เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน “ร้อยเล่ห์เพทุบาย”

เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน “ร้อยเล่ห์เพทุบาย”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

หมอสจ๊วตตรวจแผลแล้วพยักหน้าพอใจที่รอยเย็บสมานกันและแผลแห้งสนิทดี อีกไม่นานก็ตัดไหมได้ เมืองสามารถใช้ชีวิตตามปกติเพียงแต่ต้องคอยระวังไม่เคลื่อนไหวใช้แรงมากเกินไปที่เสี่ยงต่อแผลปริ

เมื่อไม่ต้องนอนซมอยู่บนเตียง เมืองจึงค่อยฟื้นฟูพละกำลังด้วยการเดินช้า ๆ รอบสถานีป่าไม้ ยืดเส้นยืดสายไปพร้อมกับการสำรวจความเรียบร้อยของเรือนพักคนงาน คอกเลี้ยงช้าง และรอบออฟฟิศ

จดหมายจากนายห้างที่กระจายไปดูแลปางต่าง ๆ ส่งมาที่สถานี ล้วนแจ้งข่าวดีว่าการตัดไม้ไม่น่าห่วง เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่างานล่าช้าเพราะอะไร ครั้นเข้าป่าได้ก็เดินหน้าทุ่มพลังเต็มที่ทั้งกลางวันและกลางคืน

เมืองไม่จำเป็นต้องตามไปที่ปางไม้ วิลเลียมสั่งให้เขาคอยจัดการงานเอกสารอยู่ที่ออฟฟิศ ดังนั้นทุกเช้าไม่เกิน ๗ นาฬิกา เมืองจะทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วมานั่งลงประจำโต๊ะทำงาน แต่งกายเรียบร้อยสะอาดสะอ้านแม้ไม่มีใครมาตรวจทานเข้มงวด บางวันที่งานเสร็จไวในตอนบ่าย เมืองจะไปเยี่ยมหมอสจ๊วตที่บ้านถือโอกาสดูแผล แล้วเลยไปที่หาพ่อที่วัดซึ่งการบูรณะจวนแล้วเสร็จ

ที่สถานีป่าไม้แทบไม่เหลือใคร คอกช้างก็ห่างไปจากออฟฟิศ ในยามทำงานจึงมีเพียงคนเดียวที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน นั่นคือแหม่มเบ็ตตี้

หญิงสาวชาวอังกฤษทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเห็นเสมียนหนุ่มพื้นเมืองอยู่ในสายตาของหล่อนทุกวัน

ความสัมพันธ์…ว่าให้ถูกก็คือกำแพงความปั้นปึ่งเย็นชาที่เบ็ตตี้มีต่อคนพื้นเมืองยังสูงและแน่นหนาเช่นเดิม แต่กับเมือง…มันเบาบางลงไปเมื่อหล่อนยกไว้ให้เขาต่างจากคนพื้นเมืองอื่น ๆ…นับตั้งแต่แบ่งซุปฟักทองไปให้เขาที่เรือนพักคนงาน

ฝนโปรยสายลงมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จวนเที่ยงวันก็ไม่มีเค้าว่าจะซา ฟ้าหม่นเทายิ่งชวนให้เหงาและจิตใจหดหู่ ซ้ำร้ายคือเบ็ตตี้ไม่รู้ว่าจะหลบเลี่ยงเมืองได้อย่างไร หล่อนกลัวใจที่คอยแต่จะฟุ้งซ่านยามชำเลืองมองชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งแก่ ก็เห็นแต่เรือนร่างของเขาเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ห่มคลุม

เบ็ตตี้ต้องคอยกดหน้าอกระงับอารมณ์ข่มไว้มิให้ใจเต้นจนระเบิดออกมา

หญิงสาวไม่คิดว่าตัวเองจะหลงเมืองได้ หล่อนไม่นิยมพวกลิงป่าผิวเหลือง แม้ว่าบางคนจะมีผิวเนียนละเอียดเกลี้ยงเกลาเหมือนน้ำผึ้งป่า เบ็ตตี้ก็รู้สึกว่าไม่น่าชมเท่ากับผิวขาวอมชมพูอย่างพวกชาวตะวันตก

แต่เมืองกลับเป็นข้อยกเว้น

เบ็ตตี้รู้จักสนิทสนมกับวิลเลียมมาตั้งแรกรุ่นสาว มีบทสนทนาและกิริยาหวานซึ้งต่อกันหลายหนที่ก่อความวาบหวามและอิ่มเอมใจ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เป็นความรู้สึกหลงใหลระคนพิศวาส

เมืองทำให้เลือดสาวในตัวหล่อนพลุ่งพล่าน

“ฝนบ้านี่ก็ตกอยู่ได้ น่ารำคาญจริง” บ่นพึมกับตัวเอง แอบชำเลืองไปทางโต๊ะทำงาน เห็นชายหนุ่มในเสื้อสีขาวเงยหน้ามาทางหล่อนครู่หนึ่งแล้วก้มลงอ่านเอกสารเหมือนเดิม

เมืองคิดว่าแหม่มคงแค่บ่นไปตามอารมณ์หงุดหงิดสายฝนจึงไม่ตอบสนอง แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เบ็ตตี้ขุ่นใจ เพราะหล่อนกำลังหาทางชวนคุยด้วยโดยที่ไม่เสียฟอร์มที่เคยตั้งแง่เอาไว้มากมาย ครู่ต่อมาจึงปรารภขึ้นอีกครั้ง…เสียงดังกว่าเดิม

“ถ้าตกแบบนี้ทั้งวัน ก็ไม่ต้องออกไปไหนกันพอดี”

คราวนี้ได้ผลเพราะเมืองตอบสนอง

“แหม่มจะไปที่ไหนหรือครับ บ้านหมอสจ๊วต บ้านมิตซ่าหลุยส์ สปอร์ตคลับ หรือกาดกองต้า”

หญิงสาวหมุนตัวกลับมาจ้องหน้าคนถามด้วยแววตาตำหนิ…อย่างที่มักแสดงออกเสมอมา…ทว่าครั้งนี้สมใจที่หาทางคุยกับฝ่ายนั้นได้สำเร็จ

“เธอคงลืมไปแล้วว่าหมอสจ๊วตไม่อยู่ หอบไปเชียงใหม่กันหมดทั้งบ้าน รวมทั้งแม่น้องสาวแก่นกะโหลกของเธอด้วย เรต้าก็น่าเบื่อ คุยกับหล่อนไม่มีอะไรมากไปกว่าอวดชีวิตอู้ฟู่ ยิ่งพักหลังนี้บ่นแต่เรื่องอยากกลับไปอยู่อังกฤษ ที่คลับยิ่งแล้วใหญ่ พวกผู้หญิงรวมตัวกันมาก ๆ ทีไรมีแต่ตั้งวงนินทา น่ารำคาญจะตายไป”

เบ็ตตี้ร่ายยาวราวกับว่าหล่อนมิได้เป็นหนึ่งในผู้สร้างความน่ารำคาญนั้น

มื้อเที่ยงวันนี้เบ็ตตี้จึงให้เมืองร่วมโต๊ะด้วย เมืองก็ร่วมอย่างเฉยเมย มื้ออาหารจึงผ่านไปอย่างแกน ๆ เพราะบทสนทนาระหว่างมื้อเป็นไปอย่างถามคำตอบคำ เมืองไม่เป็นผู้นำชวนคุยอยู่แล้ว ส่วนเบ็ตตี้ก็กระดากที่จะชวนคุยไปเรื่อย ๆ แม้หล่อนจะเป็นคนช่างจำนรรจา…แต่ไม่ใช่กับเมือง

ถ้าหล่อนชวนคุยหัวร่อต่อกระซิก ก็จะยิ่งดูแปลกประหลาดไปเสียอีก

จบมื้อเที่ยงแล้วเมืองก็กลับไปเข้าโต๊ะทำงาน ส่วนเบ็ตตี้จิบชาดูสายฝนพรำที่ระเบียง นิ้วเรียวพลิกสมุดวาดเขียนของลีรอยดูภาพดอกไม้เพื่อให้จิตใจสงบ…อย่างน้อยก็หายจากความฟุ้งซ่าน

ภาพวาดของลีรอยมีวันที่กำกับไว้ทุกภาพ

เรียวตางามสะดุดกับวันที่ซึ่งบอกว่าเป็นช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว ภาพดอกไม้ส่วนใหญ่หล่อนไม่รู้จักและไม่เคยเห็น เป็นพวกกล้วยไม้ป่าเสียมาก สบช่องจะชวนคุยจึงหยิบสมุดภาพไปเปิดกางต่อหน้าเมือง

“ดอกเอื้องพวกนี้อยู่ในป่าครับ นายห้างวาดตอนไปอยู่ที่ปางไม้”

“ฉันอยากเห็นของจริง ป่าแถบนี้ไม่มีหรือ” เบ็ตตี้ถาม

เมืองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงว่า

“แถวน้ำตกน่าจะมี ถ้าฝนหยุดเมื่อไร ผมจะไปเก็บมาให้แหม่มดูนะครับ”

เบ็ตตี้ขยับปากน้อย ๆ แทนการตอบรับ ถือสมุดภาพกลับไปชมพลางจิบชาเคล้าละอองฝอยฝนฉ่ำเย็น

 

ฝนยังตกต่อเนื่องไปอีกสองวัน จนเข้าสู่วันที่สามท้องฟ้าก็โปร่งสะอาดใสราวกับว่าไม่เคยมีเมฆฝนหม่นเทาครอบคลุมมาก่อน

เมืองทำงานที่โต๊ะตลอดเช้า จนจบมื้อเที่ยงเขาก็บอกกับแหม่มสาวชาวอังกฤษ

“ผมจะไปที่น้ำตก คงกลับมาเย็น ๆ”

“เธอจะไปหาเอื้องป่ามาให้ฉันหรือ”

“ครับ หรือว่าแหม่มไม่อยากได้แล้ว” เมืองถาม “ถ้าแหม่มไม่อยากได้แล้ว ผมก็จะไปที่คอกช้าง ดูคนงานเตรียมช้างสำหรับผลักซุงลงแม่น้ำ”

“ดอกไม้นั่น…ฉันไม่อยากได้เท่าไรแล้วละ แต่ฉันอยากเปลี่ยนบรรยากาศมากกว่า อุดอู้อยู่แต่ในบ้านสามสี่วัน ไปไหนก็ไม่ได้ วันนี้ฟ้าสดใสอากาศดี ไปเดินเล่นที่น้ำตกก็คงดีเหมือนกัน”

“จะดีหรือครับ น้ำตกหน้าฝน น้ำแรงและไม่ค่อยสวย ยิ่งหลังฝนตกน้ำเป็นสีโคลน ไม่สะอาดใสเหมือนช่วงหน้าร้อน”

ภาพลายเส้นร่างชายหนุ่มสักหมึกนอนระทวยอยู่ริมน้ำตกพาดผ่านเข้ามาในความคิดของหญิงสาว หล่อนจึงเอ่ยไปว่า

“ก็คงดีกว่าจับเจ่าอยู่แถวนี้ ทั้งที่ฟ้าก็กระจ่างใส ใครจะรู้ว่าฝนจะตกลงมาอีกเมื่อไหร่” แล้วก็สรุปเอาดื้อ ๆ “เธอคอยเดี๋ยว ฉันขอเปลี่ยนชุดหน่อย น้ำตกอยู่ไม่ไกลใช่ไหม”

“ไม่ไกลครับ แหม่ม”

“ดี ถ้าต้องเดินไกลมากฉันคงไม่ไหว”

เบ็ตตี้หายเข้าไปในห้องของหล่อน มองภาพสะท้อนจากกระจกเงาบานใหญ่ก็พบว่าหญิงสาวโฉมงามยืนอยู่ตรงนั้น หากเป็นดอกไม้หล่อนก็ถึงวันวัยที่ผลิบานเต็มที่ คลี่กลีบอวดเกสรพร้อมให้หมู่ภมรเข้ามาเคล้าคลึง น่าเสียดายที่ไม่เคยมีใครเหลียวแล วิลเลียมมัวแต่หลงใหลกล้วยไม้ป่าจนลืมไปว่ากุหลาบอังกฤษก็สวยงามและมีเสน่ห์ยวนใจไม่แพ้กัน

หล่อนยังคอยวันนั้น…วันที่วิลเลียมจะคุกเข่าขอหล่อนเป็นเจ้าสาวของเขา

แต่อารมณ์ของหญิงสาวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และหล่อนรู้โดยสัญชาตญาณว่าต้องบำบัดอย่างไรนั้น…หล่อนไม่อาจคอยวันที่วิลเลียมจะมอบให้หล่อนได้

เมื่อเดินออกมาที่ระเบียงก็พบว่าเมืองเปลี่ยนชุดใหม่อย่างพรานไพรยืนคอยที่ลานดินกลางแดด เบ็ตตี้กางร่มลูกไม้สีขาวก้าวลงบันได ส่งเสียงใสเอ่ยไปว่า

“ฉันพร้อมแล้ว เราไปกันเถอะ”

 

เสียงน้ำซัดซ่าดังมาแต่ไกลบอกให้รู้ว่าใกล้ถึงน้ำตกแล้ว เมืองเดินนำอย่างผู้ชำนาญเส้นทาง ลัดเลาะไปยังบริเวณที่ดินยังแน่น ไม่อ่อนเหลวเป็นโคลนเพราะอุ้มน้ำฝนไว้เต็มที่ เบ็ตตี้กางร่มตามไปอย่างระมัดระวัง เกรงจะก้าวไปแล้วพื้นยุบยวบ เท้าติดจมก้าวต่อไม่ได้ ไหนจะต้องคอยระวังทากที่อาจกระโดดเกาะเมื่อไรไม่รู้ตัว และยังตะไคร่น้ำตามก้อนหินที่อาจทำให้ลื่นล้มก้นกระแทกอีก

แต่ไม่มีสิ่งใดทำให้ใจของหญิงสาวพะว้าพะวังได้เท่ากับความรู้สึกสับสนปั่นป่วนในใจ

เบ็ตตี้ใคร่ครวญมาตลอดทางว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะสลัดความคิดที่วนเวียนเหมือนผึ้งในหมวกผ้าให้หลุดพ้นออกไป (1) แต่แรงเร้าจากไฟปรารถนามีมากกว่า…มากพอจะสั่งให้เท้าก้าวตามเมืองลึกเข้าไปในป่าจนถึงน้ำตก แทนที่จะหันหลังกลับคืนสู่สถานีป่าไม้

ละอองน้ำที่กระทบผิวกายช่วยให้ความร้อนรุ่มสับสนในใจค่อยคลายลงบ้าง หากกระนั้นหล่อนก็สะดุ้งเมื่อเสียงชายหนุ่มบอกว่า

“แหม่มนั่งพักตรงนี้ก่อน”

เมืองสำรวจรอบบริเวณ พบที่เหมาะใจแล้วจึงบอกให้แหม่มสาวชาวนั่งอยู่บนลานหินที่มีร่มเงาเป็นเวิ้งอยู่ใต้เงื้อมผา เบ็ตตี้วางร่มขาวที่ถือมาแล้วย่อตัวลงนั่ง จัดกระโปรงให้เรียบร้อย กวาดตามองความงามของธรรมชาติหลังฝนตกอย่างเพลินใจไปกับความเขียวชอุ่มของพุ่มพฤกษ์อิ่มน้ำฝน ความสดเขียวของกอเฟินที่ขึ้นงามตามซอกหิน และไม้เลื้อยหลายชนิดที่พาตัวเองทะยานไปสู่แสงแดด พาดพันไปสู่เรือนยอดของไม้ใหญ่ โดยเฉพาะเถารางจืดใบแหลมที่บัดนี้ออกดอกสีม่วงเป็นพวงทิ้งช่อห้อยประดับอยู่เป็นระยะ

“ดอกเอื้องที่แหม่มอยากได้อยู่ตรงนั้น”

เบ็ตตี้มองไปตามมือชี้ของเมืองก็พบว่า กล้วยไม้ป่าที่หล่อนเห็นว่าแปลกตาในสมุดวาดเขียนของลีรอยบานเป็นกออยู่ที่หน้าผาริมน้ำตก มันมิได้บานอยู่บนพื้นหรือคาคบไม้เตี้ย ๆ เก็บง่าย แต่ช่อดอกระริกไหวเล่นลมและละอองฝอยจากน้ำตกอยู่ที่หน้าผา หล่อนอยากจะบอกเมืองว่า…ช่างเถอะ ฉันไม่อยากได้แล้ว…เพราะไม่อยู่ในความสนใจแล้ว แต่ยังปากหนักไม่เอ่ยออกไป เมืองจึงเข้าใจว่าหล่อนรับรู้แล้วแต่ไม่พูดออกมา

ถ้าพูด…แหม่มเบ็ตตี้ก็คงพูดว่า…จะมัวพล่ามอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ รีบไปเก็บมาสิ

นั่นแหละ เมืองจึงถอยห่างออกมาจากแหม่มสาวแล้วจัดแจงให้ตัวเองทะมัดทะแมง พร้อมที่จะปีนหน้าผาที่ทั้งลื่นและชัน ชุดทะมัดทะแมงที่ว่านั้น คือผ้ายาวผืนเดียวเคียนรอบเอวแล้วตวัดรัดที่หว่างขาอย่างที่เรียกกันว่านุ่งแบบเค็ดม้าม

เบ็ตตี้ชำเลืองมองตามทุกอิริยาบถที่เมืองทำ ไม่กล้าจ้องไปตรง ๆ ด้วยยังรักษากิริยาและท่าทางไว้ตัว หากกระนั้นเมื่อเห็นเมืองในชุดเดียวกับที่เขาใส่ตอนอาบน้ำช้าง หญิงสาวก็แทบมองตาค้าง ยกมือกดอกไว้มิให้เต้นโครมครามจนระเบิดออกมา

ภาพของเมืองที่เกือบจะเป็นนุ่งลมห่มฟ้า…ถ้าเพียงแต่ไม่มีผ้าผืนนั้นเคียนรอบเอว…ทำให้จินตนาการที่ก่อกวนตะกอนอารมณ์ของหญิงสาวให้ปั่นป่วนมาหลายคืนหวนกลับมาอีกครั้ง เบ็ตตี้ไม่กล้าหลับตา เพราะเมื่อหลับตาครั้งใด หล่อนจะเห็นภาพเมืองกำลังโถมตัวลงมาในขณะที่หล่อนดันร่างตัวเองเสนอสนอง

หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้อง มองชายหนุ่มปีนหน้าผา

หล่อนมิได้กังวลหวาดเสียวกลัวว่าเขาจะพลัดตกลงมาได้รับบาดเจ็บ แต่ความเคลื่อนไหวของเมืองทำให้หล่อนอึดอัดคับแน่นหายใจไม่ทั่วท้อง ร่างกายคล้ายตัวหนอนที่ถูกรัดรึงอยู่ในดักแด้มานาน ถึงแก่กาลจะต้องแหวกปลอกใยแน่นเหนียวออกไปเป็นผีเสื้อบินสู่โลกกว้าง

ร่างกายกำยำและการเคลื่อนไหวของเมืองกระตุ้นอารมณ์สาวในตัวเบ็ตตี้ หล่อนรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อทั้งฝูงบินวนอยู่ในท้อง เพ่งมองดูเรือนร่างกำยำประดับด้วยลายสักหมึกนั้นให้อิ่มเอมที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลับตานึกถึงมายาภาพที่หล่อนสร้างขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าทุกอณูในกายตื่นตึงไปทั่วสรรพางค์

เบ็ตตี้ไม่รู้ตัวว่าหลุดไปในภวังค์ รู้ตัวอีกครั้งเมื่อมีเสียงเรียก

“แหม่ม” เมืองเรียกถึงสามครั้ง ดังขึ้นเรื่อย ๆ หญิงสาวจึงหันมา ยื่นดอกไม้ส่งให้หล่อน “ดอกเอื้องที่แหม่มอยากเห็น”

เบ็ตตี้รับไปถือมือไม้สั่นอ่อนระทวย

มนตราซาตานองค์ใดหนอทำให้หล่อนเผลอไผลปล่อยใจไปอย่างนี้ เห็นเมืองในระยะใกล้ก็ให้หวั่นไหวไปกับเม็ดเหงื่อที่เกาะพราวไปบนกล้ามเนื้อแน่นตึงของเขา ยิ่งเห็นยิ่งร้อนผ่าวไปทั้งหน้าทั้งตัว เบ็ตตี้จึงเสก้มมองดอกไม้ในมือมิให้เมืองจับได้ว่าใจหล่อนหวามเพียงใดเมื่อมองไปที่ร่างกายของเขา

หล่อนก้มดูดอกไม้ราวจะพินิจให้ละเอียดทุกซอกกลีบทั้งที่มองเห็นอย่างพร่าเลือนเต็มที ไม่มีดอกไม้ปรากฏในสายตาของเบ็ตตี้ มีเพียงมโนภาพที่หล่อนไม่อาจสลัดหลุดไปได้

เนิ่นนานผ่านไป…หญิงสาวคิดว่าอย่างนั้น จึงเงยหน้าเอ่ยออกมา

“สวยน่ารักจริง ๆ มิน่าล่ะ ลีรอยถึงวาดเก็บไว้ ดูตรงกระเปาะนี่สิ อย่างกับรองเท้าของสตรีแน่ะ”

เมืองแค่พยักหน้าน้อย ๆ ไม่ตอบ ไม่แสดงความเห็น เพราะรู้อยู่ว่าแหม่มเบ็ตตี้วางตัวเองอยู่เหนือคนท้องถิ่นและคนงานในปางไม้อย่างไร ที่หล่อนว่าออกมายืดยาวราวคุยกับเขานั้น คงเป็นการรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่า

เมืองจึงไม่ตอบ และถอยห่างออกมาอีกครั้งให้แหม่มสาวเพลิดเพลินกับดอกไม้ตามลำพัง

แต่อยู่ ๆ หล่อนก็หันมาบอกว่า

“เธอจะเล่นน้ำสักหน่อยก็ได้ เชิญตามสบาย วันนี้อากาศดี มีโอกาสงามอย่างนี้ต้องรีบฉกฉวยไว้ เพราะไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้ฝนอาจจะเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาติดต่อกันอีกหลายวันก็ได้”

เมืองพยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง ถอยห่างออกไปไม่ไกล ก้ม ๆ เงย ๆ สำรวจอะไรรอบบริเวณอยู่คนเดียว…แต่ไม่เล่นน้ำ

เบ็ตตี้แอบลอบมองเป็นพัก ๆ หักห้ามอารมณ์ที่กรุ่นอยู่ในอกให้เย็นลงได้แล้วจึงค่อย ๆ ยันตัวลุก ตั้งใจจะเดินเล่นดูอะไรสักครู่แล้วชวนเมืองกลับ แต่หล่อนกลับเซล้มและไถลพรืดไปกองกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า เมืองรีบปราดมาถึงตัวแต่ไม่กล้าแตะต้องหล่อน

“แหม่มเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บไหม” เมืองถามออกไป

“ไม่เป็นไร ล้มไม่แรง แค่เหน็บกินเท่านั้น” เบ็ตตี้ตอบพลางพยายามยันตัวเองลุกอีกครั้งแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ กลับร้อง “อูย…”

เมืองเห็นรอยไถลของตะไคร่น้ำบนแผ่นหินก็คิดว่าไม่ใช่การล้มเล็กน้อย ยิ่งแหม่มร้องออกมาแปลว่าเจ็บ เขายอบตัวลงแล้วเลิกชายประโปรงของหญิงสาวเล็กน้อยก็เห็นว่าหน้าแข็งขาวผ่องของหล่อนเป็นปื้นแดง แต่ไม่มีรอยแผลถลอก

“ขออภัยครับ แหม่ม” ว่าพลางกดเบา ๆ ที่ขาเพื่อดูว่าหล่อนเจ็บเพียงใด จะทนได้หรือไม่หากต้องเดินกลับไปที่สถานีป่าไม้

เบ็ตตี้ร้องอูยเบา ๆ หล่อนเจ็บ…แต่มิได้เจ็บมาก ยังทนไหวถ้าต้องเดินกลับไปที่สถานีป่าไม้ แต่ความปั่นป่วนในใจที่ถูกกวนขึ้นมาใหม่ต่างหากที่รบกวนอารมณ์หล่อน สัมผัสจากฝ่ามือกร้านที่แตะลงบนแข้งของหล่อนเหมือนเติมเชื้อไฟให้อารมณ์คุกรุ่น…จนลืมความเจ็บ

เมืองขยับตัวไปด้านหลังเพื่อช่วยประคองให้ลุกยืน เบ็ตตี้ยอมตามอย่างว่าง่าย ไม่แสดงท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ที่เมืองบังอาจแตะต้องตัวหล่อน ครั้นยืนได้ เขาก็ยังช่วยประคองให้ทรงตัว เพราะกลัวว่าถ้ารีบปล่อยหล่อนจะทรุดฮวบลงไปอีก

การต่อสู้ใด ๆ ไม่หนักหนาสาหัสเท่าต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง

เบ็ตตี้ต้องข่มใจข่มกายอย่างหนักไม่ให้เตลิดไปตามไฟปรารถนา พระผู้เป็นเจ้าช่วยลูกด้วย…หล่อนร้องในใจ…ในยามนี้อารมณ์หล่อนปั่นป่วนเหมือนทะเลคลั่ง คลื่นลูกใหญ่โถมซัดฝั่งราวจะให้ปราการที่เรียกว่าความยับยั้งชั่งใจของหล่อนทลายลง เนื้อตัวหล่อนที่สัมผัสกับเมืองเหมือนได้เชื้อไฟกระตุ้นให้ความสาวสำแดงออกมาเต็มที่

เบ็ตตี้หมุนตัวไปหาเมือง มันทำให้กลายเป็นว่าหล่อนอยู่ในอ้อมแขนของเขาไปโดยปริยาย

“ฉันยืนด้วยตัวเองได้แล้ว ขอบใจ”

เมืองปล่อยมือที่ประคองหล่อนไว้ เบ็ตตี้ก้าวจะถอยออกมาแล้วกลับเสียหลักอีกครั้ง ทว่าคราวนี้หล่อนคว้าร่างของเมืองไว้ทัน จึงไถลลงไปในแอ่งน้ำตกทั้งคู่

ชุดยาวและรุ่มร่ามของสตรีชาวอังกฤษเป็นอุปสรรคให้หล่อนเอาตัวรอดในสายน้ำ มันพันขาพันตัววุ่นวายไปหมด เบ็ตตี้จึงรัดร่างเมืองไว้ไม่ยอมปล่อย เมืองเองก็พยายามรั้งตัวหล่อนขึ้นไปบนฝั่ง ก่อนสายน้ำจะพัดไปสู่วังน้ำวนที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนั้น

เบ็ตตี้ระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่ารอดพ้นจากความตายแล้ว ทว่าแขนของหล่อนยังโอบรอบคอชายหนุ่มพื้นเมืองผมดำที่บัดนี้เป็นข้อยกเว้นสำหรับความน่ารังเกียจ หล่อนโน้มหน้าเขาให้ลงมาใกล้ ในขณะที่เชิดหน้าตนเองขึ้นไปให้ริมฝีปากแตะกันพอดี

วินาทีนั้น เชื้อไฟอ่อนในตัวหล่อนก็แตกปะทุลุกกระพือโหมราวได้ลมพัดส่ง ทุกอณูร่างกายตื่นตึงครัดเคร่งจนแทบระเบิด เบ็ตตี้รู้สึกว่ายามนี้หล่อนคือดอกไม้ที่เต็มใจขยายกลีบอวดความงามของเกสรที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน รอให้ภมรมาซุกไซ้เคล้าคลึง

เมืองอึ้งในทีแรก สะดุ้งราวกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน เขานิ่งตัวแข็งราวถูกสาปให้กลายเป็นหิน ครั้นได้สติก็ขืนตัวดันร่างหญิงสาวออกไป แต่วงแขนของหล่อนยามนี้ไม่ผิดกับการรัดเหยื่อของนางงูสาว ลมหายใจของหล่อนร้อนผ่าวอยู่บนหน้าเขา

ครั้นแล้วร่างกายของเมืองก็ตื่น เขาไม่อาจขัดขืนตัวเองไม่ให้คล้อยตามหล่อนได้อีก

เขาพยายามทำแล้ว…แต่ไม่สำเร็จ

สิ่งที่เรียกว่า ‘ธรรมชาติ’ และ ‘สัญชาตญาณ’ ถูกฝังอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด เมล็ดของมันจะค่อย ๆ เติบโตโดยเจ้าของไม่รู้ตัว แต่เมื่อใดต้องใช้ มนุษย์เราก็จะพบว่ามันพร้อมที่จะออกมาทุกเมื่อ เช่นครั้งนี้…สำหรับเบ็ตตี้มันคือครั้งแรก และสำหรับเมืองเอง…หากจะนับว่าเป็น ‘ครั้งแรก’ ก็คงไม่ผิดนัก กรีฑารัตน์ที่ดำเนินไปไม่มีใครสั่งสอน ไม่เคยมีประสบการณ์ แต่เมื่อสองร่างผสานเกาะเกี่ยวก็เหมือนเถาวัลย์ที่รู้ว่าจะลดเลี้ยวไปทางใดให้พบเจอแสงสว่างที่เรือนยอดไม้

เมืองพยายามระงับใจตนเองเป็นพัก ๆ ทว่าไม่สำเร็จ แม้เขาจะเห็นหน้าลีรอยแทรกเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกว่าเขากำลังทำผิดต่อนายหน้าห้างหนุ่ม แต่สัมผัสอ่อนนุ่มจากเรือนร่างของแหม่มเบ็ตตี้ก็ตีมันให้แตกกระเจิงไป ในยามนี้หล่อนไม่ใช่สตรีผู้วางท่างามกริบเคร่งครัดไปทุกอิริยาบถ แต่เป็นสตรีอีกผู้หนึ่งที่รุ่มร้อนไปด้วยไฟสวาท เมื่อร่างของเขาและหล่อนผสานเป็นเนื้อเดียวกัน หล่อนทั้งรัดทั้งดันไม่ยอมให้หลุดไปได้ สัมผัสประหลาดทั้งนอกและในทำให้ดวงไฟแห่งชีวิตลุกโพลง

นานช้ากว่ากองเพลิงที่ลุกโหมจะค่อยรา

เมืองและเบ็ตตี้กลับมาถึงสถานีป่าไม้ก่อนตะวันตกดิน ชายหนุ่มส่งแหม่มสาวถึงที่พักแล้วก็รีบกลับไปที่เรือนพักคนงาน ส่วนเอื้องป่าที่หญิงสาวอยากเห็นนักหนา…หล่อนมิได้นำกลับมาด้วย ปล่อยให้มันกลีบช้ำผึ่งลมอยู่ที่ผาหินริมน้ำตกนั้นเอง

วันถัดมาเมืองมาที่ออฟฟิศแต่เช้าเพื่อหอบงานไปทำที่คอกช้าง

ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่น้ำตกเพราะไม่เกิดประโยชน์กับใคร ไม่ว่าตอนที่เกิดเรื่องนี้จะเป็นเพราะสาเหตุใด แต่เมืองเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว…ไม่เกิดซ้ำอีก เขาจึงทำเหมือนเป็นเรื่องคลื่นกระทบฝั่ง และปลีกตัวเองให้ห่างจากแหม่มสาวชาวอังกฤษ อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกพิพักพิพ่วน เข้าหน้ากันไม่ติด

แต่เมืองประเมินสถานการณ์ผิด

วันใดที่ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง อากาศสดใส ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดในสถานีป่าไม้ เบ็ตตี้ก็ตามหาตัวเขาพบ พร้อมคำชวนแกมสั่งว่า

“วันนี้อากาศดี เราน่าจะไปเดินเล่นกันที่น้ำตก”

 

หลังจาก ‘ครั้งแรก’ ในชีวิตของหญิงสาวที่ไม่เคยคิดว่ามาก่อนจะออกมาในรูปนี้ เบ็ตตี้ก็พบว่าความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกพิเศษยากจะบรรยาย เปรียบเป็นอาหารมันก็ครบรสเสียจนหล่อนไม่รู้จะเปรียบเทียบกับตำรับไหนได้ถูก

รู้แต่ว่าหล่อนอยากลิ้มรสชาติแบบนั้นอีก

ในสายตาคนงานในสถานีป่าไม้ แหม่มเบ็ตตี้มีท่าทีลดความปั้นปึ่งลงมาก ไม่ถือยศถือศักดิ์ว่าเป็นสตรีชาวอังกฤษผู้สูงส่งอย่างเมื่อก่อน เห็นได้ชัดจากที่แหม่มไม่ถือตัวกับเมือง ในวันที่อากาศดี แหม่มก็จะชวนเมืองไปพักผ่อนหย่อนใจที่น้ำตกที่แหม่มเรียกว่า ปิกนิก แทนที่จะจิบชาหรือไปอ่านหนังสือที่สโมสร

และเมื่อกลับมาในตอนค่ำ แหม่มจะชื่นบานสดใสเหมือนดอกไม้ได้น้ำค้าง ในขณะที่เมืองจะรีบปลีกตัวไปอยู่ตามลำพัง…คนงานเข้าใจว่าเขารีบจัดการงานคั่งค้างให้แล้วเสร็จ เพราะเสียเวลาไปกับการพาแหม่มไปปิกนิก

“ฉันอยากเห็นลายสักของเธอชัด ๆ” แหม่มสาวว่าเมื่อเอนกายพักเหนื่อยริมน้ำตกได้สักครู่ “ที่เธอว่าลายสักเป็นรูปนกหนูงูกระต่ายอะไรนั่น ฉันดูรูปที่ลีรอยวาดแล้วก็ยังมองไม่ออก ว่าเป็นนกเป็นหนูยังไง”

เมืองหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวว่าเบ็ตตี้กำลังสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนายห้างลีรอย ทั้งที่ในความจริงแล้วหญิงสาวไม่ระแคะระคายเลยสักนิด หล่อนแค่เกริ่นเพื่อนำไปสู่สิ่งที่หล่อนต้องการเท่านั้น

“สัปดาห์หน้าผมจะไปที่ปางไม้”

“อะไรกัน ไหนหมอสจ๊วตว่าให้เธอรักษาตัวให้หายดีเสียก่อน หรือว่าใครตามตัวให้เธอไปช่วยที่ปางไม้” เสียงของหล่อนฉิวขึ้นเล็กน้อย เห็นชัดว่าไม่สบอารมณ์กับข่าวนี้

“ไม่มีใครตามหรอกครับ แต่ผมรอเช็คสต็อกไม้หลังตัดแล้วไม่ได้ ใกล้ถึงเวลาล่องซุง ถ้าไม่รู้จำนวนเสียแต่เนิ่น ๆ ผมเกรงจะเตรียมช้างไม่ทัน”

“ข้ออ้างทั้งนั้น ฉันรู้ทันเธอหรอก เมือง” หล่อนยั้งคำว่า…เธอคิดจะหนีไปให้ไกลจากฉัน…ไม่เอ่ยออกมา

ชายหนุ่มไม่ตอบว่ากระไร เขาไม่อยากถูกบังคับให้อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้อีก

เมืองยอมรับว่าหลายครั้งที่เขามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหล่อน มันดำเนินไปได้อย่างครบถ้วนจบกระบวนเพลง เพียงแต่การเริ่มต้นในแต่ละครั้งเขาต้องฝืนใจ เขาไม่อยากมีอะไรกับหล่อน แต่หล่อนก็ขู่ว่าถ้าเขาไม่ยอมตามหล่อนจะบอกกับวิลเลียมและหมอสจ๊วต

“แค่ฉันบอกว่าเธอขืนใจฉันตอนพักรักษาตัว เธอคิดว่าพวกเขาจะเชื่อใครมากกว่ากัน” หลังจากขู่ทำนองนี้เสียงหล่อนจะอ่อนลง พร้อมกับยื่นจมูกมาเกลือกหน้าชายหนุ่ม “เธออย่าคิดมากน่า เมือง มันไม่เป็นเรื่องอะไรสักนิด ถ้าเธอจะไม่คิดให้มันเป็นเรื่องขึ้นมา”

แล้วเมล็ดพันธุ์แห่งตัณหาก็งอกงามขึ้นมาเช่นทุกครั้ง หลังจากที่เบ็ตตี้กล่อมเขาจนสำเร็จ…เพราะหล่อนรู้จุดอ่อนของเขา เมืองก็เข้าขย้ำหล่อนไปทั่วร่างให้สมกับอารมณ์ร้อนที่หล่อนปลุกขึ้นมา

ทว่าวันนี้ไม่เหมือนเดิม

ขณะที่เขาปล่อยให้สัญชาตญาณของวัยหนุ่มซอกซอนไปกับร่างของแหม่มสาว พลันหล่อนก็กรี๊ดขึ้นมา คว้าร่วมลูกไม้ฟาดตีเขา ดิ้นรนผละหนีน้ำตาไหลพราก ชุดของหล่อนเกี่ยวกิ่งไม้ขาดดังแคว่ก ยิ่งทำให้สถานการณ์นั้นสมจริง

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”

สิ้นเสียงร้องของเบ็ตตี้ สามร่างก็ปรากฏตัวตรงหน้า เบ็ตตี้ร้องไห้นองน้ำตา ยกมืดปิดหน้าอกด้วยความอับอาย

“ไอ้เมือง มึงยะอะหยัง!” เสียงดังดุจฟ้าผ่าของหนานทิพย์ผู้เป็นบิดามีผลให้เมืองอ้าปากค้าง ทั้งตกใจไม่คิดว่าพ่อจะมาอยู่ตรงนี้ และยังภาพเหตุการณ์ตรงหน้าที่เป็นคนละเรื่องกับความจริง

แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้เรื่อง…ภาพหนุ่มสาวที่ปรากฏต่อหน้า ไม่มีทางจะคิดเป็นอื่นได้เลยนอกจาก…

“วิลเลียม…ช่วยฉันด้วย เมือง…เมือง…” เบ็ตตี้สะอื้นฮักดุจอายที่จะต้องเอ่ยคำที่ยอกแสยงใจออกมา

วิลเลียมรีบเข้าไปประคองหญิงสาวที่ขวัญเสีย

หนานทิพย์ปราดเข้าไปกระทืบลูกชายหลายทีจนเลือดซิบนอนคู้ไปมาด้วยความเจ็บปวด ลีรอยรีบปรี่เข้าไปแยกก็ถูกหนานทิพย์ผลักออกโดยแรง หงายหลังลงกับพื้น

“นายห้างบ่ต้องยุ่ง!” ตะคอกใส่แล้วหันมาสั่งลูกชาย “ไอ้เมือง! ใส่เสื้อผ้าแล้วตวยกูมาบ่าเดี๋ยวนี้”

หนานทิพย์นำลูกชายออกไปท่ามกลางความตกตะลึงของทุกผู้ที่อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเบ็ตตี้ ลีรอย หรือคนสำคัญอย่างวิลเลียม

“ที่ตกลงกันไว้เมื่อบ่าย ถือว่าเฮาบ่เคยได้อู้ก็แล้วกัน นายห้าง”

ประโยคนี้ หนานทิพย์จงใจพูดกับวิลเลียมโดยเฉพาะ

 

เชิงอรรถ : 

(1) ผึ้งในหมวกผ้า หรือ The bee in the bonnet เป็นสำนวนอังกฤษ หมายถึงความหมกมุ่นครุ่นคิด

 



Don`t copy text!