เห็นว่าออกจากวงการไปแล้วและต้องการลืมอดีตพวกนี้ ทำไมจึงยังล็อกอินเข้ามาล่ะ คิดแล้วก็สงสัย จึงกดที่คำสั่งแจ้งรายละเอียดของยูสเซอร์

และก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่ามันถูกล็อกอินจากตำแหน่งใกล้เคียงกับบริษัทของพินธา

 

วินิมัยอ่านข้อความซ้ำอีกครั้ง

รบกวนโทรเข้ามาเบอร์นี้

เพื่อธามทศ และเพื่อตัวพวกคุณเอง…

ช่างเป็นคำขอที่น่าวิตกและสยดสยอง ดิวาห์ที่แทบจะไม่ชายตาแลพวกวินิมัยในคราวก่อน กลับเสนอเปิดการสนทนาด้วยตนเอง

อีกครั้งที่ริลนาดูจะมีสติที่สุด “มีทางเดียวคือโทรไปใช่ไหมคะ”

วินิมัยมองหน้ากานต์ เขาพยักหน้า เท่านั้นแหละที่เธอกดสมาร์ตโฟนติดต่อไปทันที

เสียงดังขึ้นจากสปีกเกอร์และถูกรับอย่างรวดเร็ว

“พวกคุณอยู่กันสองคนหรือเปล่า” ทุ้มต่ำ เจือความดูถูก เป็นเสียงของดิวาห์ไม่ผิดแน่

วินิมัยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปว่าใช่

มีเสียงหลุดขำเข้ามาในหู “ไม่อยากเชื่อว่าจะมาถึงจุดนี้ได้…แต่ช่างเถอะ ถึงไม่อยากพาพวกคุณมาเกี่ยวแต่ก็ต้องทำแล้วสินะ”

“เลิกพูดเหมือนรู้เรื่องอยู่คนเดียวเสียที มันน่ารำคาญ” เมื่อของขึ้น ลิ้นก็พันกันในทันใด “มึงมันฆาตกร เลิกทำตัวสูงส่งเสียที ไอ้เวรเอ๊ย เห็นชีวิตคนเป็นอะไรถึงได้ทำไลฟ์สดพวกนี้ขึ้นมา”

ได้ยินเสียงสูดหายใจเหมือนคนร้องไห้จากอีกฝั่ง แต่ไม่คิดหรอกว่าคนอย่างดิวาห์จะสลดเป็น

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณอาเนีย” เสียงกระซิบถามจากดิวาห์

“ไม่ใช่เรื่องที่เราจะคุยกันตอนนี้” วินิมัยรู้สึกใจสั่นด้วยความหงุดหงิดเกินระงับ ไม่รู้เลยว่าชายคนนี้คิดอะไรอยู่ในหัว “ผีที่ธุพาณเลี้ยงมันมาหาฉัน นั่นแปลว่าหากเอาเรื่องไลฟ์สดนี้ไปเปิดเผย ไอ้ธุพาณกับมึงจบเห่แน่”

“ถ้าเล่นแบบนั้น รับรองว่าธุพาณจะไม่ลงนรกไปเพียงคนเดียว เขาจะลากทุกคนไปด้วยแน่นอน เขาเป็นคนแบบนั้น”

บรรยากาศชะงักลง แทบไม่มีใครส่งเสียง ดิวาห์ไม่ได้โกหก ด้วยเหตุนี้วินิมัยจึงเลิกคิดเรื่องธุพาณไปก่อน

“…แล้วธามทศเป็นยังไงบ้าง ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย”

“ผมก็เช่นกัน”

“คุณเป็นคนถ่ายไลฟ์สดพวกนี้ แล้วทำไมถึงไม่มีของธามทศล่ะ”

คราวนี้เป็นเสียงหัวเราะแบบอ่อนแรงอ่อนใจ “คุณอาจจะไม่ทันสังเกต หรืออาจจะหลงลืมเพราะความกังวล” ดิวาห์ยังใช้คำพูดเชิงดูถูก ไม่ต่างกับตอนพบหน้ากัน “แต่กฎสยองพวกนี้จะแบ่งได้หลายแบบ หากแบ่งตามรูปแบบของเวลานะ”

กานต์ที่ยืนด้านหลังร้องอ๋อออกมา

“กฎบางกฎจะมีการไหลของเวลาไม่ต่างกับโลกจริง หรือก็คือเป็นแบบเรียลไทม์ ซึ่งกฎพวกนี้โดรนจะสามารถถ่ายออกมาได้ แต่กฎอีกส่วนนั้น ผู้เข้ามาเกี่ยวข้องจะเหมือนถูกส่งไปอยู่อีกภพหนึ่ง ซี่งมีการไหลของเวลาต่างกับโลกภายนอก”

ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขยุมหัวตัวเอง แต่พอเข้าใจแล้ว

“กฎการลองดีในห้างรูล แอนด์ รอส นั้นเกี่ยวข้องกับการวนลูปหลังจากถูกสังหาร โดรนไม่สามารถถ่ายออกมาได้หรอก และยังเป็นกฎที่ยากที่สุด ธามทศคงไม่รอดแน่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป”

วินิมัยกำลังจะรัวปากไปว่าแล้วทำไมไม่ช่วยน้องชายตัวเอง แต่อีกฝ่ายเอ่ยปากก่อน

“ผมจึงเสนอทางรอดให้ธามทศ แต่แลกกับบางสิ่ง…”

ทั้งสามมองหน้ากันไปมา ช่างเป็นชายชั่วที่คาดเดาไม่ถูก

“ดูทรงแล้วคงมีปัญหากับธุพาณ หรือไม่ก็ถูกธุพาณส่งมาเพื่อช่วยให้ธามทศเอาชนะกฎได้สำเร็จ” กานต์กระซิบแล้วระบายความเครียดใส่หัวตัวเองอย่างรุนแรง “ยิ่งดิ้นรนยิ่งเข้าทางพวกมัน”

นั่นสิ ธุพาณเองก็คงอยากให้ธามทศรอด มิใช่เพราะรักหรือห่วงใย แต่เพราะต้องการมีอำนาจมากขึ้นต่างหาก

ถ้าธามทศตาย ธุพาณจะขาดแหล่งพลังไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังคงตามล่าพวกวินิมัยได้อย่างสบาย พอมาคิดดูอีกทีแล้วก็ไม่มีความหวังเอาเสียเลย

“ช่วยคุณแล้วจะได้อะไร ธามทศอาจจะรอดออกมาเองก็ได้ แถมยังไม่มีอะไรรับรองความปลอดภัยของพวกฉัน” วินิมัยลองเชิงถาม ดูท่าทีว่าอีกฝั่งคิดจะทำอย่างไรกับพวกตน

“คุณคิดว่าพวกผมมีอำนาจแค่พวกผีงั้นหรือ…ถ้าจะฆ่าพวกคุณจริงๆ ส่งมือปืนไปยิงก็จบแล้ว จะหนีไปไหนก็ไม่รอด และมีดเล่มน้อยนั่นก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

นั่นก็จริง ได้ยินแล้วก็รู้สึกเจ็บใจ

“คุณอาจจะไว้ชีวิตพวกเราเพื่อจะใช้ประโยชน์ก็ได้ หลังจากธามทศทำสำเร็จค่อยจัดการ”

“ไร้สาระ…คุณอาจจะสงสัย แต่รู้ไหมว่าตอนนี้ที่ธามทศยังไม่ตายไปหลายรอบกว่านี้ ก็เพราะพ่อเลี้ยงจงใจส่งผีเปรตและผีสาวห่มเลือดไปช่วยถึงในห้างนั่น ผีสองตัวแจ้งว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ตายไปแล้วหลายรอบ พวกมันไม่ฉลาดพอจะสื่อสารรู้เรื่องมากไปกว่านี้ แถมตัวหนึ่งก็พูดไม่ได้ไปแล้วเพราะคุณ แต่ก็สรุปได้แล้วว่าอาการหนัก หากตายอีกสักรอบก็คงสิ้นหวังแล้วละ”

“คุณต้องการอะไร และถ้าเราทำตามข้อเสนอ ธามทศจะมีโอกาสมากขึ้นหรือ”

“ผมต้องการสมาร์ตโฟนของพินธา และใช่ เขาจะมีโอกาสรอดมากขึ้น”

สมาร์ตโฟนงั้นหรือ เครื่องที่เคยตกอยู่ในห้องสินะ

“ผมส่งคนแอบเข้าไปเอาแล้ว แต่ก็ไม่เจอ เลยคิดว่าพวกคุณน่าจะเก็บไว้ ด้านในมีรายชื่อที่เจ้าตัวไม่ยอมบอกแม้จะถูกทรมานขนาดไหนอยู่”

“พวกลูกค้าวีไอพีใช่ไหม” กานต์เดาได้ “นายจะชักชวนพวกลูกค้าวีไอพีของเฮลป์เปอร์เข้าสู่เครือข่ายไลฟ์สดนี้”

“ว้าว” ดิวาห์ส่งเสียงร้องสำเนียงดูถูกผ่านสปีกเกอร์ “นับว่ามีสมองอยู่บ้าง”

“แล้วมึงจะช่วยธามทศยังไง” กานต์เริ่มขึ้นกูมึง

เสียงเงียบไปพักหนึ่ง เกือบจะรู้สึกถึงกระบวนการตัดสินใจที่กำลั่งป่วนในสมองของดิวาห์ได้เลย

“มีอยู่วิธีหนึ่งที่ผมว่าน่าจะได้ผล”

 

มันช่างไร้ความหวัง เหนื่อยล้า เจ็บปวดและหลงลืม

ธามทศนอนแผ่ที่ชั้นใต้ดินของห้างอาถรรพณ์ ฟื้นจากความตายมาเป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว ความเจ็บปวดจากการถูกสังหารในแต่ละรอบไม่ได้หายไปไหน มันฝังลงในสมองและสถิตกลางวิญญาณ

ผีเปรตและผีหญิงเปลือยปรากฏตัวตนออกมาช่วยตลอดแต่ก็ยังไม่พอ พลาดเพียงครู่เดียวก็ตายห่าแล้วกลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง

บัดนี้พวกมันสองตัวยืนนิ่งที่มุมสุดของชั้นใต้ดิน เร่งเร้าให้เขายืนขึ้น

จะเดินขึ้นไปให้เจ็บอีกเพื่ออะไร ยังไงเสียเขาก็ต้องติดอยู่ในสิ่งปลูกสร้างนี้ไปตลอดกาล

ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาภายนอกเดินไปอย่างไร จะเกินกำหนดการฟื้นของโมนาหรือยังนะ

เมื่อคิดถึงรักแรกในวัยเยาว์ เสียงก็ลอยเข้าหู

“เราอยากเล่นกับโมนา…”

“แต่เราไม่อยากเล่นกับฤทธิ์อ่ะ”

“ใครในกลุ่มที่ชอบน้อยที่สุด”

“ฤทธิ์ไง”

“ฤทธิ์”

“ไอ้ฤทธิ์แน่นอน แล้วโมนาล่ะ ชอบใครน้อยที่สุด”

“…ก็ฤทธิ์ไง แต่ก็ไม่ได้เกลียดนะ แค่เฉยๆ”

เด็กน้อยฤทธิ์ที่เติบโตเป็นหนุ่มลืมตาขึ้นรับความจริงอีกครั้ง เพดานเก่าผุพังของชั้นใต้ดินอยู่ไกลออกไป เสียงฝนตกยังไม่ซาลงเลย

เมื่อลุกยืน ในหัวเริ่มมีเพลงบรรเลงขึ้น อันที่จริงมันไม่มีเสียงดนตรีประกอบหรอก ดำรงเพียงแค่เสียงเนื้อร้องของพวกเด็กๆ เท่านั้น

พวกเราคือพี่น้อง พวกเราคือผองเพื่อน

 

ธามทศเดินขึ้นบันไดเลื่อนอย่างเชื่องช้า หอบเหนื่อยทั้งที่ร่างกายไร้บาดแผล เป็นผลจากจิตใจแน่นอน ทำเช่นเดิมซ้ำกับอีกหลายสิบรอบที่ผ่านมา พวกแมงมุมเร็วเกินกว่าตาจะมองทันแล้ว แต่เขาก็ยังลากสังขารมาถึงชั้นเจ็ดได้

ประตูอยู่ตรงหน้า แค่เดินเข้าไปบิดก็จะเข้าสู่โซนพนักงาน คราวนี้ไม่มีมือยักษ์เข้าโจมตีจากด้านบนหรือมุมอับ แต่มันรอคอยอยู่ที่หน้าประตูเลย

ประตูสีออกเหลืองนวลตัดกับมือสีเปื่อยออกเขียว ผีเปรตกับผีสาวห่มเลือดที่คอยสลับกันมาช่วยนั้นหายไปแล้ว คงถูกกระทืบบ่อยเกินจะรับไหว หรือไม่ธุพาณก็เรียกกลับไปปกป้องตัวเอง

สิ้นหวังแล้ว ไม่มีทางเอาชนะได้เลย

ครู่เดียวที่เปลือกตาปิดแล้วเปิด มือยักษ์เน่าเหม็นก็หายไปจากสายตา ธามทศวิ่งสุดชีวิตไปด้านหน้า ทันเวลาที่มันฟาดลงจากด้านบนพอดี คราวนี้ไม่ถูกเล็บของมันเฉี่ยวหลังด้วยซ้ำ ถึงหน้าประตูแล้ว เขารีบบิดเปิดออกและเข้าไปด้านในทันที

ในวูบที่กำลังปิดประตู เขาเหลือบไปเห็นด้านหลัง จึงทราบเหตุผลที่มันไม่ไล่ตะปบต่อ เพราะมันแกร่งขึ้นตามรอบที่เขาตาย แรงเหวี่ยงนั่นเจาะลงสู่พื้นห้างชั้นเจ็ด ล็อกนิ้วทั้งห้าไว้กับซีเมนต์และเส้นลวดยักษ์ นับเป็นโชคในคราวซวย

ธามทศเพิ่งเคยเข้ามายังโซนนี้เป็นครั้งแรก รีบสาดไฟฉายไปมาในเขตพนักงานอันมืดสนิท ทางเดินคล้ายโถงยาวโค้งไปทางซ้าย เดินตามตามไปเรื่อยๆ ด้วยความหนักอึ้งไปทั้งร่าง เสียงอะไรบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ลอยเข้าหู คล้ายเสียงคนสวดมนต์ไปพลางร้องโหยหวนไปพลาง

ผ่านทางโค้งมาจึงเป็นทางแยก ป้ายพลาสติกที่ห้อยจากเพดานนั้นเก่าเกินจะอ่าน ทางหนึ่งคงเชื่อมไปยังที่จอดรถ อีกทางสำหรับโกดัง และทางที่เหลืออันเป็นสิ่งที่เขาต้องไป นั่นคือทางออกสำหรับพนักงาน

ประตูขาออกสำหรับพนักงานนั้นจะตั้งอยู่ติดกับลิฟต์ในโซนสาม หรือลิฟต์ขนส่งสินค้าที่อยู่ฝั่งขวาของอาคารนั่นเอง โดยประตูนี้จะมีทุกชั้น แต่ประตูที่จะพาคุณออกไปได้นั้นมีเพียงประตูชั้นสามชั้นเดียวเท่านั้น

ถ้าให้เดา พอออกจากประตูชั้นสามแล้วคงจะเจอกับบันไดทางลงสู่ด้านล่าง โดยทั่วไปพนักงานน่าจะลงลิฟต์แล้วออกทางประตูด้านล่างเลย แต่คราวนี้คงต้องเดินเท้าเอา

และหากเปิดชั้นสามออกไปแล้วไปไม่พบบันได ค่อยว่ากันอีกที เวลานี้ต้องหาทางลงไปชั้นสามให้ได้ก่อน

เขาตัดสินใจเดินไปทางแยกด้านขวามือ มันเป็นทางเดินที่ด้านข้างเป็นกระจกมองเห็นภายนอก แต่กลับมืดและฝุ่นหนาเกินจะมองออกไปซึ่งไม่ต่างกับกระจกจุดอื่น ก้าวขาไปพักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย เพ่งมองไปที่พื้นที่พบใยขาวๆ บางๆ

ฉิบหายแล้ว แมงมุม!

แต่มองไปทุกมุมก็ไม่พบ ทำไมล่ะ ทั้งที่แมงมุมยักษ์น่าจะคอยเหยื่ออยู่ในระยะไม่กี่สิบเมตรแท้ๆ

ธามทศคิดออกทันทีว่ามันหลบอยู่ตรงไหน

ในช่วงเวลาที่มันพุ่งทะลุกำแพงกระจกด้านซ้ายเข้ามา เขารีบม้วนตัวหลบ แม้จะทันเวลาแต่ร่างกายก็ถูกมัดไปด้วยใยที่วางดักไว้ตามพื้น

แมงมุมเตรียมพุ่งเข้าขย้ำซ้ำ ในขณะที่ด้านบนก็มีเงาทอดมาจากด้านหลังธามทศ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นไอ้มือยักษ์นั่นเอง

อีกครู่เดียวความตายทั้งสองรูปแบบจะเข้าสังหารพร้อมกัน เขาหลับตาลงเตรียมเริ่มใหม่อีกครั้ง แต่กลับไม่รู้สึกถึงแรงฉีกกระชากลากไส้ออกไปกินเหมือนเคย

เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ มองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนแม้ไฟฉายของตนเองนั้นหล่นไปแล้ว

นั่นเพราะมีใครบางคนกำลังส่องไฟฉายข้ามหัวธามทศไปยังเบื้องหน้า เห็นแมงมุมอ้าปากออกกว้าง แต่ค้างอยู่ท่านั้นไม่ขยับไปไหน นึกได้ว่าด้านหลังควรจะมีมือยักษ์อยู่

เขาลุกขึ้นแล้วหันไปมองด้านหลัง ก่อนจะพบว่าเงาที่ทอดข้ามหัวเมื่อครู่มิใช่มือยักษ์ แต่เป็นเงาของผู้ถือไฟฉายนั่นเอง

และเจ้าของไฟฉายอีกกระบอกคือวินิมัย ผู้หญิงที่เขารักยิ่งกว่าชีวิต

 



Don`t copy text!