มรดกมนตรา บทที่ 4 : วิญญาณบาปผู้คร่ำครวญ

มรดกมนตรา บทที่ 4 : วิญญาณบาปผู้คร่ำครวญ

โดย : วัชรนริศ

Loading

มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน

วันรุ่งขึ้น ทิพย์ธิดาและรวีนั่งอยู่ในห้องรับแขก ขณะที่บุษบาเสิร์ฟน้ำชาให้ทั้งสอง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยและกังวลอย่างบอกไม่ถูกj

“เมื่อคืนนี้ดิฉันเห็นคุณโฉมท่าทีแปลกๆ เดินออกไปนอกคฤหาสน์ ดิฉันถามอะไรเธอก็ไม่ตอบ ช่วงสายที่ผ่านมาดิฉันก็ไม่เห็นเธอออกมาจากห้องนอน เธออาจจะไม่สบายหรือเปล่า” บุษบาพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย

ทิพย์ธิดาและรวีมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นไปยังห้องนอนของโฉมสุรางค์ เมื่อเปิดประตูเข้าไป พวกเขาเห็นหญิงสาวที่ยังอยู่ในชุดนอนกำลังหลับอยู่ สภาพของเธอดูเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด

โฉมสุรางค์ลืมตาขึ้นมาเห็นทิพย์ธิดาและรวี เธอพูดด้วยเสียงแหบพร่า “ทำไมฉันรู้สึกปวดหัวแบบนี้”

ทิพย์ธิดาเอามือแตะที่หน้าผากของหญิงสาวเบาๆ “ตายจริง ทำไมตัวร้อนแบบนี้ล่ะ”

เธอหันไปบอกกับบุษบาเพิ่มว่า “คุณบุษบาคะ ฉันฝากให้คุณช่วยเตรียมน้ำอุ่นและผ้าขึ้นมาให้ทีนะคะ ฉันจะช่วยเช็ดตัวให้คุณโฉมเธอสักนิด ไข้จะได้ลด”

รวีหันไปพูดเสริม “คุณบุษบา ไม่เป็นไรครับ ผมลงไปเตรียมขึ้นมาให้เอง” ชายหนุ่มพูดแล้วก็รีบเดินลงไปพร้อมกับแม่บ้าน โดยที่ทิพย์ธิดานั่งเฝ้าอาการของหญิงสาวอยู่ข้างๆ เตียง

“นี่ครับคุณทิพย์” ชายหนุ่มเดินกลับขึ้นมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำอุ่นผืนเล็ก ทิพย์ธิดารีบรับผ้าและนำไปซับหน้าซับตัวของหญิงสาว

ตลอดวัน โฉมสุรางค์ได้รับการดูแลจากทิพย์ธิดาอย่างไม่ห่างจนอาการของเธอเริ่มดีขึ้น เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนถึงเย็น โฉมสุรางค์รู้สึกเป็นปกติมากขึ้น เธอจึงลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเก็บกระเป๋าและ ลงมาพบกับทิพย์ธิดาและรวีในห้องรับแขก

“คุณโฉม! ดีขึ้นแล้วหรือคะ” หญิงสาวกล่าวทักเธอเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินเข้ามา

“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ แต่ดิฉันไม่รู้จริงๆ ว่าอยู่ๆ ป่วยได้ยังไง แต่ก็ต้องขอบคุณพวกคุณนะคะที่ช่วยดูแลฉัน โดยเฉพาะรวี” หญิงสาวพูดและลงมานั่งที่โซฟาข้างๆ ชายหนุ่ม “นี่ถ้าไม่ได้รวี โฉมคงน่าจะยังไม่หายแน่ๆ เลย”

ชายหนุ่มหันมายิ้มเล็กน้อย “อือ…ไม่ใช่ผมหรอกครับที่คุณต้องขอบคุณ ต้องเป็นคุณทิพย์มากกว่าที่คุณต้องขอบคุณเธอนะครับ ตั้งแต่เช้าคุณมีไข้ขึ้น คุณทิพย์ก็คอยเช็ดตัวอยู่ไม่ห่าง”

“ถ้าอย่างงั้น ดิฉันก็ต้องขอบคุณด้วยนะคะ” โฉมสุรางค์กล่าวและฝืนยิ้มเล็กน้อย

“รวีคะ ตกลงคุณจะยังไม่กลับพระนครใช่ไหมคะ เพราะถ้าคุณจะอยู่ที่นี้ต่อ โฉมคงไม่ไหวนะคะ ถ้าไม่ติดว่าไม่สบาย ก็คิดว่าจะอยู่ต่ออีกสองสามวันหรอก ตอนนี้เลยคิดว่าเดี๋ยวจะกลับพระนครไปหาหมอเสียหน่อย”

ชายหนุ่มกล่าวเสริม “ผมคงจะอยู่ที่นี่ก่อนสักพักครับ คงจะยังไม่กลับพระนครในเร็วนี้”

“ถ้าอย่างนั้น ไว้โฉมจะกลับมาที่นี่ใหม่นะคะ หวังว่าคุณทิพย์คงจะไม่ว่าอะไร” เจ้าหล่อนพูดปนน้ำเสียงกระแซะหญิงสาวเล็กน้อย

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ คุณโฉมแวะมาที่นี่ได้เสมอเลยนะคะ” หญิงสาวตอบอย่างสุภาพ

“รถพร้อมแล้วครับ” ลุงวินัยคนขับรถเดินเข้ามา รวีและทิพย์ธิดาเดินตามหลังไปส่งเธอขึ้นรถที่หน้าตึก

“ขอบคุณมากนะคะคุณทิพย์ กลับก่อนนะคะรวี ไว้โฉมจะกลับมาใหม่” เธอกล่าวและพนมมือไหว้ทั้งสองก่อนที่จะเดินขึ้นรถกลับออกไป

ในคืนนั้นเอง หลังจากที่โฉมสุรางค์ได้เดินทางกลับพระนคร ทิพย์ธิดาอยู่ในห้องนอนของเธอ ยังคงนอนครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่งดึกทิพย์ธิดาก็เผลอหลับลงด้วยความเหนื่อยล้า แต่ในห้วงนิทรานั้น กลับเกิดความฝันที่ไม่คาดคิด

ในฝัน ทิพย์ธิดาพบว่าตนเองยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่มีแสงจันทร์ส่องสว่างรอบด้าน ในบรรยากาศที่เย็นเงียบ เธอเห็นเงาของชายผู้หนึ่งปรากฏขึ้นอย่างค่อยๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ชายคนนั้นคือหม่อมเจ้าอดิศร ผู้มีสีหน้าเคร่งขรึมและดวงตาที่แฝงไปด้วยความห่วงใย

“ทิพย์ธิดา เจ้าจงระวังตัวให้ดี สิ่งชั่วร้ายได้ถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว” หม่อมเจ้าอดิศรกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จงระวังให้ดี”

ทิพย์ธิดารู้สึกถึงความหวาดกลัวและกังวลในใจ “หมายความว่าอย่างไรคะท่าน ท่านหมายถึงอะไร”

แต่ก่อนที่เธอจะได้รับคำตอบ ร่างของหม่อมเจ้าอดิศรก็เริ่มเลือนหายไป ทิพย์ธิดาตื่นขึ้นมาจากฝันด้วยความหวาดกลัวและหัวใจที่เต้นระรัว และทันใดนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาวที่หัวเราะโหยหวนด้วยความสนุกใจ

เสียงหัวเราะยังคงก้องกังวานในห้องนอนของเธอ ราวกับเป็นเสียงจริงที่ดังมาจากที่ไกลๆ ที่ไหนสักแห่ง ทิพย์ธิดารู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกเข้ามาในหัวใจ เธอรีบลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่หน้าต่างมองออกไปยังสวนด้านนอกที่มืดมิด เธอเห็นร่างของหญิงสาวในชุดโบราณปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงัน หญิงสาวคนนั้นมีใบหน้างดงามและเรือนร่างสง่างาม เธอกำลังเดินไปทางเรือนหลังเล็กที่อยู่ด้านหลังคฤหาสน์

ความสงสัยพลุ่งพล่านในใจของทิพย์ธิดา เธอจึงตัดสินใจเดินตามลงไป เมื่อเธอออกจากคฤหาสน์ไปยังด้านนอก หมอกขาวหนาทึบกลับปกคลุมไปทั่วรอบคฤหาสน์อย่างลึกลับ กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ไม่คุ้นเคยลอยมาในอากาศ กลิ่นหอมนั้นหวานละมุน ทิพย์ธิดาพูดกับตัวเองว่า “นี่มันกลิ่นหอมอะไร หอมเหมือนดอกไม้”

ทันใดนั้น หญิงสาวสวยในชุดโบราณก็ปรากฏตัวให้เธอเห็นอีกครั้ง หญิงสาวคนนั้นเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมามอง ทิพย์ธิดารีบเดินตามไปท่ามกลางหมอกและความเงียบงัน แต่เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็ได้ยินเสียงเรียกของคุณรวีดังขึ้น

“คุณทิพย์ คุณจะไปไหน” เสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

ทิพย์ธิดาหยุดเดิน เธอหันกลับมามองรวีที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเขามีความสงสัยและความห่วงใยผสมปนเปอยู่ เธอรู้สึกตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอธิบายสิ่งที่เห็นอย่างไรดี

“เอ่อ…ฉัน…ฉันเห็นอะไรบางอย่างค่ะ” ทิพย์ธิดาตอบเบาๆ “มีผู้หญิงในชุดโบราณเดินไปทางเรือนหลังเล็ก ฉันแค่สงสัยว่าเธอเป็นใคร”

รวีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ “คุณอาจจะเห็นอะไรผิดไปก็ได้ ในหมอกหนาๆ แบบนี้ บางครั้งก็ทำให้เรามองเห็นอะไรที่ไม่ใช่ความจริง”

ทิพย์ธิดายิ้มเล็กน้อย แม้จะยังคงสงสัย แต่คำพูดของรวีก็ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

“คุณอาจจะพูดถูกก็ได้นะคะ แต่ฉันยังคงรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่นี่”

รวีมองเธออย่างเข้าใจ “ถ้างั้นเรากลับเข้าไปข้างในกันก่อนดีกว่า อากาศข้างนอกหนาวมาก อย่าให้ตัวเองป่วยเพราะความสงสัยเลยนะครับ”

ทิพย์ธิดาพยักหน้า ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์พร้อมกับรวี แม้ว่าเธอจะยังคงสงสัยและกังวล แต่ความอบอุ่นและความเป็นห่วงของชายหนุ่มก็ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

ในความเงียบสงัดของคืนที่ไร้แสงดาว ทิพย์ธิดารู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคฤหาสน์หลังนี้และจะทำอย่างไรเพื่อปกป้องตนเองและคนรอบข้างจากอันตรายที่กำลังมาถึง

 

ในเรือนหลังเล็กที่มืดสลัว วิญญาณลึกลับของหญิงสาวยังคงร้องไห้โหยหวนด้วยความคิดถึงหม่อมเจ้าอดิศร เสียงสะอื้นของเธอดังก้องไปทั่วห้อง เธอยืนอยู่หน้ากระจกเก่าๆ ที่มีรอยแตกเล็กน้อย ภาพสะท้อนของเธอในกระจกคือภาพหญิงสาวที่ดูเศร้าโศกและสิ้นหวัง

ทันใดนั้นเอง อัคนีนาฏเทวีก็ปรากฏร่างขึ้นต่อหน้าวิญญาณหญิงสาว รัศมีของความมืดและพลังอันชั่วร้ายแผ่กระจายออกมาจากร่างของเธอ วิญญาณหญิงสาวเห็นเทวีถึงกับเกิดอาการผงะด้วยความตกใจ

“ท่าน…ท่านกลับมาแล้ว?” เธอเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา “ช่วยข้าด้วย ข้าต้องการออกไปจากที่นี่”

เทวียิ้มแสยะ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความเย็นชา “เจ้าต้องการอิสระสินะ น่าสงสาร” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “แต่การออกไปจากที่นี่ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เจ้าจะต้องทำตามที่ข้าสั่ง”

วิญญาณหญิงสาวตัวสั่นเล็กน้อย “ข้าจะทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ ขอเพียงแค่ท่านช่วยข้าออกไปจากที่นี่”

เทวีหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นแฝงด้วยความชั่วร้าย “ดีมาก เจ้าจงฟังคำสั่งของข้า” เธอกล่าวพร้อมกับยื่นมือออกไป “เจ้าจงทำตามข้าทุกอย่าง หากเจ้าต้องการอิสรภาพที่แท้จริง”

วิญญาณหญิงสาวพยักหน้าเบาๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “ข้าจะทำตามท่านทุกอย่าง เพียงแค่ข้าได้ออกไปจากที่นี่” เทวีลูบไล้แก้มของวิญญาณหญิงสาวด้วยความเอ็นดูที่แฝงความเหี้ยมเกรียม

“เจ้าจะต้องช่วยข้าในการทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางทางข้า หม่อมเจ้าอดิศร ผู้ที่เจ้าเคยรัก จะต้องชดใช้ในสิ่งที่เขาได้ทำ”

วิญญาณหญิงสาวตกใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่ต้องการทำร้ายหม่อมเจ้าอดิศร”

เทวีหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าไม่มีทางเลือก หากเจ้าไม่ทำตามข้า เจ้าก็จะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ต่อไป”

วิญญาณหญิงสาวร้องไห้อีกครั้ง แต่เธอก็รู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น “ข้าจะทำตามคำสั่งท่าน เพียงแต่ข้าไม่อยากทำร้ายหม่อมเจ้าอดิศร”

เทวีพยักหน้า “ดี เจ้าจงทำตามข้า และเจ้าจะได้อิสระที่เจ้าต้องการ”

วิญญาณหญิงสาวพยักหน้าอย่างหมดหวัง และเทวีก็ยิ้มอย่างพอใจ ทั้งสองจ้องมองกันในความมืดมิดของเรือนหลังเล็ก ท่ามกลางเสียงสะอื้นและความโหยหวนของวิญญาณที่ยังคงก้องอยู่ในอากาศ

 

สาวใช้กำลังเช็ดถูทำความสะอาดห้องพระของคฤหาสน์ โดยขณะที่เธอกำลังเช็ดฝุ่นออกจากหิ้งพระนั้น เธอก็สังเกตเห็นว่ากล่องไม้โบราณขนาดเล็กที่มีอักขระโบราณสลักอยู่บนกล่องไม้ ซึ่งเคยวางอยู่ตรงหน้าหิ้งพระได้หายไปเสียแล้ว

“ตายแล้ว! กล่องไม้หายไป!” บัวร้องอุทานด้วยความตกใจ รีบวางผ้าที่เช็ดถูแล้วออกจากห้องพระอย่างรวดเร็ว เธอตรงไปที่ห้องของบุษบา หญิงสาวผู้ดูแลความเรียบร้อยของคฤหาสน์

“คุณบุษบาคะ! เช้านี้ดิฉันเข้าไปเปลี่ยนดอกไม้ในห้องพระ แต่กล่องไม้เล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าหิ้งพระไม่อยู่แล้วค่ะ” บัวกล่าวด้วยเสียงตื่นตระหนก

บุษบาอุทานด้วยความตกใจ “อะไรนะ กล่องไม้นั่นหายไปเหรอ” เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล

“ใช่ค่ะ ดิฉันตรวจดูทั่วห้องแล้วก็ไม่พบกล่องไม้เล็กนั้นเลย ไม่ทราบว่ามีใครเอาไปหรือเปล่า” บัวกล่าว

บุษบาพยักหน้า “เราต้องหามันให้เจอ กล่องไม้นั่นสำคัญมาก ไปแจ้งให้คุณทิพย์ธิดาและคุณรวีให้ทราบด้วย เดี๋ยวฉันจะไปที่ห้องพระอีกครั้งเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติอีกหรือไม่”

บัวรับคำแล้วรีบไปตามนายหญิงและรวี ส่วนบุษบาก็รีบเดินไปที่ห้องพระทันที ใจเธอเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับการหายไปของกล่องไม้โบราณนี้ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์

 



Don`t copy text!