บุปผาตีตรา บทที่ 5 : เฮ้ย ! นั่นที่นาใคร

บุปผาตีตรา บทที่ 5 : เฮ้ย ! นั่นที่นาใคร

โดย : สีน้ำฟ้า

Loading

บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เช้าวันใหม่อากาศแจ่มใส แดดสายเริ่มระอุไอ น้อยกำลังเดินอยู่บนถนนเพื่อไปขึ้นรถประจำทางจากหน้าหมู่บ้าน เธอเอามือป้องตามองเข้าไปใต้ถุนบ้านของนวลเห็นสองคนนั้นอยู่ อุรานอนคว่ำหน้ายกขาขึ้นดีดไปมา ส่วนนวลกำลังมองออกมา น้อยโบกมือทักทายเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา

เธอเป็นผู้หญิงร่างเตี้ย อวบ หน้าอกหน้าใจล้นหลาม แต่งตัวตามสมัยนิยมแบบคนในเมือง กลิ่นตัวหอมน้ำหอมที่ผิดแผกจากสาวในหมู่บ้าน อุราใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงผ้ายืดขาสั้นยาวเกือบถึงหัวเข่า ส่วนนวลสวมเสื้อสีแดงกางเกงยืดสีดำ ส่วนน้อยสวยโดดเด่นด้วยเสื้อเชิ้ตสีส้ม สวมกางเกงยีนส์ขาบาน บนหัวคาดผมด้วยผ้าสีส้มแดง แต่งหน้าจัด ปากทาลิปสีแดงสด

หลายคนว่าน้อยแต่งหน้าจัดเหมือนนางเอกยี่เก เธอไม่สนใจเสียงขี้ปากชาวบ้าน แต่งสวยในแบบฉบับของตัวเองชอบ ด้วยความใจดีของเธอต่อให้ใครนินทาว่าร้ายน้อยก็ตอบแทนด้วยการซื้อของซื้อขนมมาฝากตามโอกาสคนละเล็กละน้อย ผลัดกันไปคราวละสามสี่หลังคา บางทีก็หอบเสื้อผ้ามาเป็นถุงกระสอบให้คนเอาไปแบ่งกันใช้ ซึ่งวันไหนมีของหนักน้อยจะส่งข่าวมาบอกล่วงหน้าแล้วให้คนเอารถมอเตอร์ไซค์ไปรอรับ มาถึงก็แกะกระสอบผ้าแบ่งกันไป

พอน้อยเดินมาถึง อุราลุกขึ้นนั่งบนตั่ง นวลขยับพื้นที่แบ่งให้น้อยมานั่งด้วย ตอนนี้คอกควายว่างเปล่า พ่อพามันไปผูกไว้ให้กินหญ้าที่นา

น้อยคุยกับนวลเป็นภาษากลาง นวลตอบภาษาถิ่นบ้าง ภาษากลางบ้างเอาที่สะดวก แค่สื่อสารกันเข้าใจ ไม่กินแหนงแคลงใจกัน

“เอื้อยน้อยสวยนะ เสื้อผ้าแบบนี้นวลชอบ”

“พี่ก็จำได้ นวลอยากได้จักร อยากเย็บผ้า นวลเคยเย็บมือเสื้องานกีฬาสีโรงเรียนให้ พี่จำได้”

“เออ ใช่ ข้อยก็จำได้ ครูชมใหญ่เลย ได้รางวัลเป็นขนมด้วย”

“อุราแย่งกินเยอะเลย ฮ่าๆๆ” อุราหัวเราะ เรื่องกินขอให้บอก เธอไวเสมอ

“พี่อยากมาชวนนวลไปทำงานด้วยกันในเมือง” น้อยตรงเข้าจุดประสงค์ของการแวะทักทาย

“นวลก็อยากรวยเหมือนเอื้อยนะ พ่อบอกว่ามะรืนพวกเราจะขนข้าวขึ้นยุ้ง จากนั้นนวลจะลองขอพ่อแล้วจะไปบอกแม่เอื้อยเวลาแม่เขาเขียนจดหมายไป เอื้อยจะได้มารับ”

“ให้ข้อยไปด้วยนะนวล ข้อยอยากแต่งตัวสวยๆ” อุราออดอ้อน แล้วนึกขึ้นได้

“ขนมอะไรเมื่อวาน อร่อยมาก มากินที่บ้านนวล”

น้อยยิ้ม ตอบชื่อขนมพร้อมกับบรรยายให้ฟังว่ามีหลายรสด้วย เป็นขนมปังจุ่มช็อกโกแลต บางทีก็จุ่มครีมวานิลลา แล้วแต่งกลิ่นรสผลไม้ ทั้งหอม ทั้งหวาน

“ถ้าชอบคราวหน้าจะซื้อมาฝากอีก”

นวลเป็นคนยกมือไหว้ขอบคุณก่อน อุราเลยทำตาม

“พี่น้อยน่ารัก” อุราชม พูดเสียงงุ้งงิ้ง

“ในเมืองมีอะไรมาใหม่อีกล่ะเอื้อย เอื้อยน้อยไม่ได้มาบ้านสองเดือนได้มั้ง คิดถึงอย่างแรง”  นวลชวนเปลี่ยนเรื่อง ใจหนึ่งก็อยากรู้ในเมืองเป็นอย่างไร ไปถึงไหนแล้ว เคยแต่ได้ฟัง ไม่เคยได้ไปเองสักที

“ก็เหมือนเดิม ในเมืองหาเงินง่าย ถ้ารู้จักกินรู้จักเก็บ ก็มีเงินได้เป็นกอบเป็นกำ”

“ดีจัง” ดวงตาของคนพูดวิบวับ ความรู้สึกหอมหวานของขนมล่องลอยอยู่ในหัว

“แล้วอุราต้องเป็นผู้หญิงหากินไหมเอื้อย” คำถามที่โพล่งออกมาทำวงสนทนาชะงัก

นวลกับน้อยหันมาจ้องเธอเป็นตาเดียว น้อยที่นั่งใกล้มองอย่างเอ็นดูเอามือลูบหัวอุราที่กล้าหาญถาม ปีนี้น้อยอายุสิบเก้าเท่าอุระ เป็นเพื่อนเรียนรุ่นเดียวกัน ส่วนน้องสองคนนี้สิบเจ็ดก็ไม่เด็กแล้ว

“งานในเมืองมีมากมายไม่จำเป็นต้องขายตัวดอกนางเอ้ย พี่ก็ไม่ได้ขายตัวนะ” น้อยกล่าวเสียงหนักแน่น ยืนยันความคลางแคลงใจของรุ่นน้อง

“พี่น่ะ เป็นผู้จัดการบาร์ เรียกว่าแทบจะทำแทนเจ้าของที่อยู่กรุงเทพ เงินเดือนที่ได้ก็เยอะมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและครอบครัว”

นวลกับอุราที่จ้องมองรุ่นพี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ นวลสังเกตว่าน้อยมักไม่พูดภาษาถิ่น จะชินที่แทนตัวเองว่า ‘พี่’ มากกว่า ‘เอื้อย’ ที่เป็นภาษาถิ่นเกิดจึงอยากจะเอาใจด้วยการพูดและเรียกสรรพนามที่เธอชอบ

“ได้ยินว่ามีฝรั่งตัวใหญ่เยอะเลย ตัวสูง ตาสีน้ำข้าว ผิวขาวเหมือนไข่ปอก”

“คนตัวดำก็มี เขาเป็นทหาร คนมักเรียกว่าทหารจีไอ พวกนี้เงินหนัก” น้ำเสียงเอ็นดูกับความคิดของรุ่นน้อง

“ทำไมต้องจีไอล่ะพี่” นวลมักสนใจใฝ่รู้เรื่องในเมือง ซักถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

“จีไอ คือทหารเกณฑ์ มีศัพท์ภาษาฝรั่งบอกไปพวกเจ้าก็ไม่จำ”

น้อยจับหัวสาวน้อยคนที่อยู่ใกล้ตัวโยกไปมา แล้วหัวเราะนำ ทำให้นวลและอุราหัวเราะตาม

“เขาว่าต้องไปเป็นเมียเช่า” ยัง…อุรายังไม่เลิกข้องใจ

“ไม่ต้องเป็นเมียเช่า ไม่ต้องเป็นผู้หญิงหากินก็ได้ แล้วแต่เราเลือกนั่นละ” น้อยยังใจเย็นที่จะตอบ

“แล้วทำอะไรอีก พี่น้อยบอกว่าพี่ทำงานในบาร์รำวง นั่งกินนั่งดื่ม เอาเหล้าไปเสิร์ฟ แล้วยังไงอีก”

“นอกจากบาร์รำวง ก็มีร้านอาหาร ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านส้มตำ ร้านขายเสื้อผ้า” รุ่นพี่เล่าด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ คนฟังท่าทางตื่นเต้นและตื่นตัว

“มันเยอะมาก นึกภาพไม่ออกเลยบ้านเรามีแต่ท้องไร่ท้องนากับตลาดขายผักขายเนื้อ ขายปลา คนเยอะสุดก็งานวัด หนังกลางแปลง ในเมืองที่ว่าไม่รู้จะเยอะขนาดไหนเนาะนวล” อุราฝันกลางวันอีกแล้ว

“อือ สักวันเราก็จะได้ไปเห็นนั่นละ” นวลยิ้ม มองหน้าเพื่อนรักที่เกิดและเติบโตมาด้วยกัน

“มันจะมีสามล้อถีบจอดเรียงรายกัน ฝรั่งขี้เกียจเดินเขาก็จะเรียกสามล้อถีบไปส่ง บางคนอยู่ในค่าย บางคนออกมาเช่าบ้านอยู่กับผู้หญิงในตลาด อันนี้แหละที่เขาเรียกเมียเช่า” คนเล่าชักเมามันในการเล่า

“เงินดีไหมอะ” คนฟังตั้งใจฟังแต่ยังคิดวนเวียนไม่พ้นเรื่องเงิน

“หมายถึงเมียเช่ารึมันก็ดี แต่พอฝรั่งไปรบ ผู้หญิงก็ไปกับคนอื่น บางทีทหารนั้นหายไปนาน บางคนก็ว่ามีคนตายในสนามรบหรืออะไร เขาก็หาคนอื่นต่อ บางคนได้กลับบ้านก็ส่งเมียเช่าให้เพื่อนต่อ”

“เอ้า แล้วเขาไม่พาไปเมืองนอกด้วยรึ บ้านเราเห็นแต่ลูกฝรั่งหัวแดง หัวหยิก แต่ไม่เคยเห็นใครมาแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวเลย ถ้าไปเมืองนอกต้องแต่งงานไหมพี่”

“บางคนก็พา บางคนไม่พา แล้วแต่ตกลงกัน” สายตาที่มองรุ่นน้องสองคนมีแววอาทร

“แปลกดี” คนตอบขมวดคิ้ว ถามต่อ

“เขาพูดกันด้วยภาษาอังกฤษใช่ไหม เวลาไปทำงานแล้วนวลจะทำยังไง นวลจำได้ที่พี่สอน ฮัลโล้กับแต้งกิ้วที่แปลว่าสวัสดีกับขอบคุณ”

“เหมือนพี่ แรกๆ ไปก็ใช้ภาษาใบ้ แล้วค่อยเรียนเอา แล้วหนังสือที่พี่ให้ไว้ นวลกับอุราได้อ่านได้ท่องบ้างไหม” คราวนี้เสียงรุ่นพี่เหมือนเสียงครูตอนถามหาการบ้านที่นักเรียนไม่ได้ส่ง

นวลยิ้มอาย อุราหัวเราะ ทั้งสองคนหลบตา

“พี่อุระแน่ะเก่ง เอาไปท่องแล้วมาสอนพวกน้อง เราท่องได้นิดหน่อย” ตอบแบบให้พ้นตัวไปก่อน

“ก็ยังดี ถ้าไปในเมือง ทำงานสักเดือนมีเงินแล้วจ้างครูมาสอน เป็นไวก็หาเงินได้ไว”

“เมื่อกี้พี่ว่า มีคนขาว คนดำ เขาเรียกฝรั่งหมดหรือ เคยได้ยินคนบ้านเราเรียกนิโกร ผมหยิกหยอย ผิวดำ ดำผิดหมู่เฮาอยู่นะ”

“ใช่ ทั้งหมดเรียกฝรั่ง คือผู้ชายที่เป็นทหารพวกนี้มาจากอเมริกา จีไอที่ว่าเป็นทหารเกณฑ์ เหมือนทหารเกณฑ์บ้านเรา แต่บางคนที่เป็นหัวหน้า มียศสูงๆ เงินเดือนจากรัฐบาลบ้านเขาล้ายหลาย กลุ่มนั้นเป็นอาชีพทหาร”

“แตกต่างกันได้อีกน้อ ข้อยบ่เข้าใจดอก”

“ใช่ แต่เราอย่าไปเรียกคนผิวดำเขาว่านิโกรนะ เขาจะโกรธ ถ้าเป็นผู้ชายนี่ชกกันได้เลยนะ”

“ห๊า ร้ายขนาดนั้นเลยรึ”

“ใช่ ร้ายมากๆ นี่มีลากเอาไปยิงเลย เขามีปืนนะ”

“โอ้ โหดจัง”

“ก็คงเหมือนพวกเรา ผู้หญิงไปทำงานในเมือง เขามาเรียกเรากะหรี่ เรียกว่าผู้หญิงหากิน เราก็โกรธ ถ้าไปเรียกคนดำว่านิโกร ก็เหมือนหยามเกียรติเขาแบบนั้นแหละ”

“พูดถึงกะหรี่ ทำไมคนบ้านเราชอบตีตราผู้หญิงไปทำงานในเมืองว่าเป็นกะหรี่ นวลนี่ถึงกับเก็บเอาไปฝันเลยนะ ไม่รู้ทะเลาะกับใคร”

“นวลเอ๊ย ปากคนมันยาวกว่าปากกา อย่าไปสนใจมันเล้ย”

“ปากกา ปากอีกาตัวสีดำๆ เหรอ ปากคนยาวกว่าตรงไหน”

อุราทำห่อปากแล้วเอามือหยุมที่ปากตัวเอง สองสาวมองมาแล้วหัวเราะ

“ตอนเล่าความฝันให้แม่ฟัง แม่ก็พูดคล้ายๆ กัน หลวงพ่อท่านก็สอน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน มนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา”

“เออ นวลก็รู้ แล้วจะคิดมากไปทำไม”

“พี่ แล้วฝรั่งนี่หล่อบ่ ข้อยไม่เคยเห็นสักที เห็นแต่ผู้หญิงบ้านเราท้อง เอาลูกเล็กเด็กแดงมาให้พ่อใหญ่แม่ใหญ่ในหมู่บ้านเราเลี้ยง”

“พวกทหารเหรอ หล่อสิ หล่อทั้งคนผิวขาว ผิวดำ ล่ำบึ้ก โฮ่ย ผู้บ่าวบ้านเรานี่ขี้ฮ้ายไปเลย”

“พูดถึงฝัน นวลฝันว่าไม่รู้ใครมาว่าอุรากับนวลเป็นกะหรี่ นวลนี่แทบจะปรี่เข้าไปตบ แต่อุรากอดไว้”

“อ้าวๆๆๆ น๊วน” อุราแกล้งทำเสียงขุ่น

“ไสมาว่าข้อย ขนาดฝันยังด่าข้อยอีกรึ ไหนว่าข้อยเป็นเพื่อนรัก ในฝันเจ้าด่าข้อยทำไม”

“ฮ่วย บ่ใช่ คนอื่นมาว่าเจ้า แล้วข้อยสิไปตบมัน”

“เฮอะ…อย่างเจ้าอะนะ จะไปตบใคร” อุราเบะปาก

“เก่งแต่ในฝัน พอเจอหน้าคน ก็ยิ้มปากฉีก คนไหนอายุมากกว่าก็ยกมือไหว้ แล้วเจ้าสิไปตบใคร”

“ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะประสานกันดังลั่น มีชาวบ้านใกล้เคียงเดินผ่านมาก็ตะโกนทักทายกันพวกเขาก็เดินผ่านไป หนึ่งในนั้นมีน้าแสงจอมนินทาด้วย แต่ไม่มีใครใส่ใจเธอ สามสาวคุยกันอย่างออกรสจนเกือบเที่ยง น้อยก็เอ่ยคำลาเพื่อเดินทางกลับไปทำงานต่อ

น้อยบอกว่าเดือนหน้าจะกลับมารับ ถ้านวลกับอุราคุยกับผู้ใหญ่แล้ว ก็ไปทำงานด้วยกัน หาเงินกลับมาให้พ่อแม่ได้ใช้จ่ายสบาย โดยไม่ต้องไปเป็นผู้หญิงหากิน งานมีมาก อยากจะทำอะไรก็เลือกเอาได้ น้อยออกไปนานแล้วเหลือแต่นวลกับอุราที่นอนฟังวิทยุอยู่ใต้ถุน มันรับติดอยู่ช่องเดียวมีอะไรก็ฟังไป บางทีก็คุยกันถึงเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

 

บ่ายคล้อย บนผืนนากว้างของพ่อใหญ่ดำเสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้ เพราะมีคนมาช่วยมากกว่าทุกวัน หลายคนเก็บเครื่องไม้เครื่องมือเตรียมตัวกลับบ้าน

“เฮ้ย นั่นไฟไหม้รึเปล่า ควันไฟ เฮ้ย…ไฟไหม้ๆ”

หลานเขยพ่อใหญ่ดำละล่ำละลัก ชี้มือชี้ไม้ คนที่นั่งอยู่ผุดลุกขึ้น คนที่หันหลังให้ก็กลับมามองต้นเสียง และมองตามมือที่ชี้ไปทางกลางทุ่งไกลออกไป ควันไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นกลุ่มควันสีดำคุกรุ่นเห็นเด่นชัดจากตรงนี้

“นั่นมันริมหนอง นาของพ่ออีนวลไหมนั่น”

“เฮ้ย พวกเรา เร้ว ไปๆ”

‘พ่ออีนวล’ ร้อนใจวิ่งนำไปก่อน ตามด้วย ‘แม่อีนวล’ ที่เดินกึ่งวิ่งตุ้มต้ะตุ้มตุ้ยตามไป ใครทันฉวยถังน้ำ หรือกระป๋องอะไรที่คว้าทัน ก็ถือติดมือ พากันวิ่งแตกตื่นตามกันไปเป็นขบวน

 

นวลกับอุราที่นอนเล่นอยู่ใต้ถุนรอเวลาไปเอาควายกลับมาเข้าคอก ต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียงเอะอะอื้ออึง ลุกออกไปยืนดูที่หน้าบ้าน อุระวิ่งมาจากไหนไม่รู้ สั่งให้น้องกลับเข้าไปอยู่บ้านห้ามไปไหน เพราะจะเป็นภาระของผู้ใหญ่มากกว่าจะช่วยอะไรได้ ส่วนตัวเขาวิ่งตามขบวนไป นวลเกาะแขนอุราไว้แน่นตัวสั่นเทาด้วยความกลัว

“เขาว่าไฟไหม้นาพ่ออีนวล”

จับใจความได้เท่านั้น นวลก็ใจสั่นทำอะไรไม่ถูก คิดถึงความฝันของตัวเองเมื่อวันก่อนที่เล่าให้แม่ฟัง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก คนวิ่งกันสับสนอลหม่าน พวกคนแก่ที่อยู่บ้านกันเด็กไว้ไม่ให้ไปยุ่ง คนทั้งหมู่บ้านช่วยกันคนละไม้คนละมือ เวลาผ่านไปเหมือนกับนานแสนนานกว่าไฟจะมอดดับลง

ผู้คนทยอยเดินกลับเข้ามาในหมู่บ้าน หลายคนช่วยกันพยุงแม่ของนวลมานั่งได้ถุน หาอะไรมาพัดวีเสียงแม่แทบไม่มีแล้ว ร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง ร่างกายอ่อนปวกเปียก ไฟดับแล้วแต่นั่นหมายความว่าข้าวที่ยังไม่ทันขนเข้ายุ้งบ้านของนวลมอดไหม้ไปพร้อมกองเพลิงด้วย แม่เป็นลมไปหลายรอบ พ่อนั่งหมดแรงพิงเสาบ้านอยู่อีกมุม ผู้คนที่มาอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยนานพอสมควร เสียงคนคุยกันแทบจะจับใจความไม่ได้ แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องในเหตุการณ์ไฟไหม้นั่นแหละ คุยกันไปมาอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ จากนั้นได้ทยอยเดินกลับบ้านของตัวเอง เสียงผู้คนคุยกันเริ่มเบาลง

โชคดีที่ไฟลามมาไม่ถึงบ้านคน ผู้ใหญ่บ้านและตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ นวลได้ยินเพียงว่ามีคนไปตกปลาแล้วก่อไฟย่างปลาแล้วมันลามจนควบคุมไม่อยู่ เมื่อเรื่องราวสงบ ผู้ใหญ่ได้ประกาศให้ลูกบ้านให้เอาข้าวเปลือกหรือข้าวสารมาให้บ้านนวล พอได้มีกินประทังชีวิตกันไปก่อน

 



Don`t copy text!