
บุปผาตีตรา บทที่ 7 : น้องเขาเพิ่งมาใหม่
โดย : สีน้ำฟ้า
![]()
บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co
คนที่ถูกเรียกว่าเจ๊มองน้อย ความขุ่นมัวยังอยู่ในสีหน้า นางเขม้นมองเด็กวัยรุ่นสามคนท่าทางเงอะงะที่มาด้วยกัน
“อาน้อย นี่ลื้อพาน้องใหม่มารึ เพิ่งมารึไง”
“เจ๊มองคนเก่งเหมือนเดิม ใช่จ้ะ นี่น้องฉันมาจากบ้าน มาหางานทำ ถึงแม้ว่าเคยเรียนมาบ้างแต่ยังพูดอังกฤษไม่คล่อง เพราะที่หมู่บ้านของน้อยไม่มีฝรั่งสักคน”
“อือ ลื้อคงได้ยิน อั๊วไล่พวกคนงานออกไปแล้ว ถ้าไม่รับคนของลื้อวันนี้ใครจะช่วยอั๊วล่ะ อาเฮียแกยืนลวกก๋วยเตี๋ยวมาทั้งวันแล้ว แกคงไม่มีแรงมาล้างชามหรอก”
“แล้วเจ๊ให้เงินเดือนยังไง นอนที่ไหน”
“อั๊วให้เท่าคนเก่าไม่ได้นา เพิ่งมาใหม่ ภาษาก็ไม่เป็น ออกมาช่วยหน้าร้านได้ไม่มาก”
“เท่าไหร่ล่ะ”
“วันละหยี่จั้บ หยุดไม่ได้เงิน ไม่มีที่นอน แต่กินที่นี่ได้สามมื้อ”
น้อยหันมามองหนุ่มสาว หยี่จั๊บน้อยฟังจนชินแล้ว รู้ว่ามันคือวันละยี่สิบบาท เดือนหนึ่งก็ได้หกร้อย กระซิบกระซาบเด็กหนุ่มสาว ว่าเดือนหนึ่งเงินเดือนเท่านี้ก็ไม่น้อยถ้าอยู่ที่บ้านไม่รู้ต้องไพคากี่ตับถึงจะได้ยี่สิบบาท นวลพยักหน้าหงึกๆ อุระว่าตามนวล แต่อุรายิ้มแหยๆ ส่ายหน้า ส่งเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ว่าอยู่บ้านก็เบื่องานพวกล้างถ้วยล้างจาน งานในครัวจะแย่ ให้มาทำงานแบบนั้นอีกไม่อยากทำเลย
“เจ๊รับได้สองคนนะ ผู้ชายหนึ่ง ผู้หญิงหนึ่ง จะได้ช่วยยกของได้ ผู้หญิงก็งานเรียบร้อยหน่อย ลื้อว่าไงเด็กๆ ถ้าทำงานเก่ง อั๊วจะขึ้นเงินให้ ถ้าลื้อพูดอังกฤษเป็น ฝรั่งมันให้ทิปลื้อก็เก็บไปเลย อั๊วไม่มีปัญหากับเงินทิปของลูกน้อง”
น้อยอธิบายเรื่องเงินทิปแปลว่าอะไร และยังบอกอีกว่า ทำงานกับฝรั่งเรื่องทิปเป็นเรื่องปกติ ที่ร้านไหนเขาก็มีทิป แต่ไม่เหมือนกัน บางร้านจะให้เอาทิปไปรวม พนักงานกี่คนเอามาแบ่งกัน เจ้าของร้านจะเก็บไว้ส่วนหนึ่ง แล้วแต่เจ้าของร้านกำหนด แบบที่เจ๊ให้ถือว่าดีมากสำหรับคนทำงาน
“เอางี้สิ เดี๋ยวนวลกับอุราไปนอนหอพักเป็นเพื่อนพี่ นอนก่อนสักคืน พรุ่งนี้ค่อยหาหอพักใกล้ๆ กันหาไม่ยากหรอก ส่วนอุระไปนอนกับพวกผู้ชาย พอมีเงินก็ให้ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าเขา ตอนนี้ช่วยกันไปก่อน”
เด็กสาวพยักหน้าเห็นดีด้วย พี่น้อยว่าดีทั้งสองก็ว่าดี
“แล้วใครอยากทำร้านนี้บ้าง” น้อยออกเสียงถามแล้วมองทั้งสามคน
“นวลทำค่ะ” นวลยกมือแบบเหนียมๆ “ถ้าอุราบอกไม่ชอบ นวลทำได้ไม่มีปัญหาค่ะ”
“ผมทำช่วยนวล” อุระตอบ เพราะเขาผู้ชายคนเดียวก็ต้องทำด้วยอยู่แล้ว
“งั้นอุราไปหางานใหม่ ไปกับพี่น้อยไม่ต้องห่วงนะ พี่แนะนำได้”
เมื่อตกลงกันได้ก็แจ้งเจ๊ไป น้อยเตือนรุ่นน้องว่าใครจะทำงานบ้าง ได้ทำงานกันง่ายๆ แต่จะรักษางานไว้ได้ไหมอยู่ที่ตัวของพวกเธอเอง ไม่ว่าจะทำงานอะไรต้องใช้ความอดทนเป็นตัวนำ
น้อยเป็นคนแนะนำตัวให้เจ๊ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ
“เจ๊ คนนี้ชื่อนวล คนนี้ชื่ออุระ จะทำงานกับเจ๊ ส่วนน้องสาวคนนี้อุรา เดี๋ยวน้อยไปหางานอื่นให้ทำ”
“โอเค ดี ดี งั้นมาตอนนี้เลย มาช่วยเจ๊ล้างจานเก็บของ ถ้าล้างจานเสร็จเจ๊ให้เลยคนละยี่สิบบาทเมื่อกี้โมโหคนงาน ไล่อีออกไปแล้ว”
“งั้นนวลกับอุระช่วยเจ๊ พวกเราไปก่อนนะ อ้อ…เดินไปดูก่อนร้านพี่อยู่ตรงไหน เดินมาทางนี้มา”
น้อยจูงแขนนวลไปยืนหน้าร้านใกล้หม้อก๋วยเตี๋ยว ชี้มือไปทางขวา
“เสร็จงานเดินตรงไปเรื่อยๆ บ้านพักพี่จะอยู่ตรงนั้นนะ เห็นบ้านหลังนั้นไหม ที่มีรูปงูหน้าบ้าน เดินไปรอตรงนั้นแล้วบอกคนที่นั่น พี่จะออกมาหา พาไปบ้านพัก”
อุระตามมายืนข้างหลังนวล มองตามน้อยเห็นไกลๆ อาคารนั้นโดดเด่นที่อยู่ไม่ไกลเกินสายตามองเห็น ไม่ต้องกลัวหลงทาง บอกทางเสร็จ จากนั้นก็แยกกัน น้อยพาอุราไปด้วย ส่วนนวลกับอุระเดินตามเจ๊เจ้าของร้านเข้าไป
“ลื้อสองคนช่วยกันล้างจานตรงนี้นะ ล้างให้สะอาดอย่าให้มัน แต่ต้องช่วยกันประหยัดน้ำ”
“ค่ะเจ๊”
“แล้วยกไปวางตรงนั้น ลื้อชื่ออาลายนะ”
“อุระครับ”
“อือ ลื้อยกมาแล้วเช็ดทั้งหมดให้แห้งเก็บไว้บนชั้นนี้ก่อน ก่อนปิดร้านเราจะเอาตะเกียบมาผึ่งไว้ เดี๋ยวเจ๊จะบอกอีกที”
“ครับ”
เจ๊อธิบายว่าเอาอะไรเก็บตรงไหน นวลกับอุระช่วยกันไม่นานก็เสร็จ เจ๊ให้เงินคนละยี่สิบบาทจริง แถมยังทิปให้อีกคนละสิบบาทด้วย นวลกับอุระพอใจมาก มาถึงวันแรกก็มีเงินค่าแรงอุ่นกระเป๋าเพิ่มมาทันทีคนละสามสิบบาทแถมยังได้ข้าวกลับไปกินที่บ้านพักอีกคนละห่อ เจ๊บอกให้คดข้าวไปกิน ตักแกงไปกินได้ ของทุกอย่างในร้านกินได้ แต่ต้องขออนุญาต อย่าลักขโมย เจ๊ไม่ชอบ ยิ่งเถ้าแก่เกลียดมากๆ เดือดร้อนอะไรให้บอก ห้ามลักกินขโมยกิน ทั้งสองยกมือไหว้ลาเจ้าของร้านแล้วเดินไปหาน้อยตามที่นัดหมายกันไว้
เมื่อออกจากร้านมานวลเดินตามหลังอุระ มองแผ่นหลังของพี่ชายเพื่อนที่บึกบึนแข็งแรงด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มอย่างมีความสุข ยิ้มเผื่อไปทั้งซ้ายทั้งขวา อุระเห็นนวลชะเง้อชะแง้หันหน้าเหลียวหลังเหมือนคนตื่นสถานที่เขาอดเป็นห่วงไปไม่ได้จึงชะลอฝีเท้าและแตะข้อศอกเบาๆ ให้นวลเดินนำหน้า นวลมองเขาแล้วยิ้มพลางเดินต่อ
คนขับรถสามล้อถีบที่จอดเรียงกันริมถนน บางคนนั่งในรถ บางคนยืนข้างรถ เห็นใครเดินผ่านก็ส่งเสียงทักทายว่า ‘ฮัลโหลๆ’
นวลหันซ้ายหันขวา มองเพลิน เจอฝรั่งผิวหยิกผิวดำคนหนึ่งเดินมาข้างเคียงแต่เขาไม่ได้สนใจ สายตาเขาจับจ้องไปข้างหน้าแต่นวลตั้งใจมอง
เขาเป็นคนผิวดำที่ดำจริงๆ ดำกระทั่งอุ้งมือที่เขาเผลอยกขึ้นมาโบกไปมาตรงหน้าเพื่อโบกพัดไล่ลมร้อนทั้งที่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย ริมฝีปากห่อเข้าแล้วทำท่าพ่นลมออกมา
นวลอมยิ้ม เขาไม่น่าเกลียดอะไรเลยนวลออกจะชอบด้วยซ้ำ พอเขาเดินมาทัน เดินเคียงอยู่ด้านข้าง ยิ่งใกล้นวลมองว่าเขาหล่อ คิ้วก็เข้ม ดวงตาดำขนตางอนเช้งเหมือนผู้หญิงเลย เหงื่อซึมออกเต็มไรผมจนเปียก เหงื่อเม็ดโป้งๆ ผุดเต็มหน้าผากจนเขาต้องควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ
อาจเพราะนวลผิวขาวเหมือนไข่ปอกมาตั้งแต่เด็ก มักชอบมองเพื่อนที่ตัวดำเป็นเหนี่ยงว่าสวย หล่อ อย่างอุราผิวสองสี คนไทยไม่ชอบหาว่าดำ แต่นวลมองว่าอุรามีผิวที่สวยมาก
ในที่สุดผู้ชายฝรั่งคนที่เดินข้างนวลก็ไม่ทนร้อน เขาตัดสินใจหยุดเดินแล้วพยักหน้ากับคนขับสามล้อคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา นวลเดินผ่านไปเพื่อไม่ให้เสียมารยาทที่แอบมองเขา ได้ยินเสียงคุยกัน คนขับสามล้อเก่งมากพูดฝรั่งได้คล่องแคล่ว พักเดียวสามล้อนั้นก็พาเขาขับออกไป
นวลจำแม่นอย่างหนึ่งว่าห้ามเรียกคนผิวดำเหล่านี้ว่านิโกรเพราะพวกเขาจะไม่พอใจมาก นวลเดินต่อไปเรื่อยๆ สวนทางกับฝรั่งผิวขาวที่มีมากกว่ามีฝรั่งผิวดำ แต่ละคนรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมคายหล่อ บางคนตาเป็นสีฟ้าจริง เหมือนที่เคยได้ยินคนเล่า แต่เจอใครอีกหลายคนที่ผ่านตาไม่มีใครน่าประทับใจเหมือนหนุ่มที่ขึ้นสามล้อไปสักคน
“นวล ตรงนั้นมั้ย ช่วยกันดูหน่อย” อุระชี้ไปที่อาคารรูปร่างเหมือนที่น้อยบอกไว้
“อือ น่าจะใช่นะ ไปๆ ข้ามถนน ระวังนะ รถเยอะ” นวลหันซ้ายหันขวา ก็ยังดีที่รถเคลื่อนไปช้าๆ
หนุ่มสาวทั้งสองคนเดินตามกันตรงไปที่บ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ เว้นที่ว่างด้านหน้าไว้เป็นบริเวณกว้าง จากถนนใหญ่เดินเข้าไปอีกประมาณสองร้อยเมตรกว่าจะถึงตัวบ้าน ทางเดินเป็นดินแห้งๆ เตียนโล่ง เพราะคนเดินย่ำกันบ่อยจนไม่มีหญ้าสักต้น
ลานด้านหน้าสองฝั่งทางเดินเข้าเป็นที่จอดรถจักรยานสามล้อ ซึ่งขณะนี้มีรถสามล้อจอดกันเรียงรายนับสิบคัน ผู้ชายวัยทำงานซึ่งเป็นคนปั่นสามล้อ บ้างนั่ง บ้างก็ยืน พูดคุยกันเสียงดังแข่งกับเสียงรถยนต์บนถนนใหญ่ที่วิ่งกันขวักไขว่ฟังไม่ได้ศัพท์
บ้านชั้นบนเป็นไม้ทาสีน้ำมันเคลือบดูแวววาว ส่วนชั้นล่างที่เป็นปูนฝาเป็นสีฟ้าดูสะอาดตา โดดเด่นด้วยภาพวาดงูจงอางกำลังแผ่แม่เบี้ย ในภาพนั้นงูตัวสูงใหญ่จากขอบ คนเดินเข้าออกไม่ขาดสาย คนมากเสียจนน่าเวียนหัว ตอนแรกนวลคิดว่าเหมือนงานวัดในหมู่บ้าน แต่จำนวนคนที่พบเจอวันนี้มากกว่านั้นเป็นไม่รู้กี่เท่า แต่ละคนนวลเชื่อว่าไม่ซ้ำหน้ากันเลยจริงๆ
นวลกับอุระเดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน เหมือนคนละโลกกับข้างนอก ห้องนี้กว้างมากเท่าๆ กับห้องแถวสองของร้านขายก๋วยเตี๋ยวที่นวลเพิ่งทำงานเสร็จ ต่างกันตรงที่ร้านโน้นโล่ง เปิดหน้าร้านกว้าง เดินเข้าออกง่าย แต่ที่นี่เป็นห้องหับมิดชิด มีประตูสองทาง ด้านหนึ่งเข้า ด้านหนึ่งเป็นทางออก
ในห้องเปิดไฟสลัวพอให้มองเห็นทางเดิน มีโต๊ะทำจากไม้วางเรียงรายเว้นระยะห่างมากพอสมควร เพราะมีคนลุกขึ้นมายืนเต้นข้างโต๊ะ เสียงเพลงดังกระหึ่มเร้าใจ นวลรู้จักแต่จังหวะเร็วชวนให้คึกคัก มีคนพูดแทรกระหว่างเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ เสียดายว่าฟังไม่ออกเลยไม่รู้ว่าที่เขากำลังเล่นคือเพลงอะไร หรือพูดอะไร
นวลเดินตามหลังอุระมาจนชิดเวทีมุมหนึ่ง บนเวทีจัดวางเครื่องดนตรีเยอะแยะไปหมด นวลรู้จักแต่กลองกับกีตาร์ มีคนประจำตำแหน่งเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น ผู้ชายแต่งตัวด้วยกางเกงขาบาน เสื้อเชิ้ตคอปกสีสด บางคนมีผ้าพันคอด้วย นักร้องเป็นหญิงสาวคนหนึ่งแต่งกายด้วยเดรสสั้นรัดรูป เธอกำลังร้องเพลงฝรั่ง นวลฟังเพลิดเพลินด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษฟังไพเราะ แต่ก็แปลไม่ออก เจ็บใจที่ตัวเองควรตั้งใจเรียนตอนที่หลวงพ่อให้หนังสือภาษาอังกฤษมา หนุ่มสาวเดินตัวลีบเพื่อหลบผู้คนที่นั่งๆ ยืนๆ กระจัดกระจายอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้
อุราที่ชะเง้อคอคอยเมื่อเห็นพี่และเพื่อนโผล่มาก็ดีใจมาก เดินลัดเลาะผ่านโต๊ะของลูกค้าที่นั่งกันเต็มไปหมด พอถึงตัวก็สะกิดไหล่ นวลหันมามอง รีบก้าวขายาวๆ ไปสะกิดอุระที่อยู่ข้างหน้า ชี้ชวนกันเดินตามอุราไป ยังโต๊ะที่น้อยนั่งอยู่ก่อนแล้ว เธอยิ้มรับและขยับเว้นที่ให้สองคนที่มาใหม่ได้นั่ง
เสียงเพลงและเสียงดนตรีดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง อุระไปนั่งข้างอุรา ฝั่งตรงข้ามนวลไปนั่งใกล้น้อย บนโต๊ะมีเครื่องดื่มน่าจะเป็นเหล้าคนละแก้ว และกับแกล้มวางอยู่สองสามอย่าง สายตาพวกเขามุ่งไปบนเวที นักร้องกำลังถือไมค์ร้องเพลงและโยกตัวตามจังหวะดนตรี
“ดนตรีเพราะจังพี่น้อย แต่นวลฟังไม่ออก เสียงภาษาอังกฤษสูงๆ ต่ำๆ ฟังแล้วแปลกดี” นวลกระซิบกระซาบตอบไป
“พี่อยากให้เธอฟังแล้วจับสำเนียง เลียนแบบเสียงพวกนี้ให้ดี ตั้งใจแล้วจับออกมาเป็นคำๆ”
“ค่ะ ข้อยจะพยายามเด้อ” นวลหลุดภาษาบ้านเกิดออกมายิ้มๆ
“เริ่มเรียนจากเพลง จะทำให้เรียนรู้ได้ไว จากนั้นก็ค่อยจำเพิ่มทีละนิดทีละหน่อย เอาคำที่เราใช้ประจำก่อน ไม่นานก็พูดเป็น”
“ดีจัง นวลก็ท่องศัพท์มาได้บ้าง แต่ไม่เคยใช้จริง คงต้องเรียนอีกสักพักนะพี่”
น้อยพยักหน้า อย่างน้อยเด็กกลุ่มนี้ก็นอบน้อมและอยากเรียนรู้ น่าส่งเสริม น้อยหันไปเมื่อมีคนมาแตะข้อศอก พนักงานคนหนึ่งเข้ามากระซิบกระซาบ น้อยพยักหน้า หายไปครู่ใหญ่ก็มีคนนำเครื่องดื่มมาให้ทั้งสองคน น้อยเดินตามมานั่งด้วยอีกครั้ง
“นี่เป็นเหล้าผสมกับน้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ เขาเรียกว่าค็อกเทล อาจจะอร่อยแต่เมาง่ายมากสำหรับคนไม่เคย ดังนั้นให้ค่อยๆ จิบไป อย่าเห็นแก่ความอร่อยดื่มรวดเดียว ที่สำคัญมันแพง” น้อยบอกแล้วหัวเราะ
นวล อุรา กับอุระไปนั่งงงในดงฝรั่ง เสียงเพลงเปลี่ยนเป็นจังหวะเร้าใจเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดิม ฟังแล้วได้แต่แปลไม่ออกสักคำ ก็เลยทำท่ารื่นเริงไปกับจังหวะและทำนองสนุกของเพลง
รอบกายคนเป็นร้อยอัดแน่นอยู่ให้ห้องโถงนี้ บางโต๊ะนั่งดื่มกิน บางโต๊ะมีคนลุกขึ้นเต้นอย่างไม่แคร์สายตาใคร ยกมือยกไม้ โยกซ้ายโยกขวาอย่างเมามัน นวลรู้สึกเพลียมากตั้งแต่มาจากบ้าน เดินหางาน ไปล้างจาน และเดินมาอยู่ในที่แออัดแบบนี้ต่อ ควันบุหรี่เยอะและเหม็นกว่าบุหรี่ของพ่อ มากจนแทบจะอาเจียนอยู่แล้วแต่พยายามอดทนต่อไป








