ทิวากาลกับความรัก บทที่ 3 : ความจริงหรือความฝัน
โดย : ปรียนันทนา
ทิวากาลกับความรัก โดย ปรียนันทนา ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ที่เพจ มีน พงษ์ไพบูลย์
****************************
– 3 –
กลิ่นหอมของดอกพิกุลลอยมาบางเบา ชายหนุ่มรู้สึกสงบในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาหันหน้าเข้าหาอาคารซึ่งดัดแปลงเรือนโบราณหลังคาปั้นหยามาเป็นโรงแรมแล้วอดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นบันทึกภาพตรงหน้าไว้ บรรยากาศยามสนธยาแตกต่างจากช่วงเวลากลางวันหากก็ให้ความรู้สึกสวยงามไม่แพ้กัน ณฐเพิ่งกลับจากรับประทานอาหารเย็นข้างนอก คืนนี้เขาตั้งใจเขียนงานจึงรีบกลับมาอีกทั้งบรรยากาศห้องพักก็ถูกใจทำให้อยากใช้เวลาสองคืนที่นี่ให้คุ้มค่าที่สุด
เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้นขณะที่ณฐกำลังยกคีย์การ์ดแตะบริเวณหน้าประตูห้องพัก เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อมกับกดปุ่มรับอย่างทันท่วงที
“ว่าไงพี่รัณ กำลังนึกถึงเลย”
“แกจะบอกว่าพี่เป็นผีเหรอณฐ”
“บ้าเหรอพี่ อย่าพูดสิ”
“ทำไม อย่าบอกนะว่านักวิทยาศาสตร์กลัวผี”
“เปล่าพี่ แค่อยู่ในบ้านเก่าเลยไม่อยากพูดเรื่องนี้เฉย ๆ”
“อยู่ไหนล่ะ”
“ก็มานอนโรงแรมแถวเจริญกรุง”
ณฐอธิบายพร้อมกับส่งภาพที่เพิ่งบันทึกเมื่อครู่เข้าไปในกลุ่มสนทนาระหว่างเขา ปารัณและมนสิชา
“บ้านสวยดีนะ”
“บ้านเก่าน่ะพี่ เจ้าของเค้าทำเป็นบูติกโฮเต็ล”
“คุณมนน่าจะชอบ”
“ชอบสิ มนชอบมากเลย”
“รู้ได้ไง ตอนนี้เค้าอยู่บนเครื่องนะ”
“ก็เมื่อตอนบ่ายผมคุยกับมนแล้ว ส่งรูปให้ดูแล้วด้วย”
“ก็ดี พรุ่งนี้จะได้พามาเที่ยวเลย กินข้าวกันไหมล่ะ ตอนเย็น”
“ได้สิพี่ ตกลงพี่จะพาคุณมนมาที่นี่ก่อนใช่ไหม”
“ใช่สิ จะไปดูว่านายติดใจบ้านจริง ๆ หรือว่ามีอย่างอื่น”
“จะมีอะไรล่ะ ผมก็มานั่ง ๆ นอน ๆ เขียนงาน”
“ก็ไม่แน่ พี่รู้สึกถึงบางอย่าง”
“พี่รัณ เดี๋ยวนี้พี่เปลี่ยนอาชีพเหรอ”
“เปล๊า แค่รู้สึกว่ะ เพราะปกตินายจะต้องติโน่นตินี่ไปเรื่อย แต่พออยู่ที่นั่นรู้สึกว่าจะสงบเสงี่ยมแปลก ๆ มีอะไรหรือเปล่าวะ”
“ก็ไม่มีนะพี่ แค่นี้ล่ะ ไปทำงานแล้ว”
ณฐกดวางสายจากปารัณแล้วลุกไปเปิดโทรทัศน์ ก่อนจะกลับมานั่งลงบนเตียงหนานุ่ม เขาหยิบโน้ตบุ๊คคู่ใจมาวางบนตักและเปิดหน้าจอ แม้ดวงตาจะจ้องมองงานที่ปรากฏตรงหน้า หากภายในใจยังมีเสียงของปารัณที่ก้องอยู่ว่าเขามีบางอย่างแปลกไป ณฐบอกกับตนเองว่าจริงเช่นที่ปารัณพูด เพราะยิ่งเขากลับมาที่นี่อีกครั้งก็เหมือนว่ามีเรื่องราวบางอย่างรอให้เขาได้เข้าไปค้นหา แต่ติดตรงที่ว่าเขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคืออะไรและทำอย่างไรจึงจะได้รู้เท่านั้น
…………………………..
ระยะทางจากสนามบินสู่บ้านของปารัณใช้เวลานานพอสมควร เขาและคู่หมั้นสนทนากันด้วยเรื่องต่าง ๆ จนกระทั่งจบลงในเรื่องเห็นตรงกันว่าควรปลุกเพื่อนของทั้งคู่ซึ่งขณะนี้คงกำลังนอนหลับอยู่ มนสิชาจึงหยิบโทรศัพท์ของปารัณออกมาและกดเรียกไปที่เบอร์ของณฐ เย็นนี้ทั้งสามคนมีนัดเจอกันโดยที่ปารัณจะพาเธอไปรับณฐที่โรงแรม
แดดอ่อนยามเช้าส่องประกายอยู่บนถนนขณะที่หญิงสาวมองท้องฟ้าเพื่อรอการรับสายจากเพื่อนสนิท แต่รออยู่นานก็ไม่มีการตอบรับจากปลายสาย มนสิชาจึงวางโทรศัพท์ลงบนตักแล้วหันมามองหน้าคู่หมั้นที่รอฟังคำตอบจากเธออยู่
“ณฐไม่รับสายค่ะ”
“สงสัยยังไม่ตื่นมั้ง” ปารัณบอกคนรัก
“คงอย่างนั้นมั้งคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงเย็นนี้ก็เจอกันอยู่แล้ว”
“ค่ะ”
มนสิชายิ้มให้คนรักและหันไปมองนอกหน้าต่างโดยวางเรื่องอื่นในใจไว้ก่อน หญิงสาวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแม้จะคล้อยตามที่ปารัณบอกว่าณฐอาจยังไม่ตื่นนอนแต่เธอกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะณฐเป็นคนที่ใส่ใจคนรอบตัวเสมอยิ่งเพื่อนสนิทเช่นเธอและปารัณซึ่งเป็นคนที่เขาคอยลุ้นให้รักกันมาอยู่พร้อมหน้า แล้วเหตุใดเล่าเขาจึงไม่รับโทรศัพท์
………………………..
เตียงนอนหนาและผ้าห่มอุ่นช่วยให้เวลาเช้ายาวนานและแสนสุข ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงพลิกตัวอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ กระทั่งเสียงสุดท้ายสิ้นสุดลงณฐจึงค่อยลืมตาขึ้นมาและมองหาที่มาของเสียง เขาพบว่าข้างกายมีเพียงโน้ตบุ๊คที่เจ้าตัวก็ไม่แน่ใจว่าเหตุใดจึงไม่อยู่บนโต๊ะข้างเตียง
ณฐลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่โต๊ะหน้ากระจก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับจาก ปารัณสามสาย ชายหนุ่มคิดว่าปารัณคงโทรมาบอกว่ารับมนสิชามาจากสนามบินแล้ว เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะ
โทรกลับไปหรือไม่แต่แล้วก็ได้คำตอบเมื่อดูนาฬิกาบนจอโทรศัพท์มือถือว่าเขาไม่ควรพลาดบรรยากาศดี ๆ รอบโรงแรมระหว่างการรับประทานอาหารเช้า
กางเกงขาสามส่วนสีน้ำเงินกับเสื้อเชิ้ตสีส้มอิฐช่วยทำให้ใบหน้าสดชื่นของชายหนุ่มดูสดใสมากยิ่งขึ้น เขาเพิ่งอาบน้ำและสระผมจึงยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของผลิตภัณฑ์บนร่างกาย ชายหนุ่มรู้สึกชื่นชมที่ทางโรงแรมคัดสรรของใช้คุณภาพดีไม่ต่างจากโรงแรมชื่อดัง
ณฐเปิดประตูไม้ขัดกลอนสีน้ำเงินเข้มออกไป กระถางต้นไม้ที่เห็นเมื่อวานหายไปแต่ไม่ได้สะดุดตาเขาเท่ากับประตูส่วนบ้านพักเจ้าของโรงแรมที่เขาเห็นเมื่อวานนั้นวันนี้กลับดูเหมือนไม่เคยมีอยู่ เขาเลี้ยวขวาผ่านห้องที่ใช้เป็นห้องเรียนก็พบเพียงประตูไม้เก่าไม่ใช่ประตูกระจกใสเช่นเดิม ยิ่งเมื่อหยุดมองเบื้องหน้าณฐก็ยิ่งสงสัยเพราะภาพตรงหน้าคือผู้คนที่เดินผ่านหน้าแต่งกายแปลกไป ทุกคนล้วนนุ่งโจงส่วนฝ่ายหญิงก็ห่มผ้าแถบ ผู้ชายไว้ผมปีกส่วนผู้หญิงมีผมทัด หลายคนฟันดำแต่ก็มองดูสะอาดตา ที่สำคัญไม่มีใครสนใจเขาเลย ณฐจึงคิดว่าวันนี้ทางโรงแรมอาจอนุญาตให้มีการถ่ายทำรายการหรือถ่ายละครย้อนยุค เพราะหากตัดความสะดวกสบาย เช่น เครื่องอำนวยความสะดวกภายในห้องพักและเปลี่ยนชุดพนักงานหรือลูกค้าเช่นเขา สถานที่แห่งนี้ก็เหมือนย้อนเวลากลับไปสมัยกรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว
ชายหนุ่มเดินมาหยุดตรงบริเวณส่วนต้อนรับแล้วสะดุดใจกับความคิดเมื่อครู่ของตน คำว่า “ย้อนเวลา” เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน แต่บรรยากาศตรงหน้าก็ไม่อาจทำให้ดอกเตอร์หนุ่มผู้ฉลาดปราชญ์เปรื่องเช่นเขายอมรับกับตนเองได้ว่านี่คือเหตุการณ์ปกติ เพราะเหลียวมองไปรอบกายก็ไม่พบว่ามีทีมงานหรือใครที่คุ้นเคยซึ่งสามารถจะอธิบายได้ว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางการถ่ายทำรายการ
ทุกอย่างตรงหน้าล้วนสมจริง ราวกับว่ามีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่แปลกแตกต่างจากผู้คนรอบกาย !
……………………………………..
ชายวัยเกษียณหากทว่ายังดูแข็งแรงกำลังเดินสำรวจไม้กระถางภายในบริเวณโรงแรม ในมือเขามีกรรไกรคู่ใจสำหรับใช้ตัดแต่งใบไม้ในกระถางให้สวยงามอยู่เสมอ เมื่อคืนนี้เขาอยู่สังสรรค์กับคนงานหนุ่มดึกไปหน่อยจนวันนี้เกือบเข้างานไม่ทัน แม้ว่าคุณวัณณ์สว่างเจ้าของโรงแรมจะใจดีไม่เคยตำหนิเขาสักครั้ง เนื่องด้วยครอบครัวเขารับใช้บ้านของเธอมาตั้งแต่รุ่นทวดของเธอ เธอจึงนับถือเขาเสมือนญาติผู้ใหญ่
“อ้าวลุงแทนตื่นแล้วหรือคะ”
“ตื่นแล้วสิ สายแล้ว” เขาตอบพนักงานฝ่ายต้อนรับที่เพิ่งมาเข้าเวรในตอนเช้า
“ก็เห็นเมื่อวานนี้ยามบอกลุงชวนน้อง ๆ ห้องนั้นก๊งกันดึกเลย” เธอหมายถึงพนักงานร้านกาแฟที่สนิทสนมกับลุงแทนทุกคน
“นิดหน่อย พอเป็นกระษัย”
“ไม่แฮ้งค์นะคะลุง”
“ไม่มี ๆ ระดับนี้แล้วสบายมั่กมาก”
เขาตอบเด็กสาวด้วยภาษาสมัยใหม่อย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินลับเข้าไปด้านหลังซึ่งเป็นส่วนห้องพักผ่อนซึ่งเจ้าของโรงแรมใช้เป็นที่สอนภาษาไทยให้กับลูกศิษย์ต่างชาติของเธอ แทนไม่รู้อะไรมากนักเรื่องการสอนแต่เขาคิดว่าคุณหนูวัณณ์ของเขานั้นช่างเป็นผู้หญิงเก่งแถมยังใจดีกับลูกน้องทุกคน เขาผู้เป็นเพียงคนเก่าแก่ที่เห็นเธอมาแต่เล็กแต่น้อยหวังว่าเธอจะประสบความสำเร็จในกิจการทุกอย่างที่เธอตั้งใจทำ
เสียงประตูห้องนอนหน้ามุมต้นไม้ที่แทนกำลังตัดแต่งดังขึ้น หมายความว่าห้องนี้มีคนเข้าพักเมื่อวานเป็นแน่ ก่อนหน้านี้เขารู้เพียงว่าห้องนี้ยังไม่เปิดให้ลูกค้าเข้าพัก แต่ตอนนี้คุณหนูวัณณ์คงตกแต่งเสร็จแล้วจึงเปิดให้บริการ แทนเห็นชายหนุ่มหน้าตาอารมณ์ดีผู้เป็นลูกค้าออกมาจากห้อง ก่อนที่เขาจะหันไปลิดกิ่งต้นแก้วที่เริ่มยาว เมื่อเงยหน้าขึ้นจากกิ่งไม้เพื่อหวังทักทายลูกค้าเพียงเสี้ยววินาทีแทนก็พบว่าชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว
ไม่มีเสียงย้อนกลับเข้าไปในห้อง ที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือทางเดินตรงหน้าเขาไม่มีใครผ่านมาเลย แทนแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดที่เห็นชายหนุ่ม
แล้วลูกค้าคนเมื่อครู่ไปไหน
ภาพชีวิตที่ปรากฏตรงหน้าณฐทำให้เขาคิดว่าช่างสมจริงจนเกินไปสักหน่อย เขามุ่งสู่บริเวณหน้าโรงแรมก็พบแต่แนวต้นไม้แน่นขนัด ไม่มีรั้วปูนฉลุลายที่เขาคุ้นตา ดูเหมือนว่าคณะถ่ายทำรายการสามารถเนรมิตแนวรั้วต้นไม้ได้รวดเร็วเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่ย่อท้อที่จะเดินหากล้องและทีมงานต่อไปทั้งที่ในใจกำลังคิดว่าภายใต้ความเป็นปกติอาจมีเรื่องที่ผิดปกติเกิดขึ้นแล้วก็เป็นได้
“นั่นใคร”
ณฐได้ยินเสียงดังกังวานก้องไปทั่วบริเวณ ขาที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักโดยพลัน แต่พร้อมกันนั้นชายหลายคนก็วิ่งผ่านหน้าเขาไป ไม่มีใครใส่ใจเขา ทุกคนล้วนวิ่งไปที่เป้าหมายเดียวกันคือชายชุดดำที่มีห่อผ้าในมือ
ชายที่มาของต้นเสียงวิ่งรั้งท้ายแล้วมาหยุดยืนมองเขาอย่างสงสัย
“เจ้าเป็นใคร พวกเดียวกับมันรึ” ณฐพินิจใบหน้านั้นอย่างฉงน เขารู้สึกคุ้นหากทว่าทรงผมและท่าทางที่แปลกตาทำให้เขาจำไม่ได้
“เปล่าครับ ผมก็เพิ่งออกมาเหมือนกัน ว่าแต่นั่นเค้าเป็นขโมยใช่ไหมครับ”
“ใช่ มันบุกขึ้นเรือนคุณพ่อ บ่าวเห็นว่ากำลังลักแหวนของคุณแม่ข้าบอกให้จึงไล่จับมาให้ได้”
“เรือน คุณหมายถึงที่นี่หรือครับ”
ณฐเงยหน้ามองเรือนปั้นหยาตรงหน้าอีกครั้งก็พบความมีชีวิตชีวาที่ต่างจากเมื่อวาน ด้วยว่ายามนี้เสมือนเรือนกำลังตื่นจากความฝันวันวานที่เขาเคยพบ เรือนปั้นหยาก่ออิฐถือปูนชั้นล่างส่วนชั้นบนเป็นไม้ มีระเบียงรอบชั้นบนเมื่อวานนี้ยังดูเงียบสงบ แต่ยามนี้มีผู้คนเดินขวักไขว่ ณฐเห็นหลายคนกำลังทำความสะอาดชั้นบน และบริเวณระเบียงโปร่งชั้นบนนั้นเขาเห็นชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามยืนอยู่
เมื่อหันกลับมามองชายข้างกายเขาก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคงเป็นพ่อลูกกัน แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรไปมากกว่านั้นณฐก็รีบผลักชายคนนั้นให้พ้นจากวิถีของมีคมที่กำลังพุ่งตรงมาจากทิศทางที่โจรกับบ่าวในเรือนกำลังชุลมุนอยู่
“ระวังครับ”
“พ่อปราณ พวกเอ็ง รีบมาดูคุณปราณเร็ว”
เสียงชายบนตึกตะโกนสั่งอย่างทรงอำนาจทำให้ณฐเห็นอีกหลายคนวิ่งมาดูชายที่ชื่อปราณ ณฐยังจับต้นชนปลายไม่ถูกแต่เขาก็เห็นว่าเหตุการณ์ชุลมุนเริ่มสงบลงเพราะโจรถูกจับได้แล้ว มีชายหน้าตาดุคนหนึ่งลากเขาออกไปโดยที่ณฐไม่รู้ว่าพาไปที่ไหน
“เป็นอย่างไรบ้างพ่อปราณ”
“มิเป็นไรขอรับคุณพ่อ แค่ล้มลงไป โชคดีที่ชายผู้นี้ช่วยลูกไว้”
“ขอบใจพ่อนะ แล้วนี่เป็นใคร ท่าทางแปลก มากับใครรึ”
“เอ่อ ผมชื่อณฐ มาคนเดียวครับ”
“พ่อณฐ ขอบใจอีกครั้งนะ ไปนั่งพักกินน้ำกินท่าก่อนสิ” ท่านเจ้าของเรือนเอ่ยจบก็เดินขึ้นเรือนไป
“ขอบใจพ่อณฐเช่นกัน” คุณปราณเอ่ย
“ไม่เป็นไรครับ แต่ผมอยากรู้ว่าเมื่อครู่ที่คุณพูดว่าบ้านนี้เป็นของคุณพ่อคุณ ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครหรือครับ”
“คุณพ่อฉันก็คือคุณพระรังสรรค์ราชกิจ ส่วนฉันเป็นบุตรคนโตชื่อปราณ”
“พระรังสรรค์ราชกิจ”
ณฐทวนชื่ออย่างแผ่วเบาแล้วคิดว่าเขาช่างฝันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดมีชื่อคุณพระเจ้าของเรือนในฝันเสียด้วย เมื่อตื่นขึ้นเขาจะต้องจดชื่อนี้เอาไว้แล้วจะได้ไปหาข้อมูลว่าตรงกันหรือไม่
“คุณปราณขอรับ”
“ว่าอย่างไร”
“คุณหลวงจากกรมช่างสิบหมู่มาถึงแล้วขอรับ”
“เอ็งไปเรียนคุณพ่อ เดี๋ยวข้าจะตามไป” คุณปราณเอ่ยกับบ่าว
“พ่อณฐ หากไม่รีบกลับเสียก่อน ขอให้รอฉันสักครู่แล้วจะมาคุยด้วยได้หรือไม่”
“อ้อ ได้สิครับ คุณไปทำงานก่อนก็ได้”
“ไม่ใช่งานของฉันหรอก ของคุณพ่อน่ะ ท่านจะหารือเรื่องการติดตั้งนาฬิกาบนพระที่นั่งภูวดลทัศไนยกับนายช่างที่มาจากกรมช่างสิบหมู่”
“ว่าไงนะครับ นาฬิกาบนพระที่นั่งภูวดลทัศไนยเหรอ”
“ถูกแล้ว พระที่นั่งที่สร้างใหม่ในหมู่พระอภิเนาวนิเวศน์อย่างไรเล่า แต่คนส่วนใหญ่อาจยังมิรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้ติดตั้งนาฬิกาบอกเวลาเพื่อให้บางกอกไม่น้อยหน้าฝรั่ง หลายคนจึงยังสงสัยเหมือนที่พ่อณฐแปลกใจ”
คุณปราณพูดจบก็ปล่อยให้ณฐยืนตรงนั้น โดยที่เจ้าตัวก็ยังคิดว่าเขาเก็บเอาเรื่องราวระหว่างบ้านหลังนี้และเรื่องที่ตนเองสนใจค้นคว้ามารวมกันจนกลายเป็นความฝัน
และดูเหมือนว่าฝันนี้จะยาวนาน ที่สำคัญคือเหมือนความจริงมากจนณฐก็ชักไม่แน่ใจเสียแล้ว