บุปผาตีตรา บทที่ 8 : ชีวิตที่ต้องเรียนรู้

บุปผาตีตรา บทที่ 8 : ชีวิตที่ต้องเรียนรู้

โดย : สีน้ำฟ้า

Loading

บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

นวลหันไปหันมาแล้วได้สบสายตากับหนุ่มฝรั่งผิวดำคนเดิมที่เดินตามมาเมื่อตอนเย็น นวลบอกไม่ถูกว่าควรจะตกใจหรือควรจะดีใจ ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกับเขาสักหน่อย แต่เขาเป็นชายหนุ่มฝรั่งคนแรกที่นวลจำหน้าได้ ไม่ทันได้คิดจะทำอะไรต่อไป อุราก็เข้ามาลากแขนให้เดินออกไปข้างนอก แรงฉุดเหมือนจะทำให้นวลเดินปลิวออกจากบาร์ก็ว่าได้ มาหยุดที่หน้าอาคาร ด้านหลังรถสามล้อถีบที่จอดเรียงราย นวลขยับตัวหาที่ว่างๆ ยืนสูดลมหายใจลึกๆ

“อือ หายใจคล่องขึ้นนะ” นวลพึมพำออกมา ใช้มือเช็ดเหงื่อที่ผุดมาตามไรผม

“ฮ่าๆ กะแล้วข้อยเห็นเจ้าเหมือนจะเบื่อเต็มที่เลยพาออกมา” อุราหยุดเดิน มองสำรวจเพื่อนแล้วพยักหน้าหงึกหงัก ดันข้อศอกให้นวลเดินต่อ

“แล้วเจ้าล่ะ”

“ข้อยชินแล้ว กลิ่นก็งั้นๆ ปกติพ่อก็สูบบุหรี่”

“นี่กลิ่นไม่เหมือนกันนา”

“สำหรับข้อยมันคือกันติ ข้อยว่าสนุกดี” สำหรับอุราแล้วบุหรี่ก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ เหม็นจนชิน จึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับควันบุหรี่ในบาร์

“ชอบบ่” นวลมองหน้าเพื่อน

“อือ” อุราพยักหน้าตอบรับใบหน้านิ่งๆ

“จะทำงานกับเอื้อย…อ่อ พี่น้อยบ่”  นวลพยายามลากขาตามเพื่อน เมื่ออุราจูงมือพาเดินจากตรงนั้น วันนี้เหนื่อยกว่าออกไปช่วยแม่ทำงานกลางทุ่งด้วยซ้ำ

“ว่าซั่น ข้อยทำได้ นี่ข้อยไปช่วยยกเหล้า ยกกับแกล้ม ได้ทิปหลายอยู่ ข้อยแอบนับแล้วได้สองร้อยกว่าบาท”

“โห…” นวลทำตามโต อุทานคำที่ติดปากของอุราออกมาแบบไม่รู้ตัว

“งั้นติ้” อุราเอ่ยคำที่พูดจนติดปากแต่เสียงสูงปรี๊ดเหมือนจะยืนยันว่าจริง

“อือ ทองคำบาทละสี่ร้อยกว่า นี่เอาเงินทิปไปซื้อได้สองสลึงเลยนะ” นวลเป็นคนที่รักการเก็บออมและชอบทองคำเป็นพิเศษ มักจะหาฟังข่าวเกี่ยวกับราคาขึ้นลงของทองคำเสมอ เวลาพูดก็เลยเปรียบเอาราคาทองคำเป็นที่ตั้ง

อุราตบแถวๆ หน้าอก เพราะแอบซุกเงินไว้ในนั้น ยักคิ้วให้อุราอย่างภาคภูมิใจ นวลชูนิ้วโป้งหลิ่วตา

“ข้อยกับอ้ายอุระไปล้างชาม เจ้ให้ยี่สิบ ทิปอีกสิบบาท ข้อยว่ามากแล้ว เจ้าได้เยอะกว่าอีก”

“อยากชวนนวลมาทำงานด้วยกัน ไม่กี่วันพวกเราคงเก็บเงินได้ แล้วลากลับบ้านเอาเงินไปให้พ่อแม่ ข้อยว่า พ่อแม่เจ้าคงดีใจ”

“อือ แต่เจ๊ใจดีมากนะ ถ้าข้อยกับอ้ายอุระทิ้งมา ใครจะช่วยเจ๊”

“เอ็นดูเขาเอ็นเราขาดเด้ล่ะ”

“ค่อยๆ คิด บางที ข้อยเลิกงานจากเจ๊แล้ว มาช่วยเจ้าเหมือนวันนี้ก็ดีนะ งานเจ๊ไม่ได้ลำบากอะไร อยู่ที่บ้านเรา ไปทำนายังเหนื่อยกว่า เงินก็ได้น้อยกว่า”

“ตามใจ ปะ…เรากลับบ้านกัน” อุราจับมือเพื่อนออกเดิน

“บ้านไหน เออ อ้ายอุระไปไหนเนี่ย ง่วง สะลึมสะลือ ลืมอ้ายไปเลย” นวลออกอาการเลิ่กลั่ก

“ฮ่าๆ คนสวยนี่เปิ่นแท้ พี่น้อยให้คนพาอ้ายอุระไปดูบ้านพักนานแล้ว ให้ไปพักกับเพื่อนผู้ชาย พวกเราผู้หญิงกับเพื่อนพี่น้อยอีกสองคน ห้องนั้นพอนอนได้อยู่ เขาทำงานกลางคืน นวลทำงานกลางวัน สลับกันนอน พี่น้อยเช่าแบบสะดวกสบาย มีห้องน้ำในห้อง บ่ต้องไปอาบข้างนอกห้องเหมือนคนอื่น”

“แล้วเงินทองเขาจะเอาเท่าไหร่” คิ้วเธอขมวดมุ่น กังวลว่ามันจะแพงเกินเงินในกระเป๋า

“คิดเท่าๆ กันเวลาสิ้นเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟมา ตัวเลขออกมาเท่าไรก็หารสี่คน”

“ดีเหมือนกัน สบายใจ ไม่แพงบ่”

“ไม่น่าจะแพงมาก ไม่เป็นไรข้อยมีทิป ข้อยออกในส่วนของเจ้าไปก่อนก็ได้ พี่น้อยบอกอีกไม่นานสองคนนั่นจะย้าย เหลือแค่เจ้ากับข้อย ไปเถอะไป กลับกันเลยบ่ พี่เขาอนุญาตให้กลับได้ วันนี้วันแรก”

“อือ ไปสิ ข้อยง่วงหลาย” นวลหาวเอามือปิดปาก ก้าวเท้าตามอุรา

อุราเป็นฝ่ายพานวลไปยังที่พัก เพราะว่าพี่น้อยพาไปส่งแล้วหนหนึ่ง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็มาทำงานที่บาร์ นวลเหนื่อยจึงไม่ทันสังเกตว่าเพื่อนแต่งตัวแปลกไป ไม่ว่าจะเสื้อยืดรัดรูป กระโปรงที่สั้นจนต้องใส่กางเกงขาสั้นไว้ข้างใน และแต่งหน้าแต่งตาจนดูสวยกว่าทุกที

“เจ้าพาข้อยไปห้องแล้วจะกลับมาทำงานต่อไหม”

“อย่างที่บอกเมื่อกี้ วันนี้ไม่ต้องแล้ว พี่น้อยบอกไว้ว่าให้พักก่อน เพราะยังไม่ชิน พูดตามตรงก็เดินขาลากเหมือนกัน กว่าจะได้เงิน แต่มันเป็นอาชีพสุจริต ไม่ได้เหมือนที่คนในหมู่บ้านเราว่าคนมาทำงานในเมือง เป็นผู้หญิงหากิน เป็นกะหรี่”

“เออ ชาวบ้านนี่ก็แปลก คำว่ากะหรี่มันติดหน้าผากรึ ถึงได้ตีตราผู้หญิงทำงานในเมืองด้วยคำนี้”

“ก็อย่าไปสนใจติ ดีออกที่พวกเราได้เข้ามาในเมือง ข้อยจะเก็บเงินพาไปให้แม่ แม่คงดีใจหลาย”

สองสาวเดินตามกันมาบนถนนสายธุรกิจทอดยาวจนเหมือนไม่สิ้นสุด อุราพานวลเดินหลบหลีกผู้คนที่เดินขวักไขว่เต็มถนนเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ แม้จะไม่พลุกพล่านเท่าถนนใหญ่ แต่ก็ไม่เปลี่ยว ทุกบ้านที่เดินผ่านมีผู้คน บางทีก็มีร้านขายของ ร้านเสริมสวย ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายข้าวแกง

จนมาหยุดที่ห้องแถวสองชั้น ชั้นละสิบห้อง อุราบอกนวลตามที่ได้ข้อมูลมาจากน้อยว่าเป็นห้องสำหรับคนมาเช่าอยู่เป็นรายเดือน หนึ่งห้องจำกัดให้อยู่ห้องละสี่คน ถ้ามากกว่านั้นต้องจ่ายเงินพิเศษเพิ่มรายหัวแล้วแต่ตกลงกันว่าจะมาอยู่ชั่วคราวหรืออยู่เต็มเดือน ห้องไหนอยู่สองคนก็จ่ายสำหรับสี่คนก็ได้ถ้ามีเงินมากพอ

เดินมาถึงหน้าห้อง อุราหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าสะพาย ไขกุญแจเดินนำเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยม ข้างประตูมีหน้าต่างไม้ที่ปิดไว้มีลูกกรงกั้นไว้ด้วย ห้องนี้แบ่งเป็นสัดส่วน ที่นอนเป็นเหมือนผ้านวมหนาพับซ้อนกันไว้มุมห้องเหมือนว่าใครจะนอนก็นำมาปู ห้องน้ำอยู่ในสุด มีกล่องกระดาษซ้อนกันเป็นระเบียบ มันคือกล่องเสื้อผ้าที่ซักสะอาดแล้วมีชื่อของใครของมัน แต่พี่น้อยบอกว่าสามารถตกลงกันได้ว่า ยืมเสื้อผ้า หรือแลกเปลี่ยนกันได้ ใส่แล้วซักให้สะอาดเอามาคืนที่เดิม

นวลมาถึงตรงนี้ก็ตาแทบจะปิดแล้ว มีกันเพียงสองคนอุราบอกนวลให้อาบน้ำอาบท่าให้สบายก่อนนอน ห่อผ้าของนวลกับอุราเอามาวางอยู่ใกล้กล่องกระดาษยังไม่ได้จัด นวลไปเปิดถุงผ้าตัวเองเลือกหยิบกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดเข้าห้องน้ำไปด้วย

อุราบอกว่ารอได้ แต่พอนวลอาบน้ำเสร็จออกมา เห็นเพื่อนรักเอาหมอนมาหนุนนอนบนพื้นโดยไม่ปูที่นอนหลับไปแล้ว เพื่อนคงเหนื่อยไม่น้อย นวลไม่อยากรบกวนจึงทำตาม ไปหยิบหมอนมานอนใกล้กันโดยไม่ต้องเอาที่นอนมาปู แล้วก็ผล็อยหลับไปแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอน

 

นวลลืมตาตื่นตามความเคยชิน เรียกว่าหลับรวดเดียวยันเช้า ไม่รู้เวลาเพราะไม่เคยมีนาฬิกา ตื่นตามเวลาของร่างกาย อุรายังหลับอยู่ อากาศคงจะเย็นอุราจึงนอนขดตัวกอดอก นวลย่องไปหยิบผ้าห่มมาคลุมให้เพื่อนแล้วเดินหย่งตีนเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวน ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันลวกๆ หวีผมจัดแจงผูกให้เป็นพวงหางม้าเหมือนเคย พยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุด

นวลเตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอกในชุดเดียวกันกับที่ใส่ตอนนอน กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีน้ำเงินคอวี มีลายการ์ตูนที่หน้าอก ชายเสื้อมีจีบระบายรอบตัว เมื่อคืนหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนผ้าเธอได้ย้ายเงินที่พกติดตัวมากับเงินค่าแรงที่ได้มาจากเจ๊ใส่ในกระเป๋ากางเกงตัวนี้แล้ว ล้วงดูเพื่อความมั่นใจพบว่ามันยังอยู่ครบ จากนั้นก็ย่องออกประตู ปิดเบามือ

น้อยเคยเล่าให้ฟังเรื่องหอพักในเมือง แบ่งเป็นอาคารหญิง อาคารชาย เพื่อความปลอดภัย แต่บางแห่งก็รวมๆ กัน น้อยบอกว่าเธอและเพื่อนร่วมงานเลือกแบบแยกอาคาร แต่บางทีเพื่อนข้างห้องบางทีก็อุตริ ขนาดอยู่กันสี่คนต่อห้องยังอุตส่าห์หาช่องว่างเอาผู้ชายเข้ามานอนด้วย

นวลที่เคยฟังผ่านหู เพิ่งมาเข้าใจวันนี้เอง วันที่มาเห็นด้วยตาตัวเอง ตอนเดินออกจากห้องมาสวนทางผู้หญิงคนไทยและผู้ชายฝรั่งท่าทางเมา เดินประคองกันมาหายเข้าไปในห้องข้างๆ เธอเดินออกจากซอย ฟ้าเพิ่งสว่างมีแต่ตึกรามบ้านช่อง ส่วนใหญ่จะปิดประตูเงียบ เหมือนเมืองที่กำลังหลับใหล แสงไฟนีออนดับลงไปเยอะแล้ว มีฝรั่งวิ่งออกกำลังกายสวนทางไปสองสามคน นวลเดินไปเรื่อยๆ มีร้านขายของกินเปิดอยู่ ล้วงกระเป๋าเช็กเงินในกระเป๋ากางเกงอีกรอบก่อนจะเดินเข้าไปแบบขัดเขิน

มีคนนั่งอยู่ในร้านหลายโต๊ะ และไม่น่าเชื่อว่าเจอเขาอีกแล้ว ผู้ชายฝรั่งผิวดำคนนั้นมานั่งกินอยู่ในร้านด้วย วันนี้เขาแต่งชุดทหาร เท่ บาดตาบาดใจ นวลสบตาเขาแล้วเสหลบมองพื้นแบบเขินๆ ไม่กล้าทักทาย นวลจำเขาได้แต่เขาไม่น่าจะจำเธอได้ และคงไม่รู้หรอกนะว่านวลแอบมองเขาตั้งแต่เมื่อวาน

“กินหยังดีอีหล่า” แม่ค้าตะโกนทักเสียงใส

“โอ๊ะ แม่ค้าคือคนบ้านเฮาบ่”

นวลดีใจมากที่แม่ค้าพูดภาษาถิ่นด้วย จริงๆ ในเมืองก็ไม่ได้มีคนพูดภาษาไทยกลางทั้งหมด สองคนเลยพากันเว้าภาษาบ้านเกิดรัวๆ

“มาใหม่ละสิ เพิ่งเคยเห็น ปกติผู้หญิงแถวนี้ตื่นสาย”

แม่ค้ายิ้มๆ แล้วแนะนำอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ที่เธอขายเป็นอาหารเช้าของพวกฝรั่ง มีขนมปัง นม เนย ไข่กวน แฮม เบคอน

นวลยิ้มอาย บอกว่าไม่เคยรู้จัก ไม่เคยกินเลย อาหารพวกนี้เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็น

“เขาขายแพงไหม”

“ขายเป็นชุด เจ้ามาใหม่เดี๋ยวลดให้ ชุดละสิบบาท ปกติขายฝรั่งอยู่ยี่สิบ”

“โฮ้…”

นวลอุทานเสียงหลง แม่ค้าหัวเราะ เพราะเข้าใจนางเองก็เคยเป็นคนบ้านนอกคอกนา เห็นแต่วัวแต่ควาย มาเจออาหารเช้าชุดละสิบบาท ถ้าเทียบกับอยู่บ้านนอก สิบบาทอาจซื้อของกินได้ครึ่งเดือน หรืออาจอยู่ได้เป็นเดือนเลย เก็บผักในสวน ตกปลาจากหนอง มีไข่ไก่ในเล้า อยู่ได้สบายๆ

“เจ้ากินไปเถอะ เดี๋ยวเอื้อยลดราคาให้อีก ถือว่าเป็นพี่เป็นน้องกัน ยินดีที่ตัวมาอุดหนุน เช้าอย่างนี้ไม่มีร้านไหนเปิดดอก”

“เอื้อยคือขยันแท้เนาะ”

แม่ค้ายิ้มอารมณ์ดี จัดแจงทำอาหารเช้าชุดพิเศษให้สาวน้อยที่เพิ่งพบหน้าครั้งแรก หน้าตาน่าเอ็นดู ชวนให้คิดถึงลูกสาวเธอที่ส่งไปเรียนในบางกอก

“ลูกเอื้อยก็น่าจะอายุเท่าเจ้านี่ละ สิบเจ็ดปีบ่” แม่ค้ายืนเอียงคอมองเธออย่างพิจารณา

นวลสบตาด้วย ยิ้ม พยักหน้า คิดในใจว่าแม่ค้าคิดถึงลูกนี่เองถึงได้ใจดีกับเธอนัก

“ลูกเอื้อยไปไหนล่ะ”

“ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพ แล้วก็ทำงานที่โน่นเลย ไม่ยอมกลับมาหาแม่”

“เอ้า ลูกคนเดียวบ่”

“ใช่ ลูกสาวคนเดียว พ่อมันตายตั้งแต่ยังหน้อย แม่มันนี่ละ ขายของเลี้ยงมาจนใหญ่”

“เก่งแท้ แถมยังได้เรียนหนังสือสูงๆ”

ปากคุยไป มือก็ทำอาหารไปอย่างมืออาชีพที่แท้จริง แป๊บเดียว จานอาหารเช้าก็มาวางตรงหน้า จานใหญ่เบ้อเริ่ม นวลสารภาพแบบซื่อๆ ว่ากินไม่เป็น ใช้ช้อน ใช้ส้อม หรือใช้มือหยิบเลยได้ไหม แม่ค้าหัวเราะ ก็เลยสอนวิธีกินแถมด้วยสอนศัพท์ว่าภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าอะไร

“มีขนมปังปิ้ง เวลากินให้ทาเนย นี่อันนี้ หรือทาแยมหวานๆ แล้วก็ไข่กวน แฮม” แม่ค้าเอ็นดูสาวน้อยจริงๆ ยิ่งคำสารภาพซื่อๆ ไม่มีจริตเหมือนพวกเมียเช่าทั้งหลายยิ่งน่าเอ็นดูเข้าไปอีก

“รู้จักกาแฟไหม เคยกินไหม ขมๆ ใส่นมกับน้ำตาลได้ คนไม่เคยกินต้องกินแบบจางๆ ก่อนไม่งั้นเดี๋ยวจะใจสั่น แต่ฝรั่งชอบกินกันมาก เขาเรียกว่า ดื่มกาแฟ”

แม่ค้าพูดด้วยภาษาไทยกลาง ภาษาถิ่นบ้านเกิด ภาษาอังกฤษ ปนกันมั่วไปหมด แต่นวลเป็นคนจำเก่ง ค่อยๆ จำทีละอย่างๆ

แต่พอมากๆ เข้า เธอเริ่มส่ายหน้า ขมวดคิ้ว ไม่ได้ไม่พอใจ แต่ศัพท์ภาษาอังกฤษประเดประดังโถมถาเข้ามาใส่จนล้น จำแทบจะไม่หมดอยู่แล้ว

เจสัน ทหารเกณฑ์หนุ่มวัยยี่สิบสามปี นั่งอยู่ในร้านก่อนแล้ว มองดูสาวน้อยที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านด้วยความสังเกต เดาเอาว่าคงจะเพิ่งมาอยู่ เสียงเจื้อยแจ้วน้ำเสียงสดใส รอยยิ้มที่แต้มบนแก้มอิ่มบนใบหน้ากลมเหมือนพระจันทร์สว่างสดใส เล่นถามตอบกับแม่ค้าทำให้เขามองอย่างเพลิดเพลิน และพอเห็นเธอเริ่มรับไม่ไหวกับคำพูดแม่ค้าที่เริ่มปนกัน วนไป วนมาเลยอมยิ้มอย่างเอ็นดู น่าจะต้องช่วยเธอหน่อยไม่งั้นวันนี้คงไม่ได้กินแน่แท้ แม่ค้าพูดมากซะขนาดนั้น

“แม่ค้า”

เขาเรียกหญิงตัวอ้วนที่แต่งกายสะอาดสะอ้าน เสื้อสีขาว ผ้าซิ่นลายดอกไม้โตๆ มีผ้ากันเปื้อนคาดเอว เมื่อเห็นว่าฝ่ายแม่ค้ารามือจากการสอน แล้วปล่อยให้สาวน้อยหน้าหวานนั่งพิจารณาของกิน กินไปพูดพึมพำฟังแล้วก็เหมือนพยายามจะเลียนเสียงที่แม่ค้าสอน แม้จะเป็นภาษาอังกฤษที่ผิดเพี้ยนในสำเนียงแต่เขาก็ฟังออก

“ค่ะ รับอะไรเพิ่มดีคะ คุณเจสัน”

แม่ค้าที่มีอัธยาศัยดี ขายเก่ง มักจะจำชื่อและรายละเอียดของลูกค้าประจำของตนเองได้เสมอ

 



Don`t copy text!