
ภาคินีสีเลือด บทที่ 37 : แผนร้าย
โดย : วิญวิญญ์
ภาคินีสีเลือด นวนิยายออนไลน์ โดย วิญวิญญ์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เป็นนวนิยายที่ผสมผสานความเชื่อท้องถิ่น ศิลปะการแสดงโนราห์ และความลึกลับเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
************************
– 37 –

หลวงพี่สินหาเวลาว่างมาฝึกกรรมฐานให้กับชนม์นรีได้ในช่วงกลางของการปฏิบัติธรรม ก้มกราบพระเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะเริ่มฝึก หญิงสาวตัดสินใจเล่าสิ่งที่เห็นในมโนทวารเมื่อคืนให้ท่านฟัง ก่อนเอ่ยถาม
“หลวงพี่คะ สิ่งที่หนูเห็นมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ หรือหนูคิดปรุงแต่งเรื่องราวไปเอง”
“ใช่แล้ว…เรามีกรรมผูกพันกันนะโยม…หลวงพ่อท่านจึงสามารถช่วยเหลือโยมได้ในหลายๆ เรื่อง แต่ตอนนี้สิ้นพ่อท่านเข้มแล้ว ก็เหลือเพียงหลวงพี่ที่พอจะชี้แนะทางสว่างแก่โยมได้”
“จนบัดนี้ หนูยังไม่ทราบเลยว่าไปทำอะไรให้เขาหนักหนา รู้เพียงแต่ว่าชีวิตในชาติที่แล้วมันช่างหดหู่สิ้นหวังไปเสียทุกเรื่อง รับรู้ได้ว่าบัวแก้วอยากจะไปเสียให้พ้นๆ จากสภาพที่เป็นอยู่”
ชนม์นรีกล่าวเป็นทำนองขอความคิดเห็นจากหลวงพี่สิน
ภิกษุในร่างสันทัดด้านหน้ามองกลับมาอย่างปรานีก่อนพูดขึ้นช้าๆ ว่า
“พ่อท่านเข้มให้โยมมาปฏิบัติกรรมฐานเพื่อสร้างบุญใหญ่ และให้โยมได้รู้ถึงสิ่งที่กระทำในอดีต จะได้ขออโหสิกรรมเขาได้ถูกจุด…ยันต์ที่โยมติดตัวตลอดเวลา แท้จริงแล้ว หลวงพ่อได้ใช้อำนาจจิตถ่ายเทพลังปราณของท่านไว้ จึงมีพลังของหลวงพ่อสถิตอยู่ตลอดเวลา โยมจะสังเกตได้ว่าเมื่อคล้องแล้วโยมจะเกิดภาพนิมิตเกี่ยวกับอดีตของโยมอยู่บ่อยๆ แต่มักเป็นในยามที่โยมหมดสติ หรือฝัน…แต่ในวันนี้ หลวงพี่เชื่อว่าโยมจะได้เห็นภาพเหล่านั้นในสมาธิ ขอให้โยมตั้งจิตให้มั่น หากโยมรู้สาเหตุ โยมจะได้ขออโหสิกรรมแก่เขาได้ตรงจุด และจิตที่มีสมาธิตั้งมั่นจะทำให้การแผ่เมตตาส่งผลเต็มเม็ดหน่วย…สุดท้าย เขาอาจจะยอมละความอาฆาตที่มีกับโยม”
“อาจจะ…หรือคะ”
ภิกษุหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ก่อนกล่าวเสียงเนิบๆ ว่า
“ดวงจิตดวงวิญญาณบางดวงก็ถูกครอบงำด้วยแรงแค้นแรงพยาบาทแน่นหนา ยากที่จะอโหสิกรรม…ในขณะเดียวกันจิตของโยมเองก็ยังเต็มไปด้วยกิเลส เปรียบดั่งใช้ขันทะลุตักน้ำใส่โอ่งที่รั่ว ตักเท่าไรก็ไม่เต็ม…การมาปฏิบัติครั้งนี้ก็เท่ากับมาซ่อมภาชนะทั้งสอง ด้วยความหวังว่าจะสำเร็จ”
ชนม์นรีผงกศีรษะอย่างเซื่องซึม เพราะไม่อาจตัดความกังวลไปได้
“เอาละ ขอให้โยมตัดเรื่องรบกวนใจทิ้งไปเสียให้หมด ทำจิตให้สงบ รวมกันให้เป็นหนึ่ง และฟังเสียงของหลวงพี่ ทำตามที่บอกนะ…โยมน้อมจิตมาจดจ่อที่ลมหายใจเข้าออก ภาวนาพุทโธๆ ช้าๆ ปล่อยลมหายใจเข้าออกไปตามธรรมชาติ อย่าฝืน อย่าเร่ง…”
ชนม์นรีในท่าขัดสมาธิพยายามทำตามที่หลวงพี่บอก ในช่วงแรกจิตของเธอซัดส่ายเพราะส่งออกนอกตลอดเวลา คอยแต่ฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องราวต่างๆ อย่างวุ่นวายสับสน หญิงสาวระลึกถึงยันต์ที่แขวนติดตัว จึงอธิษฐานจิตขอพึ่งบารมีของพ่อท่านเข้ม…สักครู่ จิตของเธอก็เริ่มจดจ่อกับลมหายใจที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ…เพียงไม่นานก็ด่ำดิ่งสู่ภวังค์
ครั้นแล้วเมื่อสัญญาเก่ากลับมา…ภาพในอดีตของตนเองก็ปรากฏให้เห็นเป็นฉากๆ
บัวแก้วเหลียวมองซ้ายแลขวาอย่างประหม่า เมื่อเห็นว่ามีเพียงบัวสายอยู่คนเดียวในห้องก็รีบเดินเข้าไปแล้วงับประตูปิด
‘พี่บัวสาย…’
น้ำเสียงและสีหน้าของคนเป็นน้องเศร้าหมอง แต่ก่อนที่จะได้กล่าวอะไรอีก น้ำตาแห่งความทุกข์ระทมก็เอ่อล้นขอบตาคู่งาม
‘เป็นกระไรไปรึ บัวแก้ว?!’
น้ำเสียงของบัวสายร้อนรน โน้มร่างบางนั้นเข้ามาตระกองกอดอย่างสงสารและรักใคร่ จมูกซุกไซ้ไปตามไรผม
บัวแก้วแทบอยากจะสะบัดเสียให้พ้นจากการเกาะกุมเดี๋ยวนั้น แต่พยายามซ่อนความรู้สึกขยะแขยงไว้ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ แล้วพูดในสิ่งที่ตนเองตั้งใจออกไปว่า
‘นับแต่วันที่ทุกคนรู้ว่าข้าไม่ใช่ลูกในไส้ของพ่อกับแม่ แต่เป็นลูกของน้าจำปูน เอ่อ…น้าดวง และแม่ข้ายังเป็น…เป็น…หญิงโคมเขียว…ข้าก็ทุกข์ทรมานใจมากพออยู่แล้ว ซ้ำยังถูกพี่บัวเผื่อนรังแกย่ำยีจิตใจอยู่เรื่อย พ่อก็ไม่เคยให้ความยุติธรรมแก่ข้าเลย…เหมือนไม่สนใจไยดีข้าด้วยซ้ำ ข้าไม่อยากกลับไปอยู่กับพ่อกับแม่แท้ๆ ของข้า ทุกคนเหมือนคนแปลกหน้าที่ข้าไม่ผูกพันอันใดด้วยเลย ข้าอยากจะอยู่กับพี่ แต่ข้าก็อยู่ที่นี่ไม่ได้เช่นกัน…พี่บัวสาย”
หญิงสาวพูดพลางสะอื้น
นายเหยียงขอฝากฝังบัวแก้วกับครอบครัวนายดำไว้ก่อน ตนกับบุตรชายอาจใช้เวลาหลายอาทิตย์ เพื่อจัดการเรื่องที่พักก่อนจะไปตามหาและพูดคุยเจรจากับนางดวงเสียให้เข้าใจกัน หากตกลงกันได้แล้ว จึงค่อยแวะกลับมารับบุตรสาวไปอยู่ด้วยกัน
‘เอ็งใจเย็นเถิด บัวแก้ว…หากเอ็งไม่อยากไปอยู่กับพ่อแม่แลพี่ชายเอ็ง พี่จะช่วยพูดกับพ่อให้’
‘ไม่…พี่บัวสาย ข้าทนอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ อับอายคนเขาเรื่องชาติกำเนิด จนมิอาจสู้หน้าใครเขาได้…ข้าอยากจะหนีไป…ข้าอยากจะหนีไปให้ไกล พี่บัวสายไปกับข้าเถิดนะ เราจะได้อยู่คู่กัน นะพี่…นะพี่’
บัวแก้วเว้าวอน ด้วยสีหน้าและแววตาหม่นหมองอย่างคนทุกข์หนัก
บัวสายเมื่อฟังความจบแล้วหัวใจก็เต้นโครมคราม แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน หล่อนคิดสับสนในความคิดว่าจะทำอย่างไรดี ใจหนึ่งสงสารบัวแก้วจับใจ ซ้ำตนเองก็อยากจะหนีไปให้พ้นกับสภาพที่บิดาข่มเหงวางอำนาจ รักลูกลำเอียง และอยากไปอยู่ร่วมกับบัวแก้ว–คนที่ตนรัก แต่อีกใจหนึ่งก็ประหวั่นหวาดกลัวไปนานานัปการ หากหนีไม่พ้น นายดำผู้บิดาคงทุบตีเอาจนสาหัส และหากใครรู้ก็อับอายคนเขาไปทั่ว แต่หากหนีพ้น จะต้องลำบากระหกระเหินกันไปถึงไหน และมีชีวิตอยู่อย่างไร อีกทั้งจะถือว่าเป็นการอกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้า
‘ฉันจะขอให้พี่พุ่มช่วยพาเราหนีไป หากหนีพ้นแล้ว เราก็จะขอแยกไปตามทาง พี่ตกลงเถิดนะ’
บัวแก้วเร่งเร้าเมื่อเห็นบัวสายอึกอัก
‘พี่เห็นใจเอ็งนัก และก็อยากจะไปอยู่กับเอ็ง แต่เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก…ขอเวลาตรองดูก่อน’
บัวสายเอ่ยเสียงแผ่ว คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันอย่างยุ่งยากใจหนัก
‘พี่พุ่ม…พี่จำเรื่องที่ข้าบอกได้หรือไม่ พ่อจะให้พี่บัวสายออกเรือนเดือนอ้ายนี้แล้ว’
‘เอ็งว่ากระไรนะ! ทำไมจึงเร็วเยี่ยงนี้ ครั้งก่อนยังไม่กำหนดวันมิใช่รึ’
ร่างเข้มกำยำวางมือจากเบ็ดตกปลาหันมามองหน้าคนบอกข่าวอย่างไม่เชื่อหู มิได้เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่าหญิงสาวตรงหน้าที่คุ้นเคยกันมาแต่เล็กแต่น้อย กำลังพูดปดคำโตเพราะมีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง
พุ่มไม่ได้พบเจอใครจากเรือนนายดำเลยในช่วงหลายอาทิตย์มานี้ มีเพียงบัวแก้วคนเดียวที่ดูจะเข้าออกได้เป็นอิสระ ความเคลื่อนไหวทุกอย่างภายในบ้านของคณะละครชาตรีเลื่องชื่อจึงผ่านปากของบัวแก้วทั้งสิ้น
เรื่องที่เกิดภายในเรือน นายดำกำชับทุกคนนักหนาว่าให้เย็บปากเสียให้สนิท หากมีใครแพร่งพรายจะลงโทษอย่างหนักถึงขนาดไล่ออก ดังนั้นจึงหามีชาวบ้านคนใดล่วงรู้เรื่องน่าอับอายของครอบครัวเจ้าของคณะละคร
‘พ่อเกิดรู้ว่าพี่ไปแอบพบพี่บัวสายในวันลอยโคม พ่อโกรธมาก…”
‘แล้ว…นายดำรู้ได้เยี่ยงไร’
สีหน้าของพุ่มบ่งบอกว่าตกใจและหวั่นวิตกชัด
บัวแก้วซ่อนยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนเอ่ยว่า
‘พี่บัวเผื่อน…พี่บัวเผื่อนเป็นคนบอกจ้ะ พอพ่อรู้พ่อเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่งามระหว่างพี่กับพี่บัวสาย จึงให้เร่งงานแต่ง’
หญิงสาวหยุดเพื่อสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าพุ่มมีท่าทางกลัดกลุ้มและครุ่นคิด เธอก็รีบกล่าวต่อไปว่า
‘พี่ปลงใจแน่แล้วใช่หรือไม่ที่จะพาพวกข้าหนีไป’
บัวแก้วจ้องมองหน้าคมสันนั้นอย่างคาดคั้น หมายจะได้เห็นแววมุ่งมั่น แต่ทว่ากลับผิดไปจากที่คาดถนัด พุ่มแสดงความลังเล ชายหนุ่มกำลังคิดตรึกตรองอย่างหนักว่าหากเขาหนีไป ครอบครัวก็จะขาดที่พึ่งไปคนหนึ่ง ฐานะทางบ้านที่ยากจนอยู่แล้วก็จะยิ่งย่ำแย่ลง นึกสงสารพ่อแม่พี่น้องจนยากจะตัดใจ
เห็นดังนั้น บัวแก้วก็พอเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ จึงรีบขู่สำทับว่า
‘ถ้าพี่ไม่ทำ ชาตินี้จนตายพี่ก็หามีทางสมหวังได้ออกเรือนกับพี่บัวสายไม่ พ่อรังเกียจพี่เสียยิ่งกว่าอะไร พี่ก็รู้…พี่หนีไปแล้วพอสร้างครอบครัวมีลูกกับพี่บัวสาย ก็ค่อยกลับมาขอขมา ถึงเวลานั้น ข้าเชื่อว่าพ่อจะให้อภัยพี่และพี่บัวสายอย่างแน่นอน’
จนด้วยทางออก และเมื่อพิจารณาคำพูดของบัวแก้วแล้วก็เห็นจริงตามนั้น ชายผู้อาภัพทั้งเงินและยศศักดิ์อย่างเขายอมรับกับตนเองว่าไม่มีทางอื่น หากต้องการครองรักกับสตรีผู้เป็นยอดดวงใจ เขาต้องวิวาห์เหาะเท่านั้น…
พุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
‘ขอบใจเอ็งมากนะบัวแก้ว เอ็งมีน้ำใจกับพวกข้าจริงๆ ยังยอมเสียสละเสี่ยงหนีไปกับพวกข้าอีก…ไม่รู้จะตอบแทนเอ็งได้เยี่ยงไรในชาตินี้’
เขามองหน้าหญิงสาวอย่างซึ้งใจ บัวแก้วคลี่ยิ้มเพียงมุมปาก แต่หัวใจกลับเบิกบานลิงโลด
‘ไม่เป็นไรดอกพี่ ข้ารู้จักพี่มาแต่เล็กแต่น้อย ส่วนพี่บัวสายก็เป็นพี่สาวที่ข้ารัก เพียงแค่นี้ ข้ายอมเสียสละได้…พี่เกรียมตัวให้พร้อมเถิด แรม 13 ค่ำที่จะถึงนี้ เวลา 4 ทุ่ม ไปพบกันที่ท่าน้ำ’
‘หากทะลุไปถึงคลองแสนแสบได้เราจะมุ่งเหนือไปถึงบางปะกง ที่ใดดินดีน้ำสมบูรณ์ เราจะปักหลักปักฐานที่นั่น’
พุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาหมายมั่น
ดวงตากลมรีคู่งามวาววามขึ้นด้วยประกายยินดีลึกล้ำ เพราะเหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าว ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนที่คิด
พุ่มไม่เคยคิดเฉลียวใจเลยว่าบัวสายมีใจให้กับเขาเหมือนอย่างที่เขามอบใจรักภักดีให้กับหล่อนหรือไม่ คิดเชื่อเสมอว่าหล่อนเองก็รักเขาไม่ต่างกัน…
บัวสายกำลังง่วนอยู่กับงานฝัดข้าวตอนที่บัวแก้วกลับมาถึง คนน้องดึงตัวพี่สาวไปในที่ลับตาเพื่อมิให้คนในบ้านล่วงรู้ความลับที่กำลังจะพูด หญิงสาวกระซิบเสียงแผ่วเบา
‘แรม 13 ค่ำนี้ เกรียมตัวเสียให้พร้อม ข้านัดพี่พุ่มไว้แล้วที่ท่าน้ำ’
กล่าวจบบัวแก้วก็รีบผละขึ้นเรือนด้วยเกรงใครจะพบเห็นหรือได้ยินเข้า
แต่ทว่าหญิงสาวไม่ได้สังหรณ์ใจแม้แต่น้อยว่ามีสายตาคู่หนึ่งลอบสังเกตอยู่ตลอดจากข้างบานหน้าต่างบานหนึ่งบนเรือน…
หลวงพี่สินปลุกชนม์นรีออกจากสมาธิในราวเพล ชนม์นรีกราบลาหลวงพี่สินแล้วก็เดินออกจากโบสถ์ไปยังหอฉัน หญิงสาวตั้งใจไปร่วมงานฌาปนกิจศพของอนุกานดาที่จะเริ่มในช่วงบ่าย จึงต้องรีบจัดการเรื่องส่วนตัวเสียให้เรียบร้อย
นางโง้ยและนายก๊าวมาร่วมทำบุญที่วัดด้วย และจะอยู่จนถึงพิธีเผาศพ
“บวชแล้วเป็นยังไงบ้างลูก สงบไหม เขายังมารบกวนหรือเปล่า”
นางโง้ยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“หนูเห็นเขาในนิมิตตลอดเลยค่ะ คงใกล้จะรู้แล้วว่าหนูไปทำอะไรเอาไว้”
“ป๋าอยากให้เรื่องมันจบเร็วๆ หนูจะได้กลับมาอยู่บ้านเสียที ป๋าทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงเลย”
ชนม์นรียิ้มตอบบิดาอย่างเศร้าซึม นึกสงสัยว่าบิดามารดาของเธอจะเป็นทุกข์ใจแค่ไหนหากรู้ว่าการปฏิบัติธรรมครั้งนี้อาจจะไม่ใช่ทางจบปัญหาอย่างที่หวังก็ได้
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 38 : นิมิตสยอง
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 37 : แผนร้าย
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 36 : ครอบครัวที่พลัดพราก
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 35 : มรณกรรม
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 34 : ความจริงอันขมขื่น
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 33 : ราตรีแสนสุข
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 32 : แตกหัก
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 31 : สิงสู่
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 30 : ความผิดหวัง
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 29 : น้าจำปูน
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 28 : พ้นพันธนาการ
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 27 : ผิดคาด
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 26 : ผู้รอด
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 25 : อีลูกเจ๊ก – อีลูกนอกไส้
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 24 : บ้านละคร
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 23 : ดลจิตดลใจ
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 22 : ถอนสาบาน
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 21 : หมอดูญาณทิพย์
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 20 : ซ้อมใหญ่เพื่อชัยชนะ
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 19 : ความร้าวฉาน
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 18 : อดีตไกลโพ้น
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 17 : จิกซอว์
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 16 : โรงภาพยนตร์หลอน
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 15 : กูมาเตือน
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 14 : เราเคยรู้จักกัน
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 13 : คำสาบาน
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 12 : เหตุร้าย
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 11 : โลกกลม
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 10 : ฝันประหลาด
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 9 : ยันต์คุ้มภัย
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 8 : พ่อท่านเข้ม
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 7 : เรื่องคาใจ
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 5 : หนุ่มนักกีฬา
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 4 : ลาก่อน
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 3 : กลับรัง
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 2 : เรื่องสยองซ้ำสอง
- READ ภาคินีสีเลือด บทที่ 1 : ภาพหลอน