ทิวากาลกับความรัก บทที่ 4 : ทุกอย่างหยุดลง เพื่อดำเนินต่อไป
โดย : ปรียนันทนา
ทิวากาลกับความรัก โดย ปรียนันทนา ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ที่เพจ มีน พงษ์ไพบูลย์
****************************
– 4 –
ระเบียงนอกชานเป็นสถานที่รับรองแขกของท่านเจ้าของบ้านอยู่เสมอ บรรดาบ่าวไพร่ต่างทยอยนำของว่างและน้ำชาเข้ามารับรอง ชุดเครื่องถ้วยลายพรรณพฤกษาเคลือบน้ำทองจากประเทศจีนเป็นของใหม่ที่บุตรชายคนโตเพิ่งสั่งเข้ามา ผู้มาเยือนนั่งลงตรงข้ามเจ้าของบ้านแล้วยิ้มอย่างมีไมตรี นอกจากชุดของว่างและน้ำชาที่มีลวดลายแปลกตาแล้ว เรือนนี้ยังมีของประดับเป็นดินเผาซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของกำนัลจากน้องสาวของคุณพระซึ่งสมรสกับชายเชื้อสายมอญอันมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่เกาะเกร็ดโดยมีอาชีพปั้นดินเผาด้วย
“บ้านคุณพระนี่แปลกตาดีนะขอรับ”
“อย่างไรรึคุณหลวง”
“กระผมเห็นความผสมผสานหลากหลายแล้วก็นึกทึ่ง”
“อ้อ คงหมายถึงข้าวของเครื่องใช้สินะ”
“ขอรับ นอกจากเรือนที่สร้างแบบสมัยใหม่แล้ว บรรดาของใช้ก็แปลกตามิใช่น้อย”
“พ่อปราณนี่แหละช่างจัดหา ส่วนแม่ปรางกับแม่สร้อยก็เข้าคู่กันตกแต่งอย่างที่คุณหลวงเห็น”
“คุณพระหมายถึงภรรยาและน้องสาวใช่หรือไม่ขอรับ”
“นั่นแหละ เมียกับน้องสาวของฉันช่างสามัคคีกันดีแท้เทียว นี่ได้ข่าวว่าแม่ส่องคิดการทำเรื่องสนุกอะไรอีกใช่หรือไม่พ่อปราณ” คุณพระหันไปถามบุตรชายที่เพิ่งเดินเข้ามา
“น้องมิได้เล่นนะขอรับคุณพ่อ ท่าทางออกจะจริงจังทีเดียว”
“หลานสาวคนนี้แปลก ความคิดไม่เหมือนหญิงทั่วไป แทนที่จะหัดงานบ้านงานเรือน คิดดูนะคุณหลวง อยู่ ๆ จะลุกมาสอนหนังสือภาษาไทยให้ฝรั่ง”
“ก็คุณพ่อมิใช่หรือขอรับที่ส่งกระผมกับน้องไปเรียนภาษาที่บ้านหมอฝรั่งตั้งแต่เล็ก พอน้องเติบโตก็เลยมีความคิดไม่เหมือนหญิงบางกอกทั่วไป”
คุณปราณกล่าวถึงหญิงสาวนามว่าส่องอย่างเอ็นดู ครอบครัวของเขามีหลายเรือนในบริเวณเดียวกัน บ้านของคุณสร้อยผู้เป็นอาอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก สามีของเธอเป็นคนมอญที่ต้นตระกูลอพยพเข้ามาสมัยกรุงธนบุรี เมื่อมาตั้งถิ่นฐานมีหลายคนทำราชการซึ่งบ้านของคุณแม่เขาก็มีเชื้อสายมอญที่ต้นตระกูลเข้ารับราชการเช่นกัน ส่วนบ้านของนายทองสุกมีอาชีพทำเครื่องปั้นดินเผา แต่เมื่อออกเรือนคุณอากลับไม่ย้ายตามไปอยู่ที่นั่นด้วยเจ้าคุณคุณปู่และคุณย่ายินดีจะรับลูกเขยเข้ามาอยู่ในบ้าน คุณอาทองสุกอาเขยของเขาจึงย้ายมาอยู่บ้านภรรยาผู้มีฐานะสูงกว่าแต่เขาก็ไม่ได้มาตัวเปล่า เนื่องจากมีเงินทุนสำหรับมาทำอาชีพรับส่งของจากเกาะเกร็ดมาขายในบางกอก เขาจึงเป็นคนกลางที่นำของในเมืองไปส่งที่เมืองนนท์และนำของจากนอกเมืองมาขายในเมืองด้วย เมื่อทั้งสองคนมีบุตรสาวคุณพ่อของเขาก็เอ็นดูเป็นพิเศษด้วยอาสร้อยเป็นน้องสาวคนเล็กผู้เป็นที่รักใคร่ แม่ส่องจึงได้ชื่อว่าเป็นหลานรักของคุณลุงพระและเป็นน้องรักของเขาอีกคนหนึ่งเช่นกัน
“เอาเถิด อย่าเพิ่งพูดถึงแม่ส่องเลย เดี๋ยวคุณหลวงจะเบื่อเสียก่อน วันนี้เราควรหารือเรื่องการนำนาฬิกาไปติดตั้งใช่หรือไม่”
“ขอรับ กระผมเห็นว่าใกล้กำหนดวันที่จะถึงฤกษ์ติดตั้งแล้ว จึงขอเรียนปรึกษาคุณพระเรื่องบรรดาพนักงานที่เราต้องนำเข้าไปในเขตพระบรมมหาราชวัง”
“เรื่องนี้ฉันคงมิใช้คนนอก แต่ใช้คนในกรมท่าเสียเลย”
“เรื่องการเคลื่อนย้ายอาจมิใช่ปัญหาเท่ากับการตั้งเวลานะขอรับ”
“แล้วปัญหาติดอยู่ที่ใดเล่า”
“ก็เรื่องที่ท่านเจ้าคุณแจ้งว่าจะต้องมีพนักงานคอยเทียบเวลาอย่างไรเล่าขอรับ”
“คุณหลวงหมายถึงคุณลุงช่วงหรือขอรับ”
คุณปราณเอ่ยถึงเจ้าพระยาศรีสุริยวงษสมุหกลาโหมผู้ทำหน้าที่เป็นแม่กองการก่อสร้างพระอภิเนาวนิเวศน์ต่อจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติผู้เป็นอา บ้านของเขาก็นับว่าเป็นญาติกับท่านทำให้คุณพ่อได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานสำคัญยิ่งนี้ด้วย
“ใช่แล้วพ่อปราณ”
“เรื่องนั้นฉันพอรู้มาบ้าง แต่ตอนนี้ยังมิมีใครแจ้งว่าเราต้องจัดหาคนทำหน้าที่นี้เลย”
“หน้าที่เทียบเวลาคงไม่สลับซับซ้อนจนเกินไปนัก”
“หาเป็นเช่นนั้นไม่พ่อปราณ อาได้ยินมาว่าพระองค์ท่านทรงตั้งใจเรื่องการติดตั้งนาฬิกาครั้งนี้มาก ทรงคำนวณเวลามาตรฐานกรุงเทพฯ ของเราเองได้ เรียกว่าบางกอกมีนไทม์อย่างไรเล่า”
“ใช่ ฉันรู้เรื่องนี้ดี ทรงตั้งพระทัยให้บ้านเมืองเราไม่น้อยหน้าฝรั่ง ทั้งทรงศึกษาวิทยาการต่าง ๆ ตั้งแต่ครั้งทรงผนวช เวลานี้เราเริ่มถูกบีบล้อมจากคนที่เริ่มเข้ามาหาผลประโยชน์หลายทางเหลือเกิน หนทางที่แสดงว่าเราไม่ยอมจำนนก็คือการแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ด้อยกว่าใคร แต่ทรงแสดงออกอย่างมีชั้นเชิงกว่านั้นนั่นคือทำตนเป็นพวกเดียวกับคนที่เข้ามาหาแม้รู้ว่าพวกนั้นเข้ามาเพื่อจุดประสงค์อะไรก็ตาม”
“ซึ่งการสร้างหมู่พระที่นั่งก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยใช่หรือไม่ขอรับ”
“ใช่ ลูกยังมิเคยเข้าไปเห็น โปรดเกล้าฯให้ถมสระตรงสวนขวาแล้วสร้างหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ การก่อสร้างและการตกแต่งสามารถบ่งบอกได้ว่าชาวสยามนั้นสามารถก้าวขึ้นมาทัดเทียมนานาอารยะประเทศได้แน่นอน”
“เท่าที่คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังลูกก็พอนึกภาพออกได้ไม่ยากขอรับ ที่สำคัญแบบร่างการตกแต่งที่คุณหลวงเคยให้ดูก็งดงามเหลือเกิน หากได้บันทึกลงกล้องถ่ายรูปก็คงเป็นเรื่องเล่าลือกันไปชั่วลูกชั่วหลานนะขอรับ”
“ทรงมีวิสัยทัศน์ขนาดนี้ กระผมคิดว่าทรงต้องโปรดเกล้าฯ ให้มีการถ่ายรูปเก็บไว้แน่นอน”
ตลอดเวลาที่ทั้งสามคนสนทนานั้น ณฐยืนอยู่เบื้องล่างและทำทีเป็นไม่สนใจ แต่เขาได้ยินถนัดชัดเจนเรื่องที่ทั้งสามเอ่ยถึงการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอภิเนาวนิเวศน์เป็นพระราชมณเฑียรในพระบรมมหาราชวัง และพระที่นั่งภูวดลทัศไนยก็เป็นพระที่นั่งองค์หนึ่งซึ่งใช้เป็นหอนาฬิกาหลวง ไม่น่าเชื่อว่าความฝันประหลาดนี้จะพาให้เขาได้มาใกล้ชิดกับเรื่องราวที่ไม่ค่อยมีใครรับรู้มากนัก
…………………………..
ร้านกาแฟใกล้วัดราชบพิธเป็นที่พักกายให้หนุ่มสาวคู่หมั้นที่กำลังจะมีข่าวดีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า วันนี้มนสิชาและปารัณเสร็จภารกิจเรื่องขอฤกษ์แต่งงานและแยกย้ายกับบิดามารดาของปารัณเพื่อไปพบญาติผู้ใหญ่ในตอนเย็น ก่อนถึงเวลานัดทั้งสองคนจึงนั่งรอเวลาด้วยการนั่งรอในร้านกาแฟที่เป็นร้านขายหนังสือด้วย
“จนป่านนี้ณฐยังไม่รับโทรศัพท์เลยนะคะ”
“ยังเช้าอยู่เลยนะคุณมน”
“แต่เรื่องมันตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะคะ”
“ก็คุณวัณณ์สว่างเค้าบอกแล้วไงว่าลุงแทนคนสวนเห็นเจ้าณฐออกมาจากห้อง”
“หรือว่าลืมโทรศัพท์นะ”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ คุณมนอย่าเพิ่งตกใจไป ผมรู้สึกลึก ๆ ว่ามันยังอยู่ในบ้านนั้นแหละ”
“คุณพูดเหมือนว่า…”
มนสิชาพูดจบก็มองหน้าคู่หมั้นอย่างเข้าใจกันในที เพราะทั้งสองคนผ่านเรื่องราวแปลกแต่จริงที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ ข้อสันนิษฐานของปารัณอาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเธอและเขาแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก หากเป็นดังที่คู่หมั้นเธอคิดก็อยู่ที่ว่าเพื่อนของเธอจะรับได้หรือไม่ก็เท่านั้น เพราะเธอรู้ว่าณฐเป็นคนฉลาดและเก่งหากก็แฝงไปด้วยความดื้อไม่แพ้กันทีเดียว
“คุณคิดว่าจะเป็นไปได้หรือคะคุณรัณ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็มนว่าณฐคงรับไม่ได้”
“รับไม่ได้มันก็ต้องเป็นบ้า”
“ฮะ คุณพูดอะไรเนี่ย” มนสิชาทั้งขำทั้งโมโหที่เขาพูดถึงเพื่อนรักเธอเช่นนั้น
“ผมพูดจริงนะ เรื่องที่เราสองคนไปเจอมาน่ะคนอย่างณฐอาจรับไม่ได้ ด้วยความเป็นคนฉลาดและเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งสมมติว่าณฐไปเจอแบบเรานะคุณ หากมันไม่ใช้ความฉลาดคิดให้ดีก็อาจรับตัวเองไม่ได้จนเพี้ยนไง”
“พูดซะงงเลย แต่ก็อาจจะจริงแบบที่คุณพูดก็ได้ เค้าอาจจะหลอกตัวเองว่าฝันไปเรื่อย ๆ ก็เป็นได้นะคะ”
“ใช่ หลอกไปเรืื่อย ๆ แล้วไปเจออีกเรื่อย ๆ มันก็อาจจะแยกไม่ออกว่าเวลาไหนจริงเวลาไหนฝัน ก็เพี้ยนอยู่ดี”
“พอเถอะคุณรัณ ยิ่งพูดยิ่งแย่ค่ะ”
สองคนสนทนากันด้วยเรื่องสัพเพเหระ ปล่อยเรื่องเพื่อนของพวกเขาผ่านไป รอเวลาให้ความจริงได้ปรากฏ
ความจริงที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าคืออะไรเช่นกัน
…………………………….
เรือนปั้นหยาตรงหน้ามีลักษณะเหมือนโรงแรมที่ณฐพักเมื่อคืนนี้ไม่ผิดเพี้ยนกัน แต่สิ่งที่ต่างไปอย่างหนึ่งอันเป็นส่วนประกอบภายในอาณาบริเวณที่ช่วยให้ตัวบ้านดูสงบร่มเย็นก็คือต้นพิกุลที่คุ้นตาเขาหายไป ระหว่างรอคุณปราณเขาจึงเดินสำรวจรอบบ้าน แล้วก็พบว่ายังมีบ้านเรือนไทยอีกหลายหลังตั้งอยู่รายรอบเรือนปั้นหยา มองดูเผิน ๆ เขารู้สึกว่าเรือนปั้นหยาเหมือนเป็นเรือนประธานที่เป็นศูนย์รวมแห่งชีวิตของผู้คนที่อยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ ซึ่งก็คงเหมือนกับที่เขาเคยเห็นในละครเพราะในครอบครัวหนึ่งย่อมมีเรือนใหญ่ซึ่งท่านเจ้าของบ้านจะอยู่ที่นั่น
“พ่อคุณ เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ มากินน้ำกินท่าก่อนสิ”
หญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดีเอ่ยถามเขาเมื่อณฐเดินย้อนกลับไปทางเดิม
“ป้าเรียกผมหรือครับ”
“ใช่ เห็นพวกผู้ชายมันบอกว่าพ่อช่วยคุณปราณจากโจรใช่หรือไม่”
“ก็ไม่เชิงครับ”
เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเธอจึงเห็นว่าคุณป้าคนนี้กำลังสลักผลไม้ใส่จานอย่างสวยงาม หญิงสาวคนอื่นชำเลืองมองเขาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นโดยขยับเข้าไปรวมกลุ่มกันแต่ไม่มีใครเอ่ยวาจาออกมาสักคน แต่ละคนล้วนนุ่งโจงกระเบนผ้าลายดอก และห่มผ้าแถบ หน้าตาของหญิงสาวกลุ่มนี้ดูไม่เหน็ดเหนื่อยเท่าพวกแรกที่เขาเห็น แต่ละคนล้วนเนื้อตัวสะอาดและกำลังสลักผลไม้ใส่ลงในจานเหมือนกัน
“พอดีผมเห็นว่าเค้ากำลังจะขว้างมีดไปทางคุณปราณก็เลยรีบร้องเตือนให้หลบครับ”
“โถ พ่อคุณ ช่างมีน้ำใจ แล้วนี่มาจากไหนลูกเต้าเหล่าใครเล่า”
“เอ้อ ผม”
ดูเหมือนเขาก็จนปัญญาที่จะตอบคำถามนั้น แต่มีเสียงเหมือนระฆังกังวานมาช่วยชีวิตเขาเมื่อทุกคนหันไปสนใจเสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียง
“ป้าแช่มจ๋า วันนี้มีอะไรให้ฉันกินบ้าง”
ทุกคนหันไปทางที่มาของเสียงรวมทั้งตัวเขาด้วย รอยยิ้มสว่างไสวนั้นดูพร่าเลือนในแสงตะวัน แต่ท่วงท่ากิริยาที่เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบจนชายสไบสีเหลืองสะบัดก็บ่งบอกว่าเจ้าของอาภรณ์นั้นเป็นคนเปิดเผยเพียงใด
ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ณฐก็ยิ่งอยากเห็นใบหน้านั้นให้ชัดเจน เขาหยัดกายขึ้นช้า ๆ แล้วทุกอย่างก็เหมือนหยุดลง
เพื่อดำเนินต่อไปอีกครั้ง !
“คุณคะ” เสียงหวานเสนาะยังกังวานเช่นเดิม
“ครับ” ณฐกะพริบตาเพื่อไล่ความพร่าเลือน แสงรอบกายเมื่อครู่หายไปเหลือเพียงแสงจันทร์ที่ส่องประกายนวลตา แต่แสงไฟข้างอาคารก็ช่วยให้บรรยากาศรอบข้างไม่มืดมนจนเกินไปนัก
“คุณณฐใช่ไหมคะ”
“ครับ” เขาตอบคำเดิมเป็นครั้งที่สอง
“ทำไมมานั่งตรงนี้คะ ตอนนี้ทางเราตามหาคุณกันจนทั่วเลยนะคะ”
คำพูดและแววตาของเธอดูเป็นกังวลมาก
“เอ้อ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณไม่สบายหรือเปล่าคะ เมื่อวานเพื่อนคุณมาตามหาตั้งแต่บ่ายแต่พอดีลุงแทนบอกว่าเห็นคุณออกไปตอนเช้า ทางโรงแรมก็เลยคิดว่าอาจติดต่อกันได้แล้ว แต่วันนี้พวกเค้าโทรกลับมาถามอีกครั้ง ดิฉันเลยเกรงว่าอาจมีอะไรผิดปกติน่ะค่ะ”
“เพื่อนหรือครับ อ้อ ใช่ ผมนัดพี่รัณกับมนมาหาวันนี้ตอนเย็น พวกเค้ากลับไปแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวตรงหน้ามองเขาอย่างพินิจ
“เอ๊ะ คุณบอกว่าพวกเค้ามาหาผมเมื่อวานเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ เมื่อวานตอนบ่าย”
“วันนี้วันเสาร์ เมื่อวานบ่ายมนยังไม่ลงเครื่องสักหน่อย คุณจำวันผิดหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอกค่ะ วันนี้วันอาทิตย์ค่ะ”
“คุณพูดว่าไงนะครับ วันนี้วันอาทิตย์ ก็ผมเพิ่งเดินออกมาจากห้องเมื่อกี้เพื่อจะไปกินข้าว”
ณฐพูดจบพร้อมเหลียวมองไปรอบ ๆ เขาสังเกตเห็นว่าต้นพิกุลที่คุ้นตายังคงตระหง่านอยู่ที่เดิม แต่เหตุใดเขามานั่งอยู่บนสนามหญ้าข้างร้านกาแฟเช่นนี้ เขาจำได้ว่าเมื่อครู่กำลังจะมองหน้าหญิงสาวคนหนึ่งที่เสียงกังวานหวานไพเราะ แล้วเสียงนั้นกลับเป็นฝ่ายเรียกเขาเสียก่อน
“ดิฉันว่าคุณน่าจะเหนื่อย มาค่ะเดี๋ยวดิฉันพาไปพักที่ห้อง ความจริงห้องนั้นยังไม่เปิดให้พักแต่พนักงานเปิดให้แล้วทางเราก็ยินดีบริการนะคะ หากต้องการอะไรก็แจ้งได้เลยค่ะ”
ชั่วขณะที่หญิงสาวเข้าประคองเขาให้ลุกขึ้นณฐรู้สึกได้ถึงความห่วงใยอย่างจริงใจ แววตาที่เธอมองเขาเมื่อครู่ไม่ได้เต็มไปด้วยคำถามเช่นก่อนหน้านี้ แต่ขณะที่เขากำลังจะหันไปขอบคุณเธอณฐกลับรู้ได้ในเสี้ยวนาทีนั้นว่าความห่วงใยเมื่อครู่กำลังถูกแทนที่ด้วยอาการเย็นชาเพราะดวงตารียาวคู่นั้นส่งความหมายที่เขาไม่อาจตีความได้มาให้อีกครั้ง
“ลุงแทนมาพอดีเลย ช่วยพาคุณณฐกลับห้องทีเถอะค่ะ เดี๋ยววัณณ์จะไปสั่งเด็กให้จัดอาหารให้คุณเค้าก่อนค่ะ”
วัณณ์สว่างพูดจบก็ผละมือจากท่อนแขนชายหนุ่มโดยไม่เหลียวกลับมามอง ทิ้งให้ณฐยืนมองตามเธออย่างไม่เข้าใจต่อไป
“คุณวัณณ์และพวกเราเป็นห่วงคุณแทบแย่ครับ”
“ลุงแทนใช่ไหมครับ”
“ครับ” หน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตรของลุงแทนช่วยให้ชายหนุ่มลืมความสับสนชั่วขณะ
“เมื่อวานผมก็งง ๆ นะครับ เห็นคุณเดินออกมาจากห้องแล้วก็เดินหายไปไหนไม่รู้”
ลุงแทนชวนคุยขณะพาเขาเดินกลับห้องพัก ณฐได้กลิ่นแฮลกอฮอล์จาง ๆ จากตัวผู้อาวุโส แสดงว่าลุงคงเพิ่งดื่มมาแน่นอน
“ผมก็ไม่ได้ไปไหนนะครับ อยู่ที่นี่แหละ ว่าแต่เมื่อวานนี้มีคนมาถ่ายหนังหรือถ่ายรายการที่นี่หรือเปล่าครับลุง”
“ไม่มีหรอกคร้าบ ที่นี่ไม่เคยอนุญาตให้รายการอะไรถ่ายทำมาก่อนเลย”
“จริงนะครับ”
“จริงสิครับ ผมจะหลอกคุณทำไม เดี๋ยวคุณอาบน้ำแล้วพักสักครู่นะครับ ผมจะไปยกอาหารมาให้”
ลุงแทนบอกเขาเมื่อถึงหน้าห้องพัก ชายหนุ่มจึงเข้าไปนั่งพักในห้อง ร่างกายเขาไม่เหนื่อยมากหากความคิดในหัวยังเวียนวนหลายเรื่องไม่อาจบอกใครได้
ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ทำให้เขาตั้งสมมติฐานเพื่อหาความจริงอยู่เสมอ แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาวันนี้เขาก็ไม่รู้จะตั้งต้นหาคำตอบให้ตนเองว่าอย่างไร ทางเดียวที่ดีในตอนนี้ก็คือคิดว่าตนเองอาจเดินออกมาจากห้องแล้วเป็นสลบไปจนเพิ่งมีคนมาพบเมื่อครู่นี้เอง นี่เป็นคำอธิบายที่ฟังดูเข้าทีดีเหมือนกัน
แต่ในใจลึก ๆ ณฐก็ไม่ค่อยเชื่อในคำที่เขาตอบตนเองเท่าไรนัก
เพียงแค่เขายังไม่อาจหาคำใดที่ดีกว่านี้มาอธิบายได้ก็เท่านั้นเอง