ทิวากาลกับความรัก บทที่ 5 : หอนาฬิกา และ การรอคอย
โดย : ปรียนันทนา
ทิวากาลกับความรัก โดย ปรียนันทนา ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถสั่งซื้อได้ที่เพจ มีน พงษ์ไพบูลย์
****************************
– 5 –
สีสันของเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามทำให้บรรยากาศดูน่ารื่นรมย์กว่าที่เคย สตรีหลายคนยืนอยู่หน้าประตูยอดมงกุฏแถวสวนดอกไม้ต่างประเทศ แต่ละคนล้วนห่มผ้าไหมเนื้อดี ทอละเอียด บ้างสวมเสื้อคอตั้งแขนกระบอกแล้วห่มสไบจีบทับ บ้างก็ห่มสไบเฉียง ทุกคนมีใบหน้าผ่องเป็นยองใย และไว้ผมทัดคือผมปีกปล่อยปอยผมให้ห้อยลงมาข้างใบหูทั้งสองข้าง
หญิงสาวคนหนึ่งกำลังชี้ชวนให้อีกคนดูเหล่าพนักงานขนนาฬิกาเรือนใหญ่ขึ้นไปบนหอสูงห้าชั้นตรงหน้า
“แม่ส่อง ไหนบอกว่าจะตามป้ามาเยี่ยมคุณป้าใหญ่ไม่ใช่หรือแล้วมายืนรวมกับพวกคุณข้าหลวงทำไม”
คุณปรางถามส่องที่หยุดยืนอยู่นานระหว่างทางไปเยี่ยมพี่สาวของสามีซึ่งเป็นข้าหลวงในตำหนักเจ้าจอม ตอนนี้เธอให้คนมารอที่เต๊งแดงด้านหลังหมู่พระมหามณเฑียรเพื่อพาแม่ส่องและปรางเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน
“ใช่ค่ะ แต่เวลานี้ขอชมเรื่องตื่นเต้นให้เป็นบุญตาก่อนสิคะ”
หญิงสาวหันมายิ้มหวานให้คุณปรางผู้เป็นป้าสะใภ้แต่เลี้ยงดูเธอมาเหมือนลูกสาวเนื่องด้วยคุณแม่ของเธอเป็นน้องสาวคนเล็กของพระรังสรรค์ราชกิจผู้เป็นสามีของเธอ เธอมีแต่บุตรชายสองคนจึงรักเธอเสมือนลูกสาวคนหนึ่ง
“ป้าก็คิดอยู่เล้วเชียว ปกติร้อยวันพันปีมิอยากเข้าวังนักหรอก มาวันนี้กลับเป็นตัวตั้งตัวตีที่แท้ก็เจ้าวางแผนนะ” คุณปรางไม่ได้ตำหนิหากออกจะเอ็นดูหลานสาวของสามี
“เช่นนั้นคุณป้ามาดูสิคะว่าหอนี้จักสูงจนเห็นทั้งพระนครหรือไม่ หากมีโอกาสหลานใคร่ขึ้นไปชมนัก”
“คิดพิเรนทร์ ไม่มีใครเขาอนุญาตให้หลานขึ้นไปหรอก ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง อีกอย่างเจ้าก็ไม่ได้เป็นคุณข้าหลวงตำหนักใดในนี้ด้วย”
“แหม คุณป้าขา” เจ้าของเสียงหวานหันมาทำหน้าเจ้าเล่ห์
“ไฮ้ อย่ามามองป้าเช่นนั้น”
“คุณป้าก็ทราบว่าคุณลุงเป็นผู้หนึ่งที่ดูแลการก่อสร้างใช่ไหมคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ถ้าเช่นนั้นขออนุญาตให้พาหลานขึ้นไปดูข้างบนได้หรือไม่คะ”
“ไม่ได้” คุณปรางเสียงหนักแน่นแต่ในใจตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
“ทำไมเล่าคะ”
“ก็มิใช่เรื่องของผู้หญิง”
“แหม เอะอะก็ว่ามิใช่เรื่องของผู้หญิง บางอย่างผู้หญิงก็ทำได้ไม่แพ้ผู้ชายหรอกค่ะคุณป้า”
“ตายแล้ว พูดจาอวดดีนะแม่ส่อง พอแล้วไม่ต้องดู ป่านนี้คุณป้าใหญ่รอแย่แล้ว”
คุณปรางจูงมือหลานสาวออกไปจากหน้าพระที่นั่งภูวดลทัศไนยโดยที่เธอยังไม่ทันได้สังเกตเลยว่ารอบพระที่นั่งอันจะเป็นหอนาฬิกานี้มีพระที่นั่งองค์ใดอีกบ้าง ได้ยินคุณพี่ปราณเล่าให้ฟังว่าพระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งพระเจ้าอยู่หัวจะทรงใช้เป็นท้องพระโรงว่าราชการและรับรองพระราชอาคันตุกะนั้นงดงามวิจิตรเหลือเกิน เธอยัง
รู้สึกไม่อิ่มใจกับการชมเขตพระราชฐานที่แม้มีกำแพงกั้นในวันนี้เลย แต่ก็ต้องหักใจเพราะเธอต้องรีบไปพบคุณป้าใหญ่ผู้เป็นพี่สาวคนโตของคุณลุงและคุณแม่ซึ่งเป็นข้าหลวงในตำหนักเจ้าจอมองค์หนึ่ง ทั้งที่ขาออกก้าวเดินตามคุณป้าปรางไปแต่ในใจของเธอหมายมาดว่าจะได้กลับเข้ามาเพื่อชมภายในอีกสักครั้ง
………………………
“ฮัลโหล พี่รัณ”
“ว่าไง หายไปเลยนะไอ้ตัวดี”
“ไม่ได้หายสักหน่อยพี่ ผมอยู่ที่โรงแรมไง”
“ก็ใช่ แต่พวกพี่ไปหาเมื่อวันเสาร์ นายไปไหนวะ”
“เอ่อ”
“ยังไง ไปไหนมาณฐ รู้ไหมว่ามนน่ะเป็นห่วงนายมากเลย”
“แล้วนี่พวกพี่อยู่ไหนกัน”
“ก็อยู่บ้าน กำลังคิดว่าจะไปหานายไง เมื่อคืนคุณวัณณ์สว่างเค้าให้พนักงานโทรมาแจ้งแล้วว่าเจอนายแล้ว แต่พี่ไม่อยากกวนก็เลยยังไม่ได้ไปหา”
“งั้นมาเลยพี่ ผมมีเรื่องความฝันแปลก ๆ จะเล่าให้ฟัง”
“แล้ววันนี้นายไม่ทำงานเหรอ นี่กี่โมงแล้วเนี่ย”
“วันนี้ผมลา ตอนแรกว่าจะไปแต่ตื่นมาแล้วปวดหัวก็เลยลา แล้วขอเค้าเช็กเอาท์ห้องตอนบ่าย”
“งั้นเดี๋ยวเจอกัน”
ณฐวางสายจากปารัณได้สักครู่แต่เขายังรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะเล่าเรื่องความฝันหรือจะให้ถูกก็คือสิ่งที่เขาได้ไปพบมาเมื่อวานนี้ดีหรือไม่ เขานั่งมองภาพพระที่นั่งภูวดลทัศไนยที่ติดบนผนังหัวเตียงไม่ละสายตา ลูกตุ้มนาฬิกาบนผนังเหนือโต๊ะหน้ากระจกแกว่งไกว เขาเพิ่งสังเกตว่าห้องนี้แขวนนาฬิกาด้วย เพราะห้องพักในโรงแรมส่วนใหญ่ที่เขาไปพักมักไม่มีนาฬิกาแขวน มีเพียงนาฬิกาตั้งโต๊ะหรือนาฬิกาแบบดิจิตอลบริเวณหัวเตียงเท่านั้น เข็มสีทองคร่ำกับเรือนโลหะดูเก่าเข้ากันกับเครื่องเรือนอื่น ๆ ทำให้เหมือนย้อนเข้าไปในอดีต คำว่าอดีตสะดุดใจชายหนุ่มอย่างแรงจนลุกขึ้นเปิดประตูออกไปนอกห้อง แล้วพบว่าลุงแทนกำลังยืนสำรวจต้นแก้วหน้าห้องเขาเช่นเมื่อวานซืน เสียงพนักงานที่เพิ่งเข้าเวรเดินทักทายลุงแทนอย่างสดใส ณฐปิดประตูกลับเข้าห้องดังเดิม เขาคิดวนไปวนมาอยู่หลายรอบจนเผลอหลับไป แล้วสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังอีกครั้ง
“ว่าไงพี่รัณ”
“ถึงแล้ว อยู่ที่ร้านกาแฟ”
“ได้พี่ เดี๋ยวเจอกัน”
………………………..
กลิ่นหอมของกาแฟคั่วที่กระทบจมูกเมื่อแรกก้าวเข้าไปอบอวลทั่วร้าน เป็นสุคนธบำบัดชั้นเลิศในเวลาที่ทั้งกายและใจเขารู้สึกล้าเช่นนี้ ณฐสั่งอเมริกาโน่ร้อนพร้อมเค้กอัลมอนด์คาราเมลหนึ่งชิ้นก่อนเดินมาหาเพื่อนสนิทของเขาทั้งสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง สีเขียวของสนามหญ้ายิ่งทำให้ความล้าค่อยจางจนรางเลือนออกไป
รอยยิ้มของมนสิชาและสายตาห่วงใยช่วยให้ณฐเริ่มบทสนทนาง่าย ๆ และปราศจากความลังเลเช่นที่เขาคิดล่วงหน้า
“เรามีเรื่องแปลก ๆ เล่าให้มนฟังด้วย”
“เหรอ แล้วนี่จะไม่ทักทายกันสักนิดเลยเหรอจ๊ะ”
“เหอะน่า รู้ว่าสบายดี ได้ฤกษ์แต่งงานแล้วใช่ไหม ไม่ต้องห่วง เราเป็นเพื่อนให้ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวเลย”
“บ้าเหรอ เป็นคนเดียวเนี่ยนะ”
“ใช่สิ ยืนคนเดียวเลยไม่ต้องหาใครมายืนด้วยนะ ถ้าจะหาเดี๋ยวพามาเอง”
“โอ้โห ไม่ยักเหมือนที่คิดเลย”
“อะไรพี่รัณ”
“ก็ตอนแรกเสียงนายเหมือนคนเปลี้ย ๆ เพลีย ๆ งง ๆ พี่เลยรีบพาคุณมนมาหา แต่พอมาถึงไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่นา รู้งี้แวะกินบุฟเฟ่ต์ก่อนก็ยังทัน”
“ได้ไงพี่ เดี๋ยวไปกินด้วยกันสิ แต่ตอนนี้คุยกันก่อน”
“ไหนมีอะไรว่ามาเลย”
เรื่องราวความฝันตามความเข้าใจของณฐถูกถ่ายทอดออกมาเป็นลำดับโดยที่เจ้าตัวพยายามวิเคราะห์ถึงสาเหตุตามความเข้าใจของเขา ตลอดเวลาทั้งปารัณและมนสิชาได้แต่ฟังอย่างตั้งใจ ทั้งคู่ค่อย ๆ รับรู้เรื่องราวของเพื่อนสนิทแล้วสบสายตากันอย่างรู้ความหมาย เมื่อเรื่องของณฐจบลงทั้งมนสิชาและปารัณยังคงเงียบอยู่หลายนาทีก่อนที่มนสิชาจะเอ่ยออกมาช้า ๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความหมาย
“ในฝันณฐเห็นบ้านนี้ด้วยเหรอ”
“ใช่ บ้านนี้เลย เราเลยคิดว่าสงสัยเก็บเอาเรื่องพระที่นั่งที่กำลังหาข้อมูลกับบ้านนี้มารวมกันเฉยเลย”
“แล้วนายจะตื่นเต้นอะไรล่ะ ถ้ามันเป็นแค่ฝัน”
คำพูดของปารัณทำให้รุ่นน้องมองเขาอย่างสับสน เพราะณฐเองก็ไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ตนเองคิดเล่นกัน เขาต้องการคนยืนยันว่าเรื่องที่เล่ามันเป็นแค่ฝันจริง ๆ
“คุณรัณ อย่าทำให้เขวสิคะ”
“หมายความว่าไงมน”
“ก็ถ้าณฐคิดว่าฝัน มันก็แค่ฝัน อย่าคิดมากเลยจ้ะ”
“เราก็แค่อยากเล่าให้ฟัง อ้อ แล้วมีชื่อคนด้วยนะมน คุณพระเจ้าของบ้านน่ะ”
“เหรอ ถ้าอย่างนั้นอยากรู้ไหมล่ะว่าใช่หรือเปล่า”
“ทำไมเหรอพี่รัณ”
“นายแน่ใจนะว่าไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินชื่อเจ้าของบ้านนี้มาก่อนที่จะมาที่นี่ หรือเมื่อมาที่นี่แล้วไม่เคยเห็นป้ายชื่อเจ้าของเดิมน่ะ”
“ไม่มีพี่ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
“งั้นอีกไม่นานนายก็คงจะได้รู้”
หญิงสาวที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์วันนี้เป็นคนเดียวกันกับวันแรกที่ชายหนุ่มเข้ามาที่นี่ เขาได้รู้ชื่อจริงของเธอจากพนักงานคนหนึ่ง แม้ว่าเธอมีท่าทีแปลกในบางครั้งแต่สำหรับณฐก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เขาต้องรู้ความจริงให้ได้
วันนี้วัณณ์สว่างสวมชุดเดรสสีม่วงเม็ดมะปรางและจี้โรสควอตซ์รูปหัวใจ ดวงตายาวชั้นเดียวได้รับการแต่งแต้มสีสันบางเบาเมื่อวาดเส้นสีดำตามแนวของขอบตาก็ช่วยให้ใบหน้าของเธอดูเก๋มากขึ้น ยิ่งเมื่อแววนัยน์ตาสุกใสเป็นนิจก็ยิ่งทำให้เจ้าของใบหน้าดูผ่องใส เสียดายณฐไม่ค่อยเห็นเธอยิ้ม แต่วันนี้คงเป็นวันดีหรืออีกทีเธอก็คงเป็นคนแบบที่เขาบังเอิญได้เห็นตอนนี้ บางทีอาจเฉพาะแค่ต่อหน้าเขาเท่านั้นที่เธอดูหม่นหมอง
“เช็กเอาต์ครับ” ณฐส่งคีย์การ์ดให้อีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม มีรอยยิ้มจางส่งกลับมาทำให้เขารู้สึกชื่นในตาและในใจขึ้นมาได้
“เรียบร้อยค่ะ” เธอตอบกลับเสียงเรียบ
“ขอบคุณครับ โรงแรมสวยมาก คงได้กลับมาอีกแน่นอนครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวตรงหน้ายิ้มให้อย่างเต็มที่ ชายหนุ่มผู้เฉลียวฉลาดเช่นณฐถึงกับอึ้งไปหลายวินาที ด้วยเขารู้สึกคุ้นตากับรอยยิ้มแบบนี้
เป็นความคุ้นเคยที่เหมือนรู้จักมานาน นานจนเขาไม่อาจจำได้ว่าเคยเห็นที่ใด
…………………………….
วันนี้ไม่มีการสอนวัณณ์สว่างจึงกลับขึ้นมาพักผ่อนเร็วกว่าปกติ แต่เธอก็สั่งลูกน้องว่าหากมีเรื่องด่วนสามารถแจ้งได้ตลอดเวลา วัณณ์สว่างเดินไปหยิบกล่องไม้ขนาดเท่ากระดาษเอสี่ที่อยู่ในตู้สื้อผ้าชั้นสอง เธอไม่เคยเปิดออกดูนานมากแล้วนับแต่วันที่มีเริ่มเปิดกิจการที่นี่ แต่วันนี้และช่วงเวลานี้คล้ายวนมาย้ำเตือนให้เธอได้ฉุกคิดถึงเรื่องสมัยวัยเยาว์ที่มีพระอาจารย์เคยเตือนให้เธอใช้ชีวิตกับปัจจุบัน ไม่ต้องค้นหาคำตอบที่ยังมาไม่ถึง
วัณณ์สว่างเปิดกล่องไม้ออกแล้วหยิบภาพที่เก็บรักษาอย่างดีในนั้นออกมา ทั้งสองภาพได้รับการอัดกระจกและใส่กรอบไม้ไว้แสดงให้เห็นว่าเจ้าของเดิมคงให้ความสำคัญกับของสองชิ้นนี้มาก หญิงสาวพลิกภาพแรกดูด้านหลังแล้วอ่านข้อความที่ไม่รางเลือนไปตามกาลเวลา “บ้านพระรังสรรค์ราชกิจ”
แม้ภาพพระที่นั่งภูวดลทัศไนยจะไม่ปรากฏตัวอักษรใดแต่เธอรู้ดีว่าทั้งสองภาพล้วนได้รับการบันทึกโดยคนเดียวกันและที่สำคัญยังมอบให้ผู้รับคนเดียวกันด้วย
หญิงสาวหลับตาเพื่อพยายามทบทวนความรู้สึกของตนเอง ทุกครั้งที่เธอหยิบภาพสองภาพนี้ออกมาเธอรู้สึกสะเทือนใจแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความคิดถึงและรอคอย หญิงสาวยกภาพบ้านขึ้นมาแนบอกและหลับตาลงอย่างปวดร้าวใจว่าเหตุใดเขาจึงจำเธอไม่ได้ วัณณ์สว่างนึกย้อนไปตอนเด็กที่แม่พาเธอไปหาพระอาจารย์ ท่านเคยบอกเธออย่างเมตตาว่าคนทุกคนย่อมมีกรรมเป็นของตนเอง เมื่อถึงเวลาก็จะได้พบความจริงและอย่าเป็นกังวล วัณณ์สว่างฝันอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับเรื่องในอดีตซึ่งในฝันนั้นคนรักจากไป เขาทิ้งให้เธอรออยู่กับคำสัญญาว่าจะกลับมาหา ความรู้สึกนั้นยังคงฝังใจจนหญิงสาวไม่กล้ามีคนรัก
กระทั่งได้เจอกับเขาที่เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างเข้ามากระทบใจอย่างแรง ทั้งดีใจและสะเทือนใจผสมด้วยความน้อยใจอยู่ในนั้น
เธอลืมตาแล้วข่มอารมณ์เพื่ออ่านชื่อผู้ให้และผู้รับอีกครั้งอย่างสะเทือนใจ
“ให้ คุณส่อง
จาก ณฐ”
หญิงสาวคงต้องใช้ชีวิตต่อไปและรอเวลาเพื่อให้ความจริงคลี่คลายทุกอย่างด้วยตนเอง อาจเร็วหรือช้า แต่วัณณ์สว่างจะรอต่อไป เพื่อจะได้พ้นจากความรู้สึกเหล่านี้เสียที