
ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 8 : ต้นไม้ใหญ่มีอารักษ์
โดย :
“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา
บัดนี้ ชานหน้ากระท่อมมีเสื่อปูลาดเต็มชาน เนื่องด้วยนายนวมมาตอนเย็นพร้อมเสื่อผืนใหญ่
“ทีนี้ จะนั่งจะนอนจะคุยจะหลับไม่หลับก็ไม่เป็นไรแล้วละ” เขาว่า
นับเป็นเจ้าของท้องถิ่นผู้ใจดีหนึ่งไม่มีสอง เพราะเสื่อผืนนี้เป็นเสื่อจันทบูรของเขาเอง
เดินดงก็เลยยกมือไหว้ขอบคุณน้ำใจไมตรีของอีกฝ่ายที่มีให้ นับแต่นาทีแรกเลยทีเดียว พร้อมกับถามว่า
“ตกลงผมจะปลูกไม้ต้นแรกคือต้นไผ่ ต้นมะพร้าว กับต้นกุ่มทางทิศบูรพาคือตะวันออกก่อน ดีไหมฮะ…ตะวันออกอยู่หน้ากระท่อมเรานี่เอง” ชายหนุ่มเริ่มพาทีอย่างเอางานเอาการจนเก่งผู้เพิ่งงัวเงียตื่นออกจะแปลกใจ
นายหนุ่มของเขาดูผิดไปเป็นคนละคนแค่ข้ามคืน
ครั้นนึกถึงอาหารเย็นขึ้นมาได้ จึงรีบขมีขมันลงบันไดหลังไปติดเตาตั้งหม้อข้าว โดยนายนวมไม่เชิญชวนให้ออกไปกินที่ใด จะได้ทำตัวให้เคยชินกับชนบท
นั่นก็คือ หุงข้าวทำกับข้าวง่ายๆ กินเอง
เพียงครู่เดียวก็ได้กลิ่นหอมจากข้าวสุกใหม่ เสียงผัดดังฉ่าฉ่าแว่วมาจากหลังเรือน
“เก่งนี่เก่งสารพัดสมชื่อเลยนะคุณ” นายนวมเอ่ยชม
เอี้ยงกับไวนั่งรถวิ่งกลับไปกินข้าวบ้านเมื่อสักครู่ โดยตกลงกันว่า ต่อจากวันนี้ คนทั้งคู่จะมาตั้งแต่หัวค่ำ แล้วกลับเช้ามืด เนื่องด้วยตนเองก็มีงานทำ นายเอี้ยงช่วยเมียขายของริมทาง พวกเครื่องดื่มสองสามชนิด เช่น น้ำแข็งใส่น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำอัดลม นายไวช่วยพี่ชายทำอาชีพรถสองแถวรับจ้าง แต่ทั้งคู่ต่างก็ปลีกตัวไปช่วยท่านเจ้าคณะทำงานที่วัดด้วยลักษณะของคนชอบการกุศล
“เก่งฮะ…มันอยู่กับพ่อแม่ผมมาตลอด” ชายหนุ่มชมเชยด้วยจริงใจ “แม่ฝึกผมไม่ได้ แต่ฝึกมันได้…มันก็เลยเหมือนแม่คนที่สองของผม เพียงแต่ผมออกคำสั่ง มันแค่รับคำสั่ง”
นายนวมฟังพลางยิ้มๆ
เพียงหนึ่งคืนกับสองวัน เขาก็แทบจะเข้าใจชายวัยใกล้สามสิบผู้เสมือนพเนจรมา แต่ก็หาใช่ไม่ เนื่องด้วยเขามาที่นี่ มาอย่างเจ้าใหญ่นายโตของนายเก่ง แต่หาได้มาวางมาดใส่ใครต่อใครเสมือนเป็นนายจ้างของเจ้าถิ่นไม่
ตรงกันข้าม กลับอ่อนน้อมถ่อมตนลงมาจนสมฐานะของชายตัวคนเดียวผู้มุ่งหวังมาเก็บเกี่ยวเอาความรู้เรื่องการปลูกพืชหลายหลายชนิดที่ทั้งขวดกล่องและถุงยังคงวางเรียงรายกันอยู่
นายนวมนึกแล้วก็ยังอดเอ็นดูมิได้
นั่นก็เนื่องด้วยไม่เคยคิดว่า จะมีจะมีใครสักคนที่เป็นหนุ่มสมัยใหม่ มิหนำซ้ำฟังดูก็เสมือนไม่เอาถ่านจนแม่ต้องจัดการให้ทั้งหมด…จะเกิดอาการเอาจริงถึงเช่นนี้
ก็ยังดี…ที่ทั้งพ่อแม่พี่น้องไม่ยกโขยงตามมา ไม่เช่นนั้นคนที่นี่ก็คงแอบขบขันหรรษามิรู้แล้ว
เจ้าของถิ่นก็เลยบอกง่ายๆ
“ไผ่…มะพร้าว…กุ่มนี่ปลูกได้ทันทีอยู่แล้วนี่ฮะ ไม่ยากอะไรเลย…ทางที่ดีควรเพาะชำมันก่อน…แต่ก่อนเพาะชำ น่าจะบอกกล่าวเจ้าที่ซะหน่อยดีไหม”
“เจ้าที่” เดินดงพึมพำเพราะลืมคำคำนี้ไปนานมาก แต่ครั้นได้ยินจากปากนายนวม จึงนึกขึ้นมาได้ “เออ…จริงด้วย…ผมยังไม่ได้ไหว้เจ้าที่”
“พรุ่งนี้เช้าไหว้ก็ได้ เมื่อวานผมลืมบอกไปว่า คุณกะเก่งต้องไหว้เจ้าที่ก่อนจะมาทำเกษตรตรงนี้…ไม่งั้น…อาจจะทำแล้วไม่เจริญก็ได้ เพราะไม่รู้จักเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
คราวนี้ เดินดงนิ่งฟังเพราะเขาเองก็เพิ่งอ่านบทความในหนังสือของอาจารย์สมบัติเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เกี่ยวกับ ‘ต้นไม้ใหญ่มีอารักษ์’ อันคนไทยสมัยโบราณจะนับถือต้นไม้ใหญ่ตลอดมา ที่พิเศษยิ่งก็คือต้นโพธิ์ ซึ่งเป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า นอกจากต้นโพธิ์แล้วก็ยังมีต้นอื่นอีกมากที่เชื่อกันว่าเป็นที่สิงสถิตของรุกขเทวดาและผีสางนางไม้ โดยผู้เขียนบรรยายไว้บรรทัดหนึ่งว่า
ครั้งนั้น ภิกษุชาวเมืองอาฬวีจะสร้างที่อยู่อาศัย จึงพากันไปตัดต้นไม้ในป่า เมื่อรุกขเทวดาเห็นพระบุกรุกเข้ามาตัดต้นไม้ที่ตนอยู่ ก็ร้องห้ามว่า ‘ท่านจะทำที่อยู่ของท่าน ก็อย่ามาตัดที่อยู่ของข้าพเจ้าอย่างนี้สิ’
แต่พระรูปนั้นไม่ยอมฟังเสียง คงฟันต้นไม้ต่อไป เผอิญมีดไปกระทบแขนรุกขเทวดาขาด รุกขเทวดาโกรธ จะฆ่าพระ แต่กลับยั้งคิดได้ว่า ขณะนั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคะฬะวะเจดีย์ใกล้ๆ เมืองอาฬวีนั่นเอง รุกขเทวดาจึงได้ไปเข้าเฝ้ากราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
‘ที่ท่านไม่ปลงชีวิตภิกษุน่ะดีแล้ว เพราะถ้าทำเช่นนั้นจะต้องรับบาปเป็นอันมาก ยังมีต้นไม้อีกมากนักที่ไม่มีใครอยู่อาศัย ขอให้ท่านไปเลือกที่อยู่อาศัยเอาใหม่เถิด’
นอกจากนี้ ผู้เขียนก็ยังเล่าเรื่องการนับถือต้นไม้อีกสองเรื่อง นับเป็นเรื่องที่ดีมีประโยชน์แก่ผู้ที่คิดจะตัดฟันหั่นต้นไม้อย่างยิ่ง เชิงเตือนให้สำนึกถึงสิ่งที่ทุกคนมองข้ามไป หากแต่มักจะเกิดผลร้ายที่คาดไม่ถึง
อ่านหนังสือแค่เล่มเดียว เดินดงได้แต่รู้สึกว่าดวงวิญญาณของเขาค่อยๆ ขยายใหญ่กว้างเติบโตออกไปเพียงแค่ข้ามคืน
คืนนี้ เขาก็เลยเพิ่งจุดเทียนหนึ่งเล่ม ธูป 16 ดอกขอขมาและบูชาเทวดาอารักษ์รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งจักรวาล ตามที่นายนวมแนะนำ แล้วจึงปักไว้กลางลานดินหน้ากระท่อมดังที่ชายกลางคนบอกกล่าวก่อนขอตัวกลับไปกินอาหารเย็นที่บ้าน
“หวังว่าจะไม่มีหัวช้างมาโผล่ที่หน้าต่างอีกนะฮะ” ชายกลางคนสัพยอกก่อนก้าวขึ้นจักรยานยนต์ขับจากไป ขณะที่มีเสียงจากมือถือของเก่ง ผู้รับใช้จึงรายงาน
“เอี้ยงกะไวเขาขอตัวนะคืนนี้ เขาว่า หวังว่าคงอยู่กันได้นะ ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะแถวนี้ คุณจังแกเป็นโต้โผใหญ่” เก่งรู้วิธีพูดให้ย่อมเยาตามเคย
บรรยากาศยามตะวันจะตกดินเย็นนี้ จึงดูคล้ายผิดไปจากเมื่อวาน เนื่องด้วยเหลือกันเพียงสองคนบนลานดินรอบกระท่อม
เดินดงสูดอากาศบริสุทธิ์จากทุ่งโล่งที่พอถึงค่ำก็เริ่มเย็นขึ้นเป็นลำดับ
กินอาหารแล้วคือข้าวไข่เจียวหมูสับกับผักกาดขาวผัดน้ำมัน เก่งใส่กระเทียมมากจนหอม แม่จัดถาดไข่ไก่ดิบมาให้ถึงสามถาด ผักสดในลังน้ำแข็งสองสามชนิดมีคะน้า ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา เพราะที่บ้านเขานิยมกินผักผลไม้ ขนมหวานโดยไม่ขาดชนิดใด
ที่จริง เขาเองนั่นแหละที่น่าจะ ‘ดีกว่านี้’
น่าจะมีหญิงที่รักที่ถูกใจจนถึงแก่ตั้งครอบครัวด้วยกันได้
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปผิดพลาดที่ตรงไหน
จึงกลายเป็นชายไร้อนาคต ต้องระเหเร่ร่อนมาจนถึงเชิงเขาอันมีแค่สุมทุมพุ่มไพร มองออกไปแลเห็นแต่ความวังเวงว้าเหว่ที่ซ่อนตัวอยู่…หากก็เชิงเชิญชวนให้เขามาเรียนรู้ด้วยกัน
“เก่ง” เดินพลาง ชายหนุ่มก็ได้แต่โหวงเหวงขึ้นมาวาบวับ
นี่ถ้าไม่มีเพื่อนคู่ใจ เขาจะเป็นเช่นไรท่ามกลางธรรมชาติเงียบงัน มีเพียงดวงตะวันกลมใหญ่กำลังจะลับขอบภูผา
“ครับ”
“แกเหงาไหมวะ”
“ไม่ฮะ…ถึงไง ก็ยังมีพี่ไง”
“เฮ้อ…แต่เราเหงาจังว่ะ น้ำตาจะไหลแล้วละนะ”
“พี่ฮะ” เก่งก็เลยเดินเข้ามาใกล้ “ถ้าพี่ไม่ลองก็ไม่รู้ไงล่ะ..จะเอายังไงอีก…คุณแม่ก็แสนจะเป็นห่วงพี่ จัดมาให้ทุกอย่างชนิดคนมีเงินก็ยังไม่มีใครจัดให้ขนาดนี้…ก็ไม่รู้ละ…พี่อย่าเหงาอีกเลยนะ ไม่งั้น…เอ้อ พี่ต้องคิดให้ตกด้วย…ผมต่อให้พี่ปีนึง…เอ้า…อยู่นี่ดูสักปี ลงต้นไม้ต้นไร่อะไรอย่างที่คุณแม่อยากให้ลง…พอถึง…เอ้อ…สักหกเดือน…ชวนคุณพ่อคุณแม่พี่น้องมานี่กันพร้อมหน้า ดูซิว่าจะให้คะแนนพี่สักเท่าไหร่”
เดินดงก็เลยหันไปเอ็ดหัวเราะๆ
“มึงพูดยังกะกูเป็นพวกเดนคนงั้นละ”
“ม่าย..ช่าย…น่า…พี่…” เก่งก็เลยตอบปะเหลาะๆ “ผมว่าถ้าพี่อ่านหนังสือเล่มนี้ได้ละก็…ไม่ใช่เดนอะไรแล้วละ”
“แกอ่านแล้วเหรอ”
“อ่านไปนิดหน่อยฮะ…ชอบเลย…”
ยังไม่ทันขาดคำ เสียงเครื่องยนต์ก็ดังจากที่ไกลจนกระทั่งใกล้เข้ามา
นายจัดเป็นคนขี่ พ่อเขาเกาะท้าย ชายสองคนหัวเราะร่า คนเป็นพ่อชูห่อใบตองใหญ่
“ผัดเผ็ดปลากด คงพอกินได้นะคุณ”
“โอ…ขอบคุณมากครับ” เดินดงรับเอาจากนายจัง
“ใครทำรู้ไหม”
เดินดงน่ะหรือจะนึกไม่ออก
หากก็ยิ้มๆ ตอบว่า
“ก็คงมีแค่สองคนละมั้งฮะที่จะมีฝีมือทำของพวกนี้”
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 8 : ต้นไม้ใหญ่มีอารักษ์
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 7 : พืชพรรณไม้มงคล
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 6 : ตำราล้ำค่า
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 5 : ช้างบุก
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 4 : นายจัดลูกนายจัง
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 3 : สองชายฉกรรจ์
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 2 : ผู้พบใหม่
- READ ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 1 : ชีวิตที่เริ่มต้น