เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล “พะกาเงี้ยว”

เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล “พะกาเงี้ยว”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ข่าวโจรจี้ปล้นหนาหูขึ้นทุกวันสร้างความหวาดกลัวแก่ชาวบ้านและคนเดินทาง เสียงเล่าลือบอกกันว่าเป็นพม่าและไทยใหญ่อพยพมา แฝงตัวปะปนอยู่กับคนงานเหมืองพลอยในหมู่บ้านบ่อแก้วแถวเมืองลอง ซึ่งมีเฮดแมนหรือนายเหมืองเป็นชาวไทยใหญ่ ตำรวจสยามติดตามจับตัวได้บ้าง ส่วนใหญ่มักจับตาย และก็ได้เพียงสมุนปลายแถว ไม่สามารถไปถึงตัวหัวหน้าได้ แต่ถึงกระนั้นทุกครั้งที่วิลเลียมได้ข่าวโจรร้ายถูกจับหรือฆ่าตาย เขาจะเร่งไปดูให้เห็นกับตา

หวังว่าจะมีสักครั้งที่เป็นหม่องฮูโอ

ถ้าฝ่ายนั้นถูกพิพากษาโทษ วิลเลียมคงรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเสียทีว่าแพทริกไม่ตายเปล่า และความรู้สึกผิดติดค้างในใจเขาคงค่อยบรรเทาเบาลง

แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีแม้แต่เงาของหม่องฮูโอ ในขณะที่ข่าวความเหิมเกริมของกลุ่มโจรดูจะทวีขึ้น

 

เรื่องโจรออกอาละวาดมิอาจทำให้การนีปปิ้งต้องหยุดชะงัก แต่ก็ส่งผลกระทบกับงานทำไม้ไม่น้อย

เริ่มจากแรงงานผู้ติดตามนายห้างเข้าป่าเพื่อสำรวจท่อนซุงที่ติดอยู่ตามแนวลำน้ำไหลไปไม่ถึงสถานีผูกแพ การทำนีปปิ้งมิใช่แค่เช็คสต็อกไม้ แต่เป็นการสำรวจไม้ที่ได้ขนาดเพื่อกานไว้ให้ยืนต้นตาย กว่าจะตัดได้ก็อีกสองปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย เหล่ากุลีที่ต้องติดตามนายห้างไปหน้าละห้อย วิตกกังวล

ค่าแรงก็อยากได้ แต่ภัยอันตรายถึงชีวิตก็ชวนหวั่น

ดังนั้นเหล่าคนงานจึงต่อรองขอเพิ่มค่าแรงสำหรับเข้าป่าและเบิกล่วงหน้าจนครบจำนวน ฝากไว้กับเมียและลูกที่อยู่บ้าน เผื่อว่าเคราะห์ร้ายถูกโจรดักปล้นฆ่าตาย มิได้กลับออกมา คนทางบ้านยังมีเงินไว้ใช้สอย

วิลเลียมจำต้องคล้อยยอมให้ตามที่กุลีร้องขอ เพราะงานนีปปิ้งต้องเดินหน้าต่อ

ปะเลเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในครานี้ ต้องคุมทั้งช้างและคนงานติดตามไป ส่วนลีรอยตามไปด้วยอีกไม่ได้ เพราะรับหน้าที่ผู้ทำบัญชีปางไม้ทั้งหมดแทนแพทริกเต็มตัว คณะเดินทางจึงคัดเลือกแต่ผู้ที่จะไม่เป็นภาระติดตามไป

จำนวนไม่มาก แต่จำเป็นทุกคน

แต่ละปีมีปริมาณน้ำฝนมากน้อยไม่เท่ากัน ในปีที่น้ำเยอะไหลเชี่ยว ซุงส่วนใหญ่ไปถึงสถานีผูกแพก็จริง แต่บางท่อนก็พุ่งชนตลิ่งติดค้างอยู่อย่างนั้น และบางท่อนก็พุ่งออกนอกเส้นทางเลยไปไกล แต่ในปีที่น้ำน้อย กระแสธารไหลเอื่อยอ่อย ท่อนซุงก็ติดอยู่ตามแก่งหินหรือเนินทราย เมื่อคณะสำรวจไปถึงก็พบว่ารอบด้านเป็นพงหญ้าใหญ่สูงท่วมหัว

สิ่งแรกที่ต้องสำรวจเมื่อพบท่อนซุงคือตรวจสอบตราประทับของปางไม้ เพราะทุกบริษัทล่องซุงตามแม่น้ำสายเดียวกัน บางครั้งวิลเลียมก็ต้องประจันหน้ากับผู้จัดการป่าไม้จากบริษัทอื่น ถกเถียงเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นซุงของใคร ความยุ่งยากสงสัยมักเกิดเมื่อตราประทับเลือนราง เพราะระหว่างทางท่อนซุงครูดไถไปไม่น้อย บางท่อนถูกพอกด้วยโคลนหนา ก็ต้องใช้ไม้เขี่ยเศษดินเศษหญ้า ก้มลงพิจารณาตราประทับก่อนจะสรุปว่าเป็นท่อนซุงของบริษัทใด

บางทีโชคร้าย เพราะที่เขี่ยออกไปนั้นมิใช่โคลน แต่เป็นของเสียที่ชาวบ้านมาถ่ายทิ้งไว้

กรณีนี้มักพบในจุดที่ใกล้หมู่บ้านริมตลิ่ง และทุกครั้งที่รู้แน่ว่าเป็นอะไร เสียงหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจของเด็กชาวบ้านจะประสานกันอยู่ริมฝั่ง วิลเลียมหน้าแดงด้วยความอาย เสบ่นแก้ขวยกับปะเลว่า

“ทำไมชอบมาถ่ายกันแถวท่อนซุง”

ปะเลหัวเราะหึ ๆ แล้วบอกเหตุผล

“ซุงท่อนใหญ่ มันบังได้ลับตาดีละมัง นายห้าง”

อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้วิลเลียมพอจะหัวเราะออกมาได้บ้าง ตั้งแต่แพทริกถูกฆ่าตายในป่า วิลเลียมโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุ แม้ลีรอยจะคอยปลอบใจว่าเป็นคราวเคราะห์ของแพทริก โจรมันซุ่มปล้นอยู่ตรงนั้น หากวิลเลียมเดินทางเองตามแผนเดิม คนที่ถูกยิงตายในป่าก็คงไม่พ้นตัวเขานั่นเอง

นายห้างหนุ่มพยายามปัดความฟุ้งซ่านที่จะโทษตัวเองด้วยการทำงานอย่างหนัก บุกป่าฝ่าดงสำรวจไม้เข้าไปในป่าลึกเรื่อย ๆ ทำรายงานรายละเอียดไม้ทุกสองสัปดาห์ อันมีทั้งจำนวนและเส้นรอบวงของไม้ที่กานได้ ประมาณการจำนวนไม้ที่ถึงเกณฑ์ต้องกานในปีถัดไป ตลอดจนต้นสักที่ล้มและเสียหายจากไฟป่าและพายุ เพราะทั้งหมดนี้คือกำไรขาดทุนของบริษัท

นอกจากนี้ วิลเลียมยังต้องจัดทำแผนที่เส้นทางชักลากไม้ออกจากป่าด้วย ในเรื่องนี้ปะเลช่วยเหลือได้มาก เพราะป่าบางที่อยู่ห่างจากลำห้วย เพียงแค่ทางราบหรือทางเนินลาดชันก็มีผลต่อการจัดสรรจำนวนช้างลากซุง ช้างบางเชือกทำงานได้ดีในที่ราบ ขณะบางเชือกไต่เนินคล่องกว่า

นายห้างหนุ่มคัดลอกรายงานนั้นเป็นสามชุด

ชุดแรกเก็บไว้กับตัว ชุดที่สองเก็บไว้ที่สถานีป่าไม้ และชุดสุดท้ายส่งไปให้ผู้จัดการที่บางกอก

จะนับว่าเป็นโชคดีของวิลเลียมและคณะก็ได้ ที่ตลอดเวลาเข้าป่านีปปิ้งไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับโจรป่า ปลายเดือนกรกฎาคมวิลเลียมก็ออกจากป่ากลับไปยังสถานีป่าไม้ในเมืองละกอน โล่งใจว่าการทำงานในปีนี้ผ่านไปได้ด้วยดี มีชีวิตรอดกลับไปทุกคน

นายห้างหนุ่มไม่นึกเฉลียวใจเลยว่า เคราะห์ร้ายครั้งใหญ่กำลังรอเขาอยู่

 

ตะวันรอนแสงอ่อนจาง ชาวบ้านก็รีบสะสางงานให้เสร็จสิ้นปิดบ้านขังตัวอยู่ในเรือน ครั้นเดือนขึ้นแขวนฟ้าก็ไม่เห็นหน้าใครออกมาเพ่นพ่านตามถนนให้โจรปล้นทรัพย์หรือมือหนักถึงขั้นฆ่าทิ้งเป็นผักปลา วิลเลียมกลับมาครานี้รู้สึกว่าบรรยากาศในเมืองค่อนข้างตึงเครียด แม้ว่าจะยังมีลมเย็นพัดเฉื่อยฉิว นกร้องประสานกันเมื่อบินกลับรัง แต่ความกลัวโจรอย่างฝังหัวของชาวบ้านก็พานทำให้ทุกอย่างดูแย่ลง ดูเหมือนเมืองร้างเข้าไปทุกที ที่ยังพอเห็นแสงไต้แสงตะเกียงวอมแวมออกมาก็มีแต่คุ้มเจ้านายและบริษัททำไม้ของชาวตะวันตก

ลีรอยยกอาหารออกมาตั้งรอขณะที่วิลเลียมอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ ไม่ปิดบังสีหน้าอิดโรยและหวั่นวิตกของตนเอง แต่ยังไม่เปิดโอกาสให้วิลเลียมซักถาม มื้อค่ำวันนี้มีเพียงเพื่อนรักสองคนร่วมโต๊ะกัน อาหารไม่ถึงกับเย็นชืด วิลเลียมกินเข้าไปด้วยความหิวมากกว่าอยากละเลียดให้รู้รสของความสบายที่ไม่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย จนอาหารพร่องไปได้มากแล้ว วิลเลียมจึงถามขึ้นมาตรง ๆ ว่าเพราะเหตุใดลีรอยจึงมีท่าทางเหมือนคนน้ำท่วมปากตั้งแต่เขากลับมาถึงสถานีป่าไม้

“มีคำสั่งให้นายเดินทางไปแพร่”

“เมื่อไรล่ะ” วิลเลียมตักซุปฟักทองเข้าปาก ลีรอยตอบเสียงเบาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่าสัปดาห์หน้า ตอนนั้นเองที่วิลเลียมเอะใจว่าลีรอยต้องมีเรื่องอื่นในใจอีก จึงถามไปตามตรง “นายมีอะไรหรือเปล่า”

“ฉันไม่อยากให้นายไป ตอนนี้…ที่นั่นอันตราย”

“จะมีอะไรอันตรายยิ่งกว่าโจรที่ดักปล้นในป่าอีกเหรอ นายก็เห็นแล้วว่าฉันรอดชีวิตกลับมาได้”

“นายรอดกลับมาเพราะนายไม่ได้เผชิญหน้ากับมัน ไม่ได้รอดเพราะปะทะกันแล้วนายเป็นฝ่ายมีชัย” ลีรอยเอ่ยออกไปกึ่งเตือนสติ

เบ็ตตี้ปรี่เข้ามาที่โต๊ะอาหาร สีหน้าหล่อนแปลกใจระคนดีใจที่เห็นวิลเลียม…แปลกใจว่าเขากลับมาก่อนกำหนด แต่ก็ดีใจที่เขาอยู่ตรงนี้ หญิงสาวมีท่าทีแสดงออกเห็นชัดว่ามีเรื่องสำคัญจะเล่า แน่นอนว่าน่าสนใจว่าเรื่องอื่นใดทั้งหมด เพราะหาไม่แล้วหล่อนจะต้องซักวิลเลียมว่าทำไมถึงกลับมาก่อนกำหนดเวลา และตำหนิลีรอยที่รับประทานมื้อค่ำโดยไม่คอยหล่อน

ลีรอยบอกวิลเลียมแต่แรกแล้วว่าพักหลังนี้เบ็ตตี้มักขลุกอยู่ที่ละกอนสปอร์ตคลับ บ่อยครั้งที่หล่อนรับมื้อเย็นที่นั่นกับเพื่อนพ้องชาวอังกฤษด้วยกัน

“ตอนพวกเราจะแยกย้ายกันที่สโมสร” เบ็ตตี้เกริ่นนำ สโมสรละกอนสปอร์ตคลับคือสถานที่ที่หล่อนอยู่ได้อย่างมีความสุขอย่างที่หล่อนมักจะบอกว่า…หายใจคล่อง…เพราะไม่มีคนท้องถิ่นเข้ามาปะปนให้รำคาญใจ “คนงานที่บ้านหลุยส์มาแจ้งว่ามีมดขึ้นตู้เซฟ พวกเราก็เลยพากันไปดู”

หญิงสาวเล่าพลางลูบแขนไปมา ภาพที่เห็นชวนให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว

ตู้เซฟของหลุยส์เป็นแบบทันสมัยแข็งแรงที่สุดในตอนนี้ ขนาดของมันเท่ากับห้องเล็ก ๆ เลยทีเดียว และไม่ว่าเป็นเพราะความรอบคอบหรือขี้เหนียวเขี้ยวลากดินของหลุยส์ก็ตามที ตู้เซฟนั้นจึงตั้งอยู่กลางออฟฟิศ โบกปูนรอบจากพื้นสูงเกือบจดเพดาน ยากที่ใครจะแอบเข้ามายักยอกได้โดยที่ไม่มีใครเห็น

“เธอคงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ มดดำขนไข่ขึ้นตู้เซฟดำพรืดไปหมดทั้งใบ นึกแล้วยังขนลุกไม่หาย” เบ็ตตี้ลูบแขนตัวเองอีกครั้ง คนฟังเห็นว่าหล่อนรู้สึกจริงมิได้แกล้งทำ

“ตอนนี้ก็หน้าฝนแล้ว เป็นธรรมดาที่พวกมดจะขนไข่หนีน้ำ” วิลเลียมว่าเป็นสัญญาณบอกเหตุจากธรรมชาติพลางรำพึง “เห็นทีปีนี้น้ำจะมากเหมือนปีก่อน”

เบ็ตตี้รีบเล่าต่อ

“ทีแรกพวกเราก็คิดอย่างนี้ละ แต่คนงานที่บ้านหลุยส์ว่านี่คือสัญญาณบอกลางร้าย”

“มันอาจเป็นลางบอกเหตุจริง ๆ ก็ได้” ลีรอยว่าพลางทำท่านึก แต่เบ็ตตี้ค้อน

“เธอชักจะถูกคนที่นี่ชักจูงไปมากแล้วนะ สองพี่น้องนั้นคงล้างสมองเธอสำเร็จแล้วสิ” หล่อนอดเหน็บไปถึงเมืองและมุ่ยไม่ได้

เมืองขี่ม้าหน้าตื่นเข้ามาแจ้งข่าวด่วนในจังหวะนั้นเองการโต้เถียงเรื่องมดขึ้นตู้เซฟจึงยุติ

“นายห้างอย่าเพิ่งไปที่แพร่เลย เกิดเรื่องร้ายขึ้นแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” วิลเลียมนั่งไม่ติดเก้าอี้ตั้งแต่เห็นเมืองหน้าตาตื่นวิ่งขึ้นมา

“เงี้ยวบุกคุ้มเจ้าหลวง ยึดคุ้มได้แล้ว ตอนนี้เหิมเกริมใหญ่ ฆ่าคนตัดหัวเป็นว่าเล่น”

แม้จะหอบเหนื่อยแต่เมืองก็เล่าเรื่องได้ครบถ้วน และบอกข้อมูลสำคัญที่ทำให้เขารีบบึ่งมาที่นี่

“พวกเงี้ยวไม่พอใจสยาม จึงต่อต้านเอาคืน ตอนนี้ยึดเมืองแพร่ได้แล้ว เลยแบ่งกองกำลังไปยึดพื้นที่เพิ่ม กองหนึ่งไปที่เชียงใหม่ อีกกองหนึ่งกำลังมุ่งมาที่ละกอนนี้ หัวหน้าที่…”

เมืองเล่าไม่ทันจบทุกคนก็ต้องหันไปตามเสียงฝีเท้าม้าที่ย่ำเข้ามา ผู้มาเยือนไม่เสียเวลาลงจากม้า แต่ตะโกนแนะนำตัวรวดเร็วว่าเป็นคนงานที่บ้านหลุยส์ เมืองพยักหน้ารับรองว่าเป็นความจริง ม้าเร็วจึงแจ้งข่าวทันใดไม่รอช้า

“นายห้างมิตสะหลวยขอเชิญนายห้างทุกคนไปเปิกษากันที่บ้าน” เขาหมายถึงบ้านของหลุยส์ที่ท่ามะโอ “เฮารู้แล้วว่าพะกาเงี้ยวที่คุมทัพมาที่ละกอนเป็นไผ”

คนแจ้งข่าวชักม้าออกไปเพื่อแจ้งข่าวเดียวกันนี้แก่นายห้างที่บริษัทอื่นอีก

วิลเลียมหันมาหาเมือง เชื่อว่าเขารู้รายละเอียดเรื่องนี้พอกัน เมืองอ่านแววตาคู่นั้นออกจึงบอกไปไม่อิดเอื้อนว่า

“พะกาฮูโอเป็นคนนำทัพเงี้ยวเข้าเมืองละกอน”

ชื่อนั้นทำให้วิลเลียมร้องสั่งปะเลให้เตรียมม้าทันที

“รีบไปบ้านหลุยส์ให้เร็วที่สุด”

 

นายเฟื้องดูเหนื่อยล้าเพราะหนีเอาชีวิตรอดจากแพร่มาที่ลำปาง ถึงบ้านหลุยส์แล้วแทบจะทิ้งร่างกองกับพื้นด้วยความโล่งใจว่าปลอดภัยแล้ว เมื่อวิลเลียมและชาวตะวันตกคนอื่น ๆ มาถึงบ้านหลุยส์ตามที่มีคนไปแจ้งข่าวด่วน นายเฟื้องก็พอมีเรี่ยวแรงบอกเล่าเหตุการณ์ที่ตนเผชิญมา ด้วยว่าได้ข้าวได้น้ำเติมลงไปในท้องให้เรี่ยวแรงกลับคืน

“เฟื้องเป็นข้าราชการศาลอยู่ที่แพร่”

หลุยส์แนะนำแก่เพื่อนพ้องชาวตะวันตกที่ชุมนุมอยู่ด้วยกัน โดยมีนายเฟื้องเป็นบุคคลสำคัญในยามนี้ เมืองอยู่ด้วยเพื่อช่วยแปลภาษา หากว่าบางช่วงบางตอนยากแก่ความเข้าใจ

เรื่องเงี้ยวอาละวาดนี้ ใครต่อใครก็รู้อยู่แล้วถึงความโหดร้าย เพราะฝ่ายเงี้ยวฆ่าตัดหัวคนเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะคนสยาม เพราะ ‘พะกา’…เรียกตามตำแหน่งที่ยกย่องให้เป็นหัวหน้า ตั้งค่าหัวคนสยามไว้ถึง ๓๐๐ รูปี

“อันที่จริงมันก็เริ่มมาจากความปากดีของเจ้าราชบุตร” โทมัสเอ่ยขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยพูดจาถนอมน้ำใจใครอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องนี้สาเหตุเกิดจากความบ้าของข้าหลวงสยามกับเจ้าเมือง แต่ส่งผลกระทบมายังชาวอังกฤษ เขายิ่งไม่คิดจะปิดบังความรู้สึก “มีอย่างที่ไหน จับโจรกระจอกได้แค่คนสองคน ก็ประกาศตั้งค่าหัว พอโดนมันย้อนเข้าบ้าง กลับวิ่งหนีหางจุกตูด”

โทมัสจะรู้เรื่องนี้มาจากไหนไม่มีใครรู้ แต่เฟื้องก็ไม่ค้านว่ามีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย

ตอนเริ่มมีเรื่องเงี้ยวอาละวาดปล้นจี้ ข้าหลวงสยามก็ขอร้องแกมสั่งให้เจ้าผู้ครองนครทั้งหลายช่วยกันปราบเงี้ยว เจ้านายหลายคุ้มเต็มใจช่วยเหลือ เจ้านายบางกลุ่มแม้ไม่เต็มใจแต่ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะยามนี้อยู่ใต้บารมีสยาม นับแต่เปลี่ยนการปกครองรูปแบบใหม่ที่เรียกกันว่าเทศาภิบาล ด้านทิศนี้คือมณฑลพายัพ กินพื้นที่เมืองเชียงใหม่ เมืองลำปาง เมืองลำพูน นครน่าน นครแพร่ และเมืองเถิน อำนาจเจ้านายที่เคยมีถูกลดทอน แต่ละปีต้องส่งเครื่องบรรณาการ สัมปทานป่าสักที่เคยเก็บกอบได้เต็มหีบเต็มซ้า…กระบุง ก็เป็นต้องปันไปให้ส่วนกลางของสยามเพราะระเบียบใหม่ในการให้สัมปทานป่าไม้ แรงงานเงี้ยว ขมุ ม่าน อยู่กันมายาวนานไม่เคยขัดแย้งครั้งใหญ่ จนกระทั่งสยามทำทีว่าจะขับไล่พวกเงี้ยวออกไปให้พ้นเขตแดนอาณาจักร เรื่องเลยชักจะบานปลาย

ในการปราบเงี้ยวนี้มีเจ้าราชบุตรผู้หนึ่งยังหนุ่มและเลือดร้อน ประกาศก้องตั้งค่าหัวโจรเงี้ยวไว้หัวละ ๓๐๐ รูปี หลายคนจึงว่าเพราะเหตุนี้ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเอาคืน

นายเฟื้องเล่าถึงวันที่กองกำลังของสยามและเจ้าราชบุตรแตกพ่าย

“ท่านข้าหลวงคุมไพร่พลไปตั้งค่ายอยู่นอกเมืองลอง ช้างม้าอาวุธครบมือ ถึงเวลาก็พาไพร่พลข้ามน้ำจะไปบุกจับเงี้ยวในหมู่บ้าน แต่แล้วก็มีเสียงสัญญาณดัง” นายเฟื้องหลับตานิ่ง ดุจจะนึกให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น พึมพำทั้งยังหลับตา “จู่ ๆ เสียงฆ้องก็ดังขึ้นมา ในห้วยในป่า…ผิดวิสัยจะมีเสียงฆ้องดัง นั่นละ ถึงได้รู้ว่าพลาดท่าหลงกลมันเสียแล้ว”

ในเวลาที่กองกำลังสยามกำลังข้ามโตรกธารคาอยู่กึ่งบกกึ่งน้ำนั้นเอง กองกำลังเงี้ยวที่ซุ่มอยู่ริมตลิ่งสูงชันทั้งสองฟากก็ประเคนลูกปืนและธนูมาให้กินเป็นมื้อเช้า อารามตกใจและเพื่อนตรงหน้าตาค้างโลหิตพุ่ง รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นก็ทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนั้น ผายผันหนีไปไม่รู้ทิศ

“กลายเป็นว่าพวกเงี้ยวได้อาวุธและช้างม้าที่ทัพสยามทิ้งไว้เป็นสินสงคราม เสริมกำลังตนให้ยิ่งแข็งแกร่ง”

“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม ทัพเงี้ยวถึงได้ใจบุกคุ้มเจ้าหลวง” หลุยส์ถามเพื่อความแน่ใจ

นายเฟื้องพยักหน้า เล่าต่อไปว่า

“สองวันถัดมา เงี้ยวก็บุกกองทหารรักษาการณ์ที่เมืองแพร่ จับพวกข้าหลวงสยามมาเรียงฟันตัดหัวได้ราว ๓๐ คน แล้วก็พากันไปปล้นฆ่าชาวบ้านกันอย่างเมามัน” นายเฟื้องระบายลมหายใจยาวก่อนบอกความคิดของตนกึ่งยอมรับว่าที่ฝ่ายสยามปราชัยในครานี้ “เพราะท่านข้าหลวงไม่ยอมอนุมัติให้ตั้งกองกำลังเพิ่มแท้ ๆ”

“แล้วท่านข้าหลวงไปมุดหัวอยู่ที่ไหนเสียละ” น้ำเสียงที่โทมัสถามทั้งเยาะและเหยียดอยู่ในที

“ท่านข้าหลวงคงรู้ตัวตื่นเพราะเสียงปืน ท่านเลยหลบหนีไปได้” นายเฟื้องตอบเสียงไม่ดังนัก

โทมัสทำเสียง…หึ…แล้วต่อด้วย “แหม…” ไม่เอ่ยอะไรอีก แต่คนฟังก็รู้ว่าเขาดูแคลนอย่างถึงที่สุดในความขี้ขลาดตาขาวและเอาตัวรอดของข้าหลวงผู้นี้

เมื่อข้าหลวงเจ้าของบ้านพักอันตรธานหายไป พวกเงี้ยวยิ่งได้ใจ กวาดเก็บสมบัติมีค่าแล้วทำลายข้าวของเสียย่อยยับ เปิดประตูคุกที่คุมขังนักโทษ ปล่อยตัวให้เป็นอิสระ ผู้ถูกจองจำส่วนใหญ่ผูกใจเจ็บแค้นอยู่แล้ว จึงสมทบกับกองกำลังเงี้ยวขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

“กองกำลังนี้มีสักเท่าไหร่กัน” วิลเลียมถามขึ้นมาบ้าง

“ที่บุกจวนข้าหลวงก็ราว ๑๕๐ คน” นายเฟื้องตอบ “เฉพาะเงินที่ได้จากเซฟก็ราว ๔ หมื่นรูปี”

“ฉันชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วว่าทำไมเงี้ยวถึงชนะง่ายนัก เพราะสยามไม่มีน้ำยา หรือว่าเจ้าหลวงรู้เห็นเป็นใจให้ท้ายพวกเงี้ยวก่อจลาจล” คำพูดนี้ออกมาจากปากโทมัส “จริงแท้แค่ไหนที่ว่าเจ้าหลวงหนุนหลังพวกเงี้ยวอยู่”

นายเฟื้องกลืนน้ำลายดุจว่าเรื่องนี้ก็พูดยากเพราะไม่มีใครได้ยินกับหูได้เห็นกับตา เป็นเพียงเล่าลือมาว่าอย่างนั้นอย่างนี้

ในทีแรกพวกเงี้ยวไล่ฟันบั่นคอชาวสยามทุกคนไม่เว้นหน้า จวนข้าหลวงจึงเป็นเป้าหมายหลักของการจู่โจม คนลาวที่มีทีท่าฝักใฝ่สยามก็ไม่เว้น เป็นที่อกสั่นขวัญแขวนกับคนทั่วไปที่อยู่ในเขตแดนนั้น เพราะหน้าตาคนก็ละม้ายกัน ก่อนโจรฟันคอมันไม่ฉุกพิจารณาหรอกว่านี่คนสยามหรือลาว

นายเฟื้องจึงเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญที่หัวหน้าโจรเงี้ยวชื่อพะกาหม่องบุกวังเจ้านครแพร่

“เล่ากันว่าพระองค์อยู่ให้ห้องแต่ลำพัง พะกาหม่องเลยเกลี้ยกล่อมหว่านล้อมให้ยอมอยู่ใต้กองกำลังเงี้ยว สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายคนลาวและคนชาติอื่น เพราะตั้งใจจะขับไล่ชาวสยามออกไปเท่านั้น”

เมื่อเจรจากันได้เช่นนี้แล้ว เจ้านายหลายคนก็ค่อยคลายใจไม่ต้องกลัวถูกดักตัดหัว ออกจากที่ซุ่มซ่อนกลับคืนสู่คุ้ม และร่วมพิธีดื่มน้ำสาบานกับเงี้ยว พร้อมทั้งเซ็นสัญญาว่าจะร่วมกันต่อต้านอำนาจสยามให้ถึงที่สุด

“เจ้าหลวงได้ทรัพย์สินคืนมาแค่ ๑,๐๐๐ รูปี ส่วนที่เหลือก็เอามาตั้งเป็นรางวัล สำหรับผู้ที่ตัดหัวชาวสยามมาได้ หัวละ ๓๐๐ รูปี เท่ากับที่เจ้าราชบุตรและข้าหลวงตั้งไว้นั้นละ”

ทีแรกก็นับเอาทั้งหมดไม่ว่าผู้หญิงและเด็ก แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใหม่…เป็นจับตายเฉพาะผู้ชายเท่านั้น

“ศพข้าหลวงไทยจึงเกลื่อนไปหมด มีแค่ร่างแต่หัวหาย…” นายเฟื้องทอดเสียงหายไป หลับตาน้ำตาไหล พยายามไม่นึกไปว่าศีรษะเหล่านั้นบางหัวถูกเสียบประจานไว้ริมรั้ว บางหัวให้ช้างเตะเหยียบเล่นเช่นลูกตะกร้อ

“แล้วเราจะต้องเดือดร้อนอะไรกัน” โทมัสแบมือออกสองข้าง ยักไหล่อย่างไม่เห็นว่าต้องทุกข์ร้อนกับเรื่องนี้ “ที่ปัญหามันลุกลามบานปลาย ก็เพราะพวกข้าหลวงสยามนั่นละ” โทมัสวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา “ลำพังพวกเราไม่เห็นต้องกลัวอะไร ทั้งพม่าและไทยใหญ่ก็เป็นคนในบังคับอังกฤษทั้งนั้น ต่อให้มันไล่ฆ่าชาวบ้านจนหมดเมือง มันก็ไม่บุกมาทำร้ายพวกเรา นอกเสียจากว่า ‘ใคร’ จะมีเรื่องบาดหมางส่วนตัวกันนั้นก็ว่าไม่ได้”

ประโยคท้ายโทมัสไม่วายเหน็บ เพราะเขารู้ว่าวิลเลียมมีเรื่องกับควาญช้างผู้หนึ่งถึงกับไล่ออกทันที

“ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ ในเมื่อเราทำสัมปทานป่าไม้กับสยาม แต่แรงงานหลักของเราก็เป็นพวกเงี้ยว ซึ่งก็ถือเป็นคนในบังคับของอังกฤษ” วิลเลียมแย้งขึ้นมา หลุยส์พยักหน้าเห็นด้วย

“เรื่องนี้เราจะทำเฉยไม่รับรู้ไม่ได้หรอก ถึงอย่างไรมันก็เกี่ยวกับเรา” น้ำเสียงในตอนท้ายของหลุยส์ลึกล้ำกว่าที่ใครจะเข้าใจ แต่วิลเลียมคิดว่าเขารู้

หลุยส์ผูกพันกับสยามมานาน ตั้งแต่วัยเด็กที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่งได้กลับมาสยามอีกครั้งรับราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามแผ่นดินที่ ๕ จนมาตั้งบริษัทของตัวเอง หลุยส์ย่อมมีความผูกพันกับสยามอยู่ไม่น้อย เขาจึงไม่อาจปล่อยให้เหตุการณ์นี้ดำเนินไปโดยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

“ผู้นำกองกำลังเงี้ยวนี้คือใคร” หลุยส์ถามนายเฟื้องเพื่อความมั่นใจ ทั้งที่เขาก็รู้อยู่แล้ว

“สล่าโปไชย…เฮดแมนที่เมืองลอง พะกาหม่อง” นายเฟื้องไล่เรียงหัวหน้าคนสำคัญ “อีกคนที่เก่งกาจไม่แพ้ใคร ซุ่มซ่อนแฝงตัวอยู่ในปางไม้มานานก็คือ พะกาฮูโอ”

วิลเลียมแทบหยุดหายใจเมื่อได้ยินชื่อนั้น

“ตอนนี้ทัพเงี้ยวแบ่งไปหลายกลุ่ม สล่าโปไชยไปตั้งฐานที่ท่าอิฐ เมืองพิชัย เพื่อคอยสกัดทัพสยามที่มาจากมณฑลพิษณุโลก อีกกลุ่มเตรียมบุกลำปาง ที่เหลือคุมเชิงไว้นอกเมืองแพร่”

นายห้างคนหนึ่งโพล่งออกมาหลังจากฟังเรื่องมายาวนานสลับกับจิบวิสกี้จนร้อนไปทั้งหน้า

“เราจะเชื่อได้ยังไง ว่าที่นายคนนี้พูดเป็นความจริง บางที…ไอ้ข้าหลวงคนนี้อาจจะเป็นคนของพวกมันเองก็ได้”

“เราขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจด้วยสิ่งนี้”

นายเฟื้องล้วงเสื้อควักกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาชู เมืองช่วยดูและยืนยันข้อความที่เขียนบนนั้น

มันเป็นหลักฐานสำคัญที่แจ้งข่าวมาถึงพรรคพวกเงี้ยวที่อยู่ในลำปางให้เตรียมพร้อมบุกตะลุย เป้าหมายต่อไปคือที่เชียงใหม่ พะเยา ลำพูน และเชียงแสน

กระดาษแผ่นนั้นเวียนส่งให้กันดูแม้ไม่รู้ว่าตัวอักษรอ่านว่าอย่างไร ด้วยได้เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดแล้ว เพียงแต่จับดูให้รู้แน่ว่านี่คือหลักฐานที่พวกเงี้ยวแจ้งข่าวแก่กัน

มีบ้างที่สงสัยว่านายเฟื้องได้หลักฐานสำคัญนี้มาอย่างไร

แต่ข้อสงสัยนั้นไม่มีกำลังดึงดูดมากเท่ากับว่าถึงอย่างไรก็ต้องวางแผนรับมือกองกำลังเงี้ยวที่จะบุกเข้ามาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า…๔ สิงหาคม…นัดหมายว่าอย่างนั้น

วิลเลียมมือสั่นเมื่อกระดาษแผ่นนั้นเวียนมาถึงเขา เขาอ่านไม่ออกแต่พยายามเพ่งมอง มองว่าชื่อนั้นอยู่ตรงไหน เมืองเป็นผู้ไขให้กระจ่าง ชายหนุ่มชี้ไปที่ตัวหนึ่งบอกว่า

“นี่ไงละ นายห้าง ที่บอกว่าพะกาฮูโอจะเป็นหัวหน้านำทัพเข้าลำปาง”

วิลเลียมจ้องตัวอักษรนั้นดุจจะให้เพลิงจากตาเขาเผาคำนั้นให้ลุกไหม้ ภาพรอยยิ้มของแพทริกยามร้องเพลง Spanish Cavalier ผุดขึ้นมาซ้อนกับดวงหน้าท้าทายและแววตาถือดีของหม่องฮูโอ…พะกาฮูโอ

ความคิดของวิลเลียมสะดุดโดยพลันเมื่ออีกดวงหน้าหนึ่งแทรกเข้ามา

เขาร้องและเหลียวหาทันใด

“ปะเลอยู่ที่ไหน ตามมาพบฉันเดี๋ยวนี้!”

 



Don`t copy text!