
บุปผาตีตรา บทที่ 1 : โนนบุปผาแดง
โดย : สีน้ำฟ้า
บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co
เมื่อลมเย็นยะเยือกของต้นฤดูหนาวซึมซาบเข้าสู่อณูผิว ร่างเล็กของนวลปรางที่นอนขดอยู่นอกผ้าห่มก็สะดุ้งตื่น แต่ด้วยความง่วงงุน เธอไม่ยอมลืมตาแล้วควานมือสะเปะสะปะไปข้างตัวพอเจอผ้าห่มก็รีบลากมาคลุมมิดหัว แล้วนอนนิ่งหายใจสม่ำเสมอ เมื่อความอบอุ่นห่อหุ้มกาย สาวน้อยวัยสิบเจ็ดปีก็ค่อยๆ ดิ่งลึกสู่ห้วงหลับใหลอีกครั้ง
ต้นฤดูหนาวแบบนี้ยามเย็นอากาศกำลังดี เป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่จะเดินไปกลับจากไร่จากนาเข้าบ้าน นวลกับอุรายืนอยู่หน้าบ้าน ยืนรอควายแม่ลูกที่กำลังเดินตามมาเพื่อเข้าคอก มีเพื่อนวัยรุ่นในหมู่บ้านเดินมาคนเดียว นวลหันไปเจอกำลังจะอ้าปากทักทายแต่ใบหน้าที่เลือนรางของเธอคนนั้นแสยะยิ้มแล้วพ่นคำพูดลอดไรฟันออกมา
“อีเมียเช่า อีกะหรี่” สำเนียงภาษาถิ่นอีสานชัดเจน น้ำเสียงเย้ยหยัน
คนฟังขมวดคิ้ว เอียงคอมอง จู่ๆ เพื่อนคนนั้นลอยหน้าลอยตาล้อเลียนอย่างไร้เหตุผล นวลเบิ่งตา ยกมือขึ้นเท้าสะเอว เป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไปหาบ้าง
“อย่าเอาความคิดต่ำๆ ของเจ้ามาเห่าใส่ข้อย” ตอบกลับด้วยเสียงลอดไรฟันเสียงต่ำ เย้ยหยันมามันน่าจะยันกลับนัก
“มึงกับอุรา อยากไปเป็นกะหรี่ในเมือง กูได้ยินพวกเพื่อนเว้ากัน”
คนพูดตอกย้ำ นวลยิ่งฉงนเข้าไปใหญ่
“ปากดีอย่างนี้มันต้องโดนสักที!” นวลสวนกลับทันที
คราวนี้ไม่ปล่อยความสงสัยเข้าครอบงำ เธอไม่ยอมใครอยู่แล้วถ้าไม่ผิด นอกจากปากไว ขาก็ไวด้วย พูดจบก็ยกขาพร้อมจะยันคนที่อยู่ข้างหน้า แต่พอจะถีบกลับรู้สึกว่าขาของเธอหนักมาก ยกยังไงก็ยกไม่ขึ้น จึงเปลี่ยนเป็นยกแขนสูงตั้งใจจะตบสักฉาด คราวนี้รู้สึกแรงโอบรัดจากอุราเพื่อนรักห้ามเอาไว้ สลัดอย่างไรไม่ยอมหลุด เธอดิ้นรนเต็มที่จนในที่สุดก็หลุดยันโครมไปข้างหน้าพร้อมกับโพล่งออกไปสุดเสียง
“ข้อยบ่แม่นผู้หญิงหากิ๋นเด้!”
นวลเอามือเสยผมเปิดหน้าแด่นหรือหน้าผากตัวเองให้อีกฝ่ายเห็นชัดๆ แล้วจิ้มลงไป
“คำว่ากะหรี่มันบ่ได้ติดหน้าแด่น ไสมาเว้าหมาๆ จั่งซี้ฮึ” พูดจบก็พยายามจะเขม้นมองอีกฝ่ายให้รู้ว่าเป็นใคร แต่มองไม่ออกภาพเบลอไปหมด
ความโกรธคงบดบังสายตากระมัง นวลรู้แต่ว่าคนนั้นไม่ทันจะได้อ้าปากตอบ ขาของเธอก็ซัดลงบนที่นอนเสียงดังกึกไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด แค่งง จากนั้นหูก็แว่วดังตึงๆๆ เป็นจังหวะ
นวลนอนลืมตาแบบงงงวย พลิกตัวมองซ้ายมองขวางุนงง สมองบอกให้รับรู้ว่าเธอกำลังนอนอยู่ในมุ้ง ข้างตัวมีแต่ผ้าห่มกับหมอนข้าง เมื่อกี้เพิ่งละเมอเพราะฝันว่ากำลังจะถีบคน ส่วนเสียงดังตึงๆ นั่นเงียบไปแล้ว
“โลกยังปกติสุข ข้อยบ่ได้ทะเลาะกับใครจักหน่อยแน้” เธอพึมพำกับตัวเอง
ลมหนาวลอดซึมเข้ามาในห้อง ทำให้ขนที่แขนลุกขึ้นกรูเกรียว เมื่อความเย็นยะเยือกเกาะกุมผิวกาย เธอมองหาผ้าห่มลากขึ้นมากคลุมทั้งตัว ขดตัวงอเป็นกุ้งนอนนิ่งๆ เพื่อจะได้อุ่นไวขึ้น และทำท่าจะหลับต่อ
‘ตึง ตึงๆๆๆๆ’
เสียงเดิมมาอีกแล้ว เธอเปิดผ้าห่มโผล่หัวออกมา ปรือตาเลิกคิ้วขึ้นสูงเพื่อจะได้เปิดเปลือกตาได้เต็มที่ นอนนิ่งเบิ่งตาอยู่แป๊บหนึ่ง จากนั้นก็กะพริบตาเรียกสติให้ตัวเองอีกครั้ง เสียงนี้น่าจะเป็นเสียงหินกระทบกันดังเป็นจังหวะรัว เร็ว และสม่ำเสมอ นวลนอนปิดตานิ่งฟังให้แน่ใจ
“โอ๊ย เนาะ” นวลตื่นเต็มตาแล้ว เธอหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เมื่อคิดออกว่าต้นเสียงมาจากไหน
“เสียงตำน้ำพริกดังเหมือนเสียงรัวกลองพร้อมจะเปิดศึกอีสานเหนืออีสานใต้!”
อากาศเย็นจนควันออกจากปากเป็นสายเหมือนควันบุหรี่ สามัญสำนึกบอกว่าเมื่อตื่นแล้วก็ควรลุกไปช่วยแม่ เธอจึงผุดนั่งบนที่นอนอุ่นๆ เริ่มบิดตัวโดยการเอียงคอไปมา ยกมือชูขึ้นเหนือหัวเพื่อยืดเส้นยืดสาย บิดตัวไปทางซ้ายที บิดทางขวาอีกทีแล้วรีบเด้งตัวขึ้นกุลีกุจอเก็บเครื่องนอน เสร็จเรียบร้อยดีแล้วจึงรวบผมดำขลับโดยใช้หนังยางรัดผมที่สวมไว้ที่ข้อมือผูกเป็นพวงหางม้า โหย่งเท้าเหยียบพื้นไม้เย็นๆ เดินออกจากห้องนอน
นวลปรางเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อเอิบ คนอีสานดั้งเดิม กับแม่สาคู ผู้ที่มีเชื้อสายมอญครึ่ง ไทยครึ่ง ถือเป็นความโชคดีของเด็กสาวที่ได้แม่มาทั้งผิวพรรณและหน้าตา หน้ารูปกลมเหมือนพระจันทร์ ตาสองชั้น จมูกมีสันนิดๆ คิ้วหนา ตาสีน้ำตาล ผิวขาวเนียนละเอียด แก้มเต่งตึงสมชื่อนวลปราง เธอมีรูปร่างสูงโปร่งแต่ซ่อนรูปไว้ใต้เสื้อยืดสีขาวมีลายการ์ตูนที่หน้าอก ตัวหลวมโคร่งความยาวของเสื้อคลุมกางเกงขาสั้นมิดเหมือนนุ่งเดรส ผมหนาดกดำถูกรวบไว้เป็นพวงไกวไปมาเวลาเธอก้าวเท้าเดินเร็วๆ
เธอออกมาทั้งชุดนอน เอาผ้าขนหนูผืนเล็กพาดบ่ารีบเร่งไปล้างหน้าแปรงฟันแบบลวกๆ ระหว่างขาเดินออกจากห้องน้ำก็เอาผ้าขนหนูผืนเล็กไปผึ่งไว้บนราวไม้ไผ่ตรงชานแดด เพื่อรอแดดส่องลอดสายหมอกหนาลงมา
อากาศเย็นจนต้องกอดอกเอามือลูบแขนไปมา เดินตรงดิ่งไปที่ครัว กลิ่นควันไฟกับกลิ่นแกงลอยมาปะทะจมูก กลิ่นผสมปนเปกันไปหมด เธอโผล่หน้าไปที่ห้องครัวแล้วเอ่ยถามเป็นภาษาอีสาน บ้านนี้ยังคงใช้ภาษาถิ่นทั้งครอบครัว
“แม่ แกงอะไร ให้นวลช่วยอะไรไหม” น้ำเสียงของเธอสดใสร่าเริง
แม่หันมามองแวบหนึ่งก่อนจะเมินกลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ
“ทำไมไม่ใส่ผ้าหนาๆ ไม่หนาวหรือไง” พูดจบก็ง่วนกับงานตรงหน้า
นวลมองแม่ที่นั่งขัดสมาธิบนพื้นบ้านหันหลังให้ประตูครัว กำลังเด็ดผัก เธอยิ้มเอามือลูบแขนตัวเองที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาเพื่อหาไออุ่นจากการถูไถมือกับแขน
“อีกแป๊บเดียวก็ร้อนแล้ว ขี้เกียจใส่ มาค่ะแม่จะให้นวลทำอะไร” นวลเดินเข้าไปทำน่าจะนั่งลงใกล้ๆ แต่ไม่ทันหย่อนก้นลงถึงพื้น แม่เงยหน้าขึ้นมาบอกว่า
“ลงไปเด็ดกระถินข้างรั้วมาให้แม่สักกำ ชะอมอีกสักกำ ดูถ้ามีถั่วฝักยาว แตงกวาก็เด็ดมาด้วย”
คำสั่งมายาวเหยียด นวลจำได้หมดแล้วตามประสาคนจำแม่น
“ได้ค่ะ กระถิน ชะอม ถั่วฝักยาว แตงกวา”
ตอบเสร็จก็หันหลังกลับเดินผ่านชานแดดแล้วไต่ลงบันไดอย่างคล่องแคล่ว พลันสายตามองไปเห็นพ่อที่คอกควายกำลังปลดเชือกเดินจูงควายออกไปไม่พ้นบริเวณบ้าน
“อ้าวพ่อ ไม่กินข้าวก่อนหรือคะ เอาควายออกไปผูกแต่เช้าเลยวันนี้”
ลูกสาวตะโกนเสียงดัง พ่อหันมามองเห็นลูกสาวยืนมองมาด้วยเหมือนกัน จึงโบกมือไล่ให้ขึ้นบ้าน
“นวลจะไปเก็บผักริมรั้วให้แม่”
พ่อพยักหน้า เขาพูดอะไรสักอย่างนวลไม่ได้ยินและไม่ได้สนใจ เมื่อเขาเดินต่อไปจนถึงถนนหน้าบ้านแล้วหยุดหันมามองข้างหลัง จึงเดาว่าเขาคงบอกว่ากำลังรอควายเผือกตัวเล็ก ลูกของอีดำ มันเดินอืดอาดไม่ยอมตามไปจนถึงตัวสักที เมื่อเดาออกก็เร่งฝีเท้าไปเด็ดผักตามที่แม่สั่งความมาเมื่อสักครู่
บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงสร้างมาตั้งแต่ก่อนนวลจะเกิด มันจึงดูเก่าเพราะผ่านมาเกือบยี่สิบปี หลังคามุงสังกะสีปะผุและเปลี่ยนออกไปหลายหน สีของหลังคาจึงมีทั้งสีเงินของสังกะสีใหม่และสีน้ำตาลเพราะสนิมเกาะเป็นคราบ
ใต้ถุนเปิดโล่ง ฟากหนึ่งกั้นทำคอกควาย อีกฟากตั้งตั่งอเนกประสงค์เอาไว้นั่งพักผ่อนหรือรับแขกบันไดพาดขึ้นชานบ้านค่อนข้างชัน ทำจากไม้เนื้อแข็งไม่มีราวจับ ขึ้นไปจะเจอชานแดดโล่งไม่มีหลังคา ส่วนที่มีหลังคาจะเป็นห้องครัว ห้องนอนของพ่อแม่ คั่นด้วยห้องโถงแล้วเป็นห้องนอนของนวล ด้านในสุดเป็นห้องน้ำ
นวลพูดภาษาอีสาน สำเนียงถิ่นบ้านเกิดเต็มปากไม่อายใคร ในขณะที่บ้านอื่นเขาเริ่มสอนลูกให้พูดภาษากลางมากขึ้น แต่บ้านนี้ยังรักษาธรรมเนียมพื้นบ้านไว้หลายอย่างรวมทั้งคำพูดคำจาด้วย แม่เล่าให้ฟังว่าในหมู่บ้านเปลี่ยนไปมากแล้วตั้งแต่ในตัวเมืองมีค่ายทหารมาตั้ง พวกทหารฝรั่งตัวสูงใหญ่ตาน้ำข้าวเยอะมาก ใครไปทำงานในเมืองก็รวยๆๆ การพูดจาของคนในหมู่บ้านก็เปลี่ยนไป บางคนพูดไทยกลาง บางคนพูดผสมกันไป บางคนเห่อพูดภาษาฝรั่งคำ พูดภาษาไทยคำ
นวลเดินถือผักมาเต็มอ้อมแขน เพราะขี้เกียจไม่เอาอะไรไปใส่ มองไปทางหน้าบ้านเห็นพ่อยังไม่ได้ออกไป ปล่อยให้อีดำควายตัวแม่ เล็มหญ้าอยู่ริมรั้วหน้าบ้าน
“พ่อ มากินข้าวก่อน จะรีบไปไหน” เธอตะโกนไปอีกรอบ พ่อคงจับใจความได้คราวนี้เขาตอบมา
“พ่อกินข้าวแล้ว แม่อุ่นแกงแคที่เหลือเมื่อคืนกับไข่ทอด วันนี้เขาทำกับข้าวเพิ่ม นัดกับเมียผู้ใหญ่ไว้ ว่าจะไปกินข้าวด้วยกัน”
“อ๋อ มิน่าล่ะให้นวลไปเก็บผักเพิ่มตั้งหลายอย่าง งั้นพ่อไปเถอะ เดี๋ยวนวลช่วยแม่เอง”
“อือ…พ่อเอาควายไปผูกไว้ใกล้นาตาสุก ตรงต้นบักทันนะ” พ่อนัดแนะ
“จ้า” นวลไม่มีท่าทีว่าแปลกใจ ก็มันเป็นที่เดิมๆ แล้วที่พ่อพูดถึงต้นบักทัน คือต้นพุทรา ลูกพุทราเล็กเท่าหัวนิ้วโป้งมือของพ่อ กลม เกลี้ยง ผิวใส เต่งตึง กัดกร้วมไปจะเจอเนื้อครีม มีเมล็ดข้างใน รสอมเปรี้ยวอมหวาน กินได้ทั้งดิบและสุก
นวลลงทุนเดินไปหาอีเผือกที่เดินเอาตัวสีที่คอกอย่างเพลิดเพลิน เธอก้าวเท้าไปให้ถึงตัว ลูบหัวก่อนจะตบก้นเบาๆ สองที
“ไปได้แล้ว พ่อของข้อยกับแม่ของเจ้า รอเจ้าอยู่ตัวเดียว อีเผือกเอ้ย” พูดจบก็หัวเราะขำตัวเอง
“เออ นะ พ่อของข้อยกับแม่ของเจ้าเรียกจั่งซี่แหละ มันบ่เหมือนกันเด้ มันคนกับควายนี่นา ฮ่าๆ”
อีเผือกเหมือนจะฟังรู้เรื่องมันเลยยอมเดินนวยนาดออกไป มันอายุเพิ่งจะได้สามเดือน ยังไม่ได้สนตะพาย มีเชือกรอบคอเหมือนสร้อยคอ แต่พ่อไม่ค่อยล่ามมัน ปล่อยให้เดินอิสระ เขาคิดว่ามันไม่ไปไหนไกลแม่มันอยู่แล้ว อีดำหันมาเห็นลูกจึงส่งเสียงร้องดังๆ คงจะเหมือนแม่ทั่วไปที่บางทีก็อดไม่ได้ที่จะต้องดุลูกบ้าง อีเผือกตัวน้อยได้ยินเสียงแม่แหว ก็รีบกระโดดกระด๊อกกระแด๊กตามหลังแม่มันไปอย่างร่าเริง
เจ็ดโมงกว่าถือว่าสายแล้วสำหรับบ้านนี้ แต่วันนี้ยังไม่เห็นตะวันขึ้น สายหมอกโรยตัวอ้อยอิ่งอยู่เหนือหลังคาบ้าน นวลขึ้นบันไดไปยืนบนชานแล้วยังเห็นพ่อเดินจูงควายมุ่งหน้าไปทางทุ่งนา พอได้ยินเสียงแม่เรียกหาจะเอาผักจึงเลิกสนใจพ่อกับควาย รีบเอาผักไปล้าง จะได้กินข้าวเช้าไวๆ
พ่อเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่วัยห้าสิบกว่าปี แข็งแรงกล้ามเนื้อเต่งตึง ใบหน้าอิ่มเอิบอย่างคนสุขภาพดี ทุกวันเขาจะเดินจูงควายออกจากบ้านไปตามทางที่คุ้นเคย โลกของนวลสวยเพราะพ่อกับแม่บ่มนิสัยมา ไม่เคยถูกตี ไม่เคยถูกเอ็ดตะโร แค่พ่อมองด้วยหางตานวลก็น้ำตาปริ่มพร้อมจะร้องไห้โฮ เพราะถ้าทำผิด สำนึกผิดในหัวใจมันจะบอกให้ แต่บางทีก็ดื้อด้วยแรงอยากรู้อยากเห็นบ้าง เพื่อนยุบ้าง
หลังจากกินข้าวเสร็จ แม่คดข้าวเหนียวใส่กระติบ เอาอาหารที่แบ่งไว้ใส่ปิ่นโต ไปเตรียมบุหรี่ของพ่อจากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปทำงานกลางทุ่งที่แสงแดดแผดจ้า แม่มักจะสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีตุ่นๆ เก่าแต่ก็สะอาด กางเกงเอวยืด ถุงเท้ายาวรัดมาถึงหน้าแข้งและสวมรองเท้ายางหุ้มส้นสีดำ แล้วเดินออกจากบ้านไปเรียกเพื่อนบ้างข้างเคียง แล้วตามกันไปเป็นขบวนเพื่อไปทำนา
นวลอยู่บ้านก็จะล้างจานชามหม้อข้าวหม้อแกง ทำความสะอาดบ้าน บางวันก็ซักผ้า วิถีชีวิตที่เรียบง่ายของครอบครัวของนวลเป็นแบบนี้มาหลายปีดีดัก ณ หมู่บ้านโนนบุปผาแดง หมู่บ้านเล็กๆ อยู่ในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย