มรดกมนตรา บทที่ 12 : การเผชิญหน้าที่ฟ้าลิขิตไว้

มรดกมนตรา บทที่ 12 : การเผชิญหน้าที่ฟ้าลิขิตไว้

โดย : วัชรนริศ

Loading

มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน

อัคคีรัตน์กลับมาสู่เทวาลัยของเธอ เธอจำแลงกายกลับมาเป็นอัคนีนาฏเทวี เจ้าหล่อนนั่งลงบนบัลลังก์ที่ยิ่งใหญ่ของเธอและหัวเราะ “อีกไม่นานพวกมันจะต้องมานั่งคุกเข่าต่อหน้าข้า ร้องขอชีวิตของพวกมันด้วยความเจ็บปวด”

ปักษาดำที่นั่งคุกเข่าอยู่ได้ถามขึ้น “ทำไมท่านถึงไม่จัดการพวกมันทีเดียวไปเลยครับ ในเมื่อตอนนี้ท่านก็มีพลังกลับคืนมาแล้ว”

สมิงดงพูดต่อ “จริงๆ ไม่ต้องเทวีหรอก แค่ลำพังพวกข้าสองตนก็ทำให้พวกมันต้องมาสยบต่อหน้าท่านได้แล้ว”

เทวีหัวเราะเบาๆ “พวกเจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนไป เพราะตอนนี้พวกมันมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ เราจะทำอะไรตอนนี้ยังไม่ได้ ข้ามีวิธีที่จะค่อยๆ กำจัดพวกมันทีละคน ในไม่ช้าตระกูลวารีมรกต และพวกทุรวาสา ก็จะต้องจบสิ้น และจะไม่มีใครที่สามารถมาขัดขวางข้าได้อีก”

ปักษาดำและสมิงดงฟังคำของเทวีด้วยความนอบน้อม หล่อนยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็น “ข้าต้องการให้พวกเจ้าจับตาดูพวกมันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะทิพย์ธิดาและรวี พวกเจ้าอย่าได้ให้พวกมันคลาดสายตา”

“รับทราบครับเทวี” ปักษาดำและสมิงดงตอบรับคำสั่ง จำแลงกายกลับออกไปทันที นางสายใจในร่างของบุษบา เดินเข้ามาภายในเทวาลัย “เทวีมีอะไรให้ข้ารับใช้”

อัคนีนาฏเทวียิ้มอย่างเย้ยหยัน “ดีจริงๆ เลยนะในที่สุดเธอก็ได้ร่างของบุษบา สายใจเธอจงจับตาดูรวีและทิพย์ธิดาไว้ให้ดีๆ รวมถึงนางโฉมสุรางค์กับแม่ของมันด้วย สองคนนั้นจะต้องมาเป็นผู้รับใช้ข้าอย่างเต็มตัวในไม่ช้า ในเมื่อสองคนแม่ลูกนั้นอยากรู้จักอัคคีรัตน์และละโมบโลภมาก ข้าก็จะให้พวกมันได้สมใจ”

นางสายใจมีท่าทีลุกลี้ลุกลน “แต่เทวี วันก่อนข้าเห็น เอ่อ…”

“เจ้าเห็นอะไรสายใจ” อัคนีนาฏเทวีถามด้วยสีหน้าสงสัย

“ข้าเห็น ไอ้อมรนั่นมันมาที่คฤหาสน์ และข้ารู้สึกได้ว่ามันมีพลังบางอย่างที่รุนแรง และข้าก็รู้สึกไม่สามารถอยู่ใกล้มันได้เลยแม้แต่น้อย ข้าสัมผัสได้ว่า รอบๆ ตัวของมันมีแสงสว่างสีขาวบางอย่างปกคลุมคุ้มครองมันอยู่”

อัคนีนาฏเทวีพูดอย่างท้าทาย “อีกไม่นานไอ้อมรจะต้องถูกกำจัดด้วยฝีมือข้า ระหว่างนี้เจ้าจะต้องคอยจับตาดูพวกมันเอาไว้ให้ดี”

สายใจพยักหน้า “ค่ะ เทวี”

กลางดึก อัคนีนาฏเทวีได้นั่งสมาธิและพยายามใช้จิตไปตามหาอมรจนพบ และเธอได้สร้างความฝันโดยการเรียกจิตของเขาให้มาปรากฏต่อหน้า อมรที่กำลังหลับก็ฝันเห็นสตรีในชุดโบราณที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หินของเธอ จ้องมองลงมาที่ตัวเขา

“เจ้านี่เองหรือ อมร ข้าขอเตือนเจ้านะว่าอย่าเข้ามายุ่งกับตระกูลวารีมรกต ถ้าหากเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่”

อมรรู้สึกตกใจ “ท่าน…. ท่านคือใคร”

อัคนีนาฏเทวีหัวเราะเบาๆ “และเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะอมร ใช่สิ่งที่เจ้าตามหาอยู่หรือเปล่า”

อมรเริ่มรู้สึกสับสนและหวาดกลัว “ข้าจะไม่หยุดจนกว่าจะท่านจะถูกผนึกอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าไม่รู้ว่าท่านถูกปลดปล่อยออกมาได้ยังไง แต่ท่านอย่าก่อกรรมฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาแบบนี้อีกเลย และอย่าทำร้ายคุณทิพย์ธิดาและรวี รวมถึงคนอื่นๆ ที่ไม่รู้เรื่องด้วยเลย”

“เจ้าคิดว่าเวลานี้เจ้าจะมีปัญญาผนึกข้าได้หรือ” เจ้าหล่อนถามอย่างท้าทาย เทวีได้ใช้พลังดึงตัวอมรให้ลอยขึ้นจนร่างของเขาลอยเข้าไปใกล้และถูกบีบคอด้วยแรงมหาศาลของเธอ เขารู้สึกเจ็บปวดและเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก จนในที่สุดอมรได้พยายามตั้งจิตให้นิ่งและเริ่มท่องบทพระเวทมนตราออกมา ทันใดนั้นเกิดแสงเปล่งประกายขึ้นรอบตัวของเขา แสงนั้นสว่างและร้อนจนทำให้เธอและเขาต้องกระเด็นออกจากกัน

เทวีรีบลืมตาขึ้นและหลุดจากสมาธิ ด้วยความตกใจและอุทานด้วยความร้อนรน “นี่ข้ากำลังเจอคู่ปรับคนใหม่อีกแล้วหรือ”

อมรสะดุ้งตื่นจากความฝัน มีเหงื่อเปียกชุ่มไปทั้งตัวและรู้สึกหวาดกลัว เขาพูดกับตัวเองว่า “ในที่สุดเราก็ได้พบกันนะเจ้าอสูร”

 

วันต่อมา อัคนีนาฏเทวีได้ใช้พลังจิตของหล่อนทำทีว่าโทรศัพท์ติดต่อหาคุณหญิงช่อผกา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แม่บ้านของคุณหญิงช่อผการับสาย “สวัสดีค่ะ บ้านคุณหญิงช่อผกาค่ะ”

เทวีพูด “สวัสดีค่ะ ขอสายคุณหญิงช่อผกาค่ะ” แม่บ้านถาม “จากที่ไหนคะ”

“ให้บอกคุณหญิงว่า จากคุณอัคคีรัตน์ค่ะ” แม่บ้านเดินเข้าไปในห้องโถง โดยมีคุณหญิงช่อผกากำลังนำเครื่องเพชรของเธอออกมาเช็ด “คุณผู้หญิงคะ มีโทรศัพท์มาค่ะ ติดต่อมาจากคุณอัคคีรัตน์ค่ะ”

เมื่อคุณหญิงช่อผกาได้ยินชื่อนั้น ก็รีบร้อนเดินมารับสาย “สวัสดีค่ะ คุณหญิงช่อผกาพูดค่ะ”

“สวัสดีค่ะคุณหญิง ดิฉันอัคคีรัตน์นะคะ วันนี้คุณหญิงว่างไหมคะ สะดวกจะมารับชมเครื่องเพชรโบราณที่บ้านดิฉันไหมคะ” หญิงสาวเอ่ย

คุณหญิงช่อผกาได้ยินดังนั้นก็ดีอกดีใจ “ไปค่ะไป”

“ถ้าอย่างงั้นดิฉันจะส่งคนขับรถไปรับที่บ้านคุณหญิงนะคะ สวัสดีค่ะ” เธอได้วางสายทันที คุณหญิงช่อผการู้สึกงง และตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

ไม่นาน สมิงดงก็จำแลงกายเป็นคนขับรถหนุ่มมารับคุณหญิงช่อผกาไปที่บ้านของอัคคีรัตน์ เสียงรถยนต์จอดที่หน้าบ้าน คุณหญิงช่อผการีบเดินพุ่งมาที่รถทันที และหันมาสั่งแม่บ้านว่า “วันนี้ฉันจะกลับค่ำหน่อยนะ ฉันจะไปดูเครื่องเพชรที่บ้านของคุณอัคคีรัตน์”

สมิงดงในคราบคนขับรถเดินลงมาเปิดประตูรถให้ “สวัสดีครับ คุณอัคคีรัตน์สั่งให้มารับคุณหญิงไปที่บ้านครับ”

เธอรีบขึ้นรถทันทีไม่รีรอ เมื่อรถมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่ถูกมนตราของเทวีบันดาลขึ้น คุณหญิงรีบลงจากรถและอุทานขึ้น

“ทำไมที่นี่ถึงได้สวยขนาดนี้ นี่จะเรียกว่าวังก็คงเป็นได้ ฉันเชื่อละว่าเธอเป็นผู้ดีเก่าจริงๆ”

ไม่นาน อัคคีรัตน์ก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณหน้าบ้าน “สวัสดีค่ะคุณหญิงช่อผกา เชิญคุณหญิงเข้าไปในบ้านก่อนนะคะ” หญิงสาวนำทางเธอไปนั่งบริเวณภายในห้องนั่งเล่น บนโต๊ะบริเวณห้องนั่งเล่นมีกล่องเครื่องเพชรโบราณที่วางอยู่หลายกล่อง คุณหญิงช่อผกามองกล่องเหล่านั้นตาไม่กะพริบ

“โอ้โห นี่คือของที่คุณสะสมหรือคะ”

หญิงสาวยิ้มอย่างมีเลศนัย “คุณหญิงลองเปิดแต่ละกล่องดูสิคะ”

เธอไม่รีรอ รีบเปิดดูภายในแต่ละกล่องทันที และก็ต้องตกใจ “นี่มันเพชรหายากทั้งนั้นเลยนี่คะคุณ ทำไมถึงได้มากมายขนาดนี้” เธอมองด้วยความอยากได้สิ่งเหล่านั้น

“นี่แค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของที่ดิฉันมีอยู่นะคะ”

คุณหญิงช่อผกาชะงักและหันไปยิ้มหวาน “เอ่อ เดือนหน้าดิฉันจะจัดงานประมูลเครื่องเพชรเพื่อการกุศล คุณอัคคีรัตน์สนใจจะมาเป็นแม่งานกับดิฉันไหมคะ เครื่องเพชรโบราณคุณเยอะขนาดนี้ สนใจจะแบ่งสักส่วนสำหรับรวมประมูลเพื่อการกุศลไหมคะ”

หญิงสาวมองด้วยแววตามีแผนการ “สนใจสิคะ งานการกุศลดีๆแบบนี้”

คุณหญิงยิ้มด้วยความดีใจ “ถ้าอย่างนั้นดีเลยค่ะ แต่ เอ่อ…อีกเรื่องหนึ่งค่ะ คุณสวยขนาดนี้ ดิฉันอยากให้คุณเป็นคนเปิดงานดีไหมคะ และก็มีการแสดงโชว์เปิดงานด้วยนะคะ ดิฉันอยากให้คุณช่วยขึ้นโชว์วันเปิดงานน่ะค่ะ”

“ยินดีค่ะ พิธีเปิดงานเดี๋ยวดิฉันจะเป็นคนจัดเตรียมให้เองนะคะ คุณหญิงไม่ต้องห่วง”

 

ในเย็นวันนั้น ทิพย์ธิดาขึ้นไปสวดมนต์ภายในห้องพระของคฤหาสน์ เมื่อเธอสวดมนต์จบ เธอก็พูดออกมาต่อหน้าพระพุทธรูปภายในห้องด้วยความกังวลใจ “ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณพระคุณเจ้าจงช่วยให้พวกเราผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายพวกนี้ไปได้โดยเร็ว”

อยู่ๆ สร้อยพระขรรค์ที่เธอห้อยคออยู่ก็เกิดมีแสงสว่างสีขาวใสสว่างวูบวาบ ราวกับต้องการบอกอะไรสักอย่าง หญิงสาวจับที่สร้อยพระขรรค์ของเธอ

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ พระขรรค์ถึงเปล่งแสงแบบนี้ หรือจะมีอะไรเกิดขึ้น” เธอรู้สึกมีลางสังหรณ์บางอย่าง หญิงสาวเงยหน้าไปมองที่โกศของหม่อมเจ้าอดิศร “ขอให้ท่านชายจงช่วยคุ้มครองพวกเราด้วยนะคะ”

ทันใดนั้นเอง เธอรู้สึกถึงลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาในห้องพระ แม้ว่าประตูและหน้าต่างจะปิดสนิท ทิพย์ธิดารู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่มาปกป้องและคุ้มครองเธอ ความรู้สึกอุ่นใจเริ่มเข้ามาแทนที่ความกลัว เธอจึงนั่งลงและสวดมนต์ต่อไปด้วยความหวังและศรัทธาที่จะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคที่กำลังเผชิญอยู่

ขณะเดียวกัน ในเงามืดมุมหนึ่งของห้องพระ ร่างของหม่อมเจ้าอดิศรปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง เขายิ้มเล็กน้อยและกระซิบเสียงเบาๆ ที่เต็มไปด้วยความเมตตา

“ทิพย์ธิดา เจ้าไม่ต้องกลัว ฉันจะคุ้มครองเจ้าและทุกคนที่เจ้ารัก ฉันจะไม่ปล่อยให้สิ่งชั่วร้ายทำลายตระกูลของเราได้เป็นอันขาด” ทิพย์ธิดารู้สึกถึงความสงบและอุ่นใจที่เพิ่มขึ้น เมื่อเธอเงยหน้ามองไปที่โกศอีกครั้ง เงาร่างของหม่อมเจ้าอดิศรก็จางหายไป แต่ความรู้สึกที่ได้รับการปกป้องยังคงอยู่ในใจของเธอไม่จางหายไป

หลังจากสวดมนต์เสร็จ ทิพย์ธิดาเดินลงมานั่งอ่านหนังสือบริเวณภายในห้องนั่งเล่น บุษบาเดินเข้ามาภายในห้อง “คุณทิพย์ธิดาจะรับอะไรเพิ่มไหมคะ” วันนี้ทิพย์ธิดาเธอใส่เสื้อเปิดคอ เลยทำให้เห็นสร้อยพระขรรค์อย่างชัดเจน

เมื่อหญิงสาวหันไปตอบบุษบา “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ ทิพย์อ่านหนังสือเสร็จจะกลับห้องนอนพอดี” บุษบาถึงกับชะงักเมื่อแสงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระขรรค์ส่องแสงสว่างจนทำให้เธอต้องเดินออกห่างจากทิพย์ธิดา

“คุณบุษบา เป็นอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”

บุษบารีบตอบด้วยความลุกลี้ลุกลน “ไม่เป็นอะไรคะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อน” แล้วเธอก็รีบเดินกลับออกไปทันที

ทิพย์ธิดามองตามบุษบาไปด้วยความสงสัย ขณะนั้นเอง ความรู้สึกสงสัยและความระแวงเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเธอ หญิงสาวจึงตัดสินใจที่จะคอยสังเกตพฤติกรรมของบุษบาอย่างใกล้ชิด เพื่อหาคำตอบว่าทำไมบุษบาถึงมีท่าทีแปลกๆ แบบนี้

บุษบารีบกลับเข้าห้องของตัวเองและปิดประตูแน่นหนา เธอหายใจลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ ‘พระขรรค์นั้นทำไมมันถึงมีพลังมากขนาดนี้’ เธอคิดในใจ พลางคิดแผนการต่อไปว่าจะจัดการกับทิพย์ธิดาอย่างไรเพื่อให้งานของเทวีสำเร็จตามเป้าหมาย

 

อมรนั่งสมาธิอีกครั้งเพื่อหาวิธีการกำจัดอสูรร้าย ในใจของเขาไม่ต้องการกักขังอสูรร้ายอีกต่อไปแล้ว แต่ต้องการปลดปล่อยดวงวิญญาณของเธอให้เป็นอิสระ เมื่อหลับตาเขานิมิตเห็นปราสาทหินโบราณและได้ยินเสียงสวดมนต์ดังออกมาจากด้านในราวกับมีการทำพิธีกรรมบางอย่าง ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปในปราสาท

เมื่อเดินเข้าไป เขาพบกับเทวรูปหินโบราณมากมายที่ถูกตั้งบูชาอยู่ โดยมีชายหนุ่มวัยกลางคนแต่งตัวเหมือนฤๅษีนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่หน้าเทวรูป อมรเดินเข้าไปใกล้ ฤๅษีท่านนั้นก็ได้พูดขึ้น

“วันนี้ก็มาถึงนะ อกาสูร”

อมรมองฤๅษีด้วยความสงสัย “ท่านพูดกับผมหรือ และอกาสูรคือใคร”

ฤๅษีค่อยๆ ลืมตาขึ้นและมองมาที่เขา “ในอดีตชาติท่านคืออกาสูร หรือถ้าย้อนกลับไปมากกว่านั้น ท่านก็คือพินทุ แต่ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ ท่านก็เป็นผู้ผนึกอสูรร้ายตนนี้ไว้”

ทันใดนั้นก็เกิดภาพในห้วงแห่งความทรงจำในอดีตชาติของอมรขึ้น เขาเห็นตัวเองในชุดของนักบวชโบราณ กำลังรับมอบกล่องไม้อาคมจากฤๅษีอนันตเทพผู้เป็นอาจารย์ของเขา ภาพนั้นชัดเจนและเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นมงคล

“พินทุ หากเจ้าทำการนี้ไม่สำเร็จ จะต้องเกิดการวิบัติและจะมีผู้คนล้มตายอีกมากมาย” ฤๅษีอนันตเทพกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเต็มไปด้วยความห่วงใย “เจ้าจงใช้สิ่งนี้ผนึกอสูรร้ายเถิด”

พินทุน้อมรับกล่องไม้เล็กๆ นั้นจากอาจารย์ของเขา “หากครั้งนี้จะเป็นการปกป้องบ้านเมืองให้พ้นภัยจากอสูรร้าย ข้าก็ยินดี ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของข้าก็ตาม”

อมรในอดีตชาติมองกล่องไม้อาคมในมือด้วยความรู้สึกหนักใจและความรับผิดชอบ เขารู้ว่าภารกิจนี้มีความสำคัญเพียงใด ภาพในความทรงจำแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ดุเดือดกับอสูรร้าย พินทุต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อผนึกอสูรไว้ในกล่องไม้อาคมนั้น และนั้นคือจุดเริ่มต้นของทั้งหมด

อมรมองฤๅษีอนันตเทพด้วยความเข้าใจและความหวัง “อาจารย์ครับ ผมจำทั้งหมดได้แล้ว ผมรู้ว่าการผนึกอสูรร้ายครั้งก่อนเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อหยุดยั้งความชั่วร้าย แต่ตอนนี้ถ้าผมทำอีกครั้ง มันอาจจะไม่จบสิ้นอย่างแท้จริง ถ้าผู้ใดคิดกระทำการชั่วช้าและปลดปล่อยเธออีกครั้ง ความวิบัติจะกลับมา และจะไม่มีทางจบสิ้น”

ฤๅษีอนันตเทพพยักหน้าและยิ้มอย่างอบอุ่น “ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้ว พินทุ ในอดีตเจ้าทำการกักขังอสูรร้ายเพื่อหยุดยั้งความชั่วร้าย แต่เวลานี้การกักขังอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดไว้อีกแล้ว เจ้ากลับมาในชาตินี้เพื่อที่จะปลดปล่อยวิญญาณของนาง เจ้าจะต้องทำให้เธอได้รับการปลดปล่อยและพบความสงบสุขอย่างแท้จริง”

“แล้วผมจะทำอย่างไรให้เธอได้รับการปลดปล่อยครับ”

ฤๅษีอนันตเทพตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าจะต้องใช้พลังจิตและความบริสุทธิ์ใจในการทำพิธีปลดปล่อย เจ้าจะต้องทำให้วิญญาณของเธอได้รับการอภัยและหลุดพ้นจากความมืดมิด เพื่อให้เธอสามารถก้าวเข้าสู่การเกิดใหม่หรือไปสู่สถานที่ที่สงบสุข”

อมรรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่และความมุ่งมั่นในการทำภารกิจนี้ “ผมจะทำให้ดีที่สุดครับอาจารย์ ผมจะไม่หยุดจนกว่าอสูรร้ายจะได้รับการปลดปล่อยและทุกคนจะได้รับความสงบสุขอย่างแท้จริง”

ฤๅษีอนันตเทพยิ้มและพยักหน้า “เจ้าทำได้พินทุ ความรักและความเมตตาของเจ้าจะเป็นสิ่งที่ช่วยนำพาดวงวิญญาณของเธอไปสู่ความสุขสงบ และในที่สุดทุกสิ่งก็จะจบสิ้นลงอย่างแท้จริง”

อมรพยักหน้าและตั้งใจทำภารกิจนี้อย่างเต็มที่ เขารู้ว่าการปลดปล่อยอสูรร้ายจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันสำเร็จเพื่อความสงบสุขของทุกคน เมื่ออมรลืมตาขึ้นกลับมาสู้ห้วงเวลาปัจจุบัน เขาก็พูดกับตัวเองว่า “ครั้งนี้ทุกอย่างจะต้องจบลง”

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภายในคฤหาสน์วารีมรกต บัวเด็กรับใช้รีบรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว “สวัสดีค่ะ คฤหาสน์วารีมรกตค่ะ”

เสียงของคุณหญิงช่อผกาดังขึ้นจากปลายสาย “สวัสดีค่ะ ดิฉันคุณหญิงช่อผกานะ ขอสายคุณโฉมสุรางค์หน่อย” บัวได้ยินดังนั้นจึงเดินไปที่ห้องของโฉมสุรางค์ซึ่งกำลังนั่งทาเล็บอยู่ภายในห้องนอน “คุณโฉมคะ คุณหญิงช่อผกาโทรมาค่ะ”

โฉมสุรางค์วางขวดน้ำยาทาเล็บลงและเดินมารับโทรศัพท์ “สวัสดีค่ะ โฉมค่ะ”

คุณหญิงช่อผกาพูดอย่างกระตือรือร้น “น้องโฉมคะ สนใจมาร่วมงานประมูลเครื่องเพชรไหมคะ ครั้งนี้พี่กับคุณอัคคีรัตน์ตั้งใจจัดค่ะ มีการแสดงสวยๆ ให้ชมด้วยนะคะ”

โฉมสุรางค์เมื่อได้ยินชื่ออัคคีรัตน์ก็ตอบกลับทันทีด้วยความสนใจ “ได้สิคะคุณพี่”

คุณหญิงช่อผกาพูดเสริมว่า “ครั้งนี้จะอลังการกว่าครั้งไหนๆ นะคะ เพราะเครื่องเพชรที่เอามาโชว์ส่วนหนึ่งก็เป็นของคุณอัคคีรัตน์ค่ะ ต้องมาให้ได้นะคะ”

โฉมสุรางค์ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นและอยากที่จะไปร่วมงานมากขึ้น “ได้เลยค่ะคุณพี่ ยังไงไม่พลาดแน่นอนค่ะ”

มีเสียงรถยนต์ที่มาจอดบริเวณหน้าบ้าน อมรได้ลงมาจากรถและเดินเข้าไปภายในคฤหาสน์ จอม เด็กรับใช้รีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ “สวัสดีครับดอกเตอร์อมร คุณมาหาคุณรวีใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ” อมรตอบ จอมนำทางอมรไปพบกับรวีที่ห้องนั่งเล่น โดยทิพย์ธิดาก็อยู่ด้วย

“สวัสดีครับ” อมรกล่าวทักทายทั้งสอง

“สวัสดีค่ะ ดอกเตอร์อมร” ทิพย์ธิดาตอบ รวีพูดเสริม “ลมอะไรหอบมาถึงนี่เลยครับดอกเตอร์”

อมรนั่งลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “รวี คุณทิพย์ธิดา ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องมาบอกกับพวกคุณ วันก่อนผมฝันเห็นจอมปีศาจ เธอพยายามบีบคอผม และไม่ต้องการให้ผมเข้ามายุ่งเรื่องของเธอ”

ทิพย์ธิดาอุทานด้วยความเป็นห่วง “แล้วดอกเตอร์ทำยังไงคะ”

“แต่โชคดีที่ผมพอจะมีสติอยู่บ้างเลยพยายามสวดบทพระเวท มันเลยทำให้ผมกระเด็นหลุดออกจากความฝันนั้น”

รวีมองอมรด้วยความเป็นห่วง “ถ้างั้นแปลว่าตอนนี้เจ้าอสูรร้ายตัวนั้นรู้ตัวแล้วหรือครับ”

อมรกล่าวด้วยเสียงจริงจัง “ใช่ เธอรู้ตัวแล้วครับ และเธอกำลังพยายามหาทางกำจัดเสี้ยนหนามของเธอ”

ไม่นาน โฉมสุรางค์ก็เดินเข้ามาภายในห้องระหว่างที่สนทนากัน “สวัสดีค่ะ ท่านนี้ใครหรือคะรวี” ชายหนุ่มรีบแนะนำอมร “คุณโฉมครับ ท่านนี้คือดอกเตอร์อมร ท่านเป็นนักพลังจิตครับ”

“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณอมร”

โฉมสุรางค์พูดเสริม “รวีคะ คุณหญิงช่อผกาติดต่อมาเชิญให้เราไปร่วมงานการกุศลที่เธอเป็นคนจัดร่วมกับคุณอัคคีรัตน์นะคะ เป็นงานโชว์เครื่องเพชรโบราณ และก็ยังมีประมูลเพื่อการกุศลด้วยนะคะ ไปกันนะคะ แค่นี้เอง” โฉมสุรางค์ทำเสียงออดอ้อน

ชายหนุ่มมีท่าทีรู้สึกเกรงใจทิพย์ธิดาและอมร “เอายังงี้ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นเพื่อเป็นเกียรติ ผมขอเชิญดอกเตอร์อมรและคุณทิพย์ธิดาไปด้วยกันนะครับ ไปกันหลายๆ คนสนุกดี”

โฉมสุรางค์มองหน้ารวีด้วยความไม่พอใจ อมรพูดต่อ “ยินดีครับ ผมมีลางสังหรณ์ว่าจะต้องได้เจอคนรู้จักในงานที่นั่นแน่ๆ เลย”

ทิพย์ธิดาและรวีมองหน้ากันด้วยความสงสัย “ใครหรือคะอาจารย์”

“ตอนนี้ผมยังตอบไม่ได้ครับ เพียงแต่ผมแค่รู้สึกสังหรณ์ใจเฉยๆ”

โฉมสุรางค์มองและยิ้ม “แหม คุณอมรนี้ก็ขี้เล่นไม่เบานะคะ ถ้าเจอก็คงมีเพียงคุณอัคคีรัตน์อะไรนั้นละค่ะ ครั้งที่แล้วนะคะมีแต่หนุ่มๆ ไปห้อมล้อมเธอ”

อมรมองโฉมสุรางค์ด้วยความสนใจ “ใครหรือครับคุณอัคคีรัตน์”

โฉมสุรางค์รีบตอบ “ก็พวกผู้ดีเก่าน่ะค่ะ ได้ข่าวว่าเธอร่ำรวยมากนะคะ และครั้งนี้เธอก็ยังเป็นแม่งานอีกด้วย”

อมรรู้สึกสงสัยและอยากรู้จักอัคคีรัตน์ “ถ้าอย่างงั้นผมก็ยิ่งต้องไปให้ได้เลยครับ”

 



Don`t copy text!