เวียงวนาลัย บทที่ ๑ : ปัจจุบันของวันวาน “แกรนด์ปา”
โดย : เนียรปาตี
เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ
ภาพที่สะท้อนจากกระจกเงาเป็นอาจารย์หนุ่มวัย 35 ปี ผู้มีข้อความระบุในเอกสารของราชการว่าสัญชาติไทย เชื้อชาติไทย แต่นัยน์ตาสีหม่นเป็นจุดที่ใครต่อใครต้องสะดุดหยุดพิจารณาเพื่อค้นหาความเป็น ‘ไทยแท้’ เพราะส่วนอื่นในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวขาวเหลืองหรือผมดำสนิทก็ปรากฏชัดเจน
เจ้าของเงานั้นคือผมเอง ผู้ช่วยศาสตราจารย์วนารัตน์ วิลล์ ตามด้วยนามสกุลที่ผมขอสงวนไว้ด้วยเหตุผลส่วนตัว ซึ่งคุณอาจจะรู้ได้เองในภายหลังว่าเพราะอะไรผมจึงไม่บอกในตอนนี้
เช่นเดียวกับคนไทยทั่วไปที่ต้องมีชื่อเล่น ในสังคมไทยใครๆ ก็เรียกผมว่า อาจารย์ไม้ซุง ขณะที่ในสังคมเพื่อนฝูงชาวต่างชาติผมจะกลายเป็น ทิม อันย่นย่อมาจากคำภาษาอังกฤษ ทิมเบอร์ ซึ่งก็แปลว่าท่อนซุงนั่นเอง ชื่อเล่นของผมมิได้ตั้งให้เก๋ไก๋แบบที่พ่อแม่ยุคใหม่พยายามประดิษฐ์ชื่อลูกให้ดูมี ‘อะไร’ แต่เป็นความจงใจของพ่อแม่ที่จะให้ทั้งชื่อเล่นชื่อแท้ของผมมีร่องรอยของบรรพบุรุษอยู่
นั่นคือนายห้างปางไม้ชาวอังกฤษที่เข้ามาทำงานในสยามตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 4
ผมจึงมีชื่อกลางว่า วิลล์ แทรกเข้ามา ซึ่งในวัยที่ผมเรียนชั้นประถมมันกลายเป็นตำหนิสำคัญให้เพื่อนเอามาล้อว่าเป็นคนไทยที่ไม่เหมือนคนไทย เพราะนัยน์ตาผมมิได้ดำสนิทเหมือนถ่าน ในขณะที่ครูบางคนก็ซุบซิบเรื่องชื่อกลางนี้ว่าเป็นความดัดจริตของครอบครัวผม
แม่รู้ความทุกข์ใจที่ผมมิได้พูดออกมา แต่มันคงฉายให้เห็นชัดเจนทางใดทางหนึ่ง แม่จึงย้ายผมไปเข้าโรงเรียนใหม่ที่เชื้อสายต้นตระกูลของผมเคยเรียน นั่นก็คืออัสสัมชัญ บางรัก ผมใช้ชีวิตนักเรียนประจำที่นั่นอย่างมีความสุข…ดี…ไม่ถึงกับดีเลิศ เพราะยังคงหนีไม่พ้นการถูกบุลลีจากเพื่อนๆ เรื่องสีตาและชื่อกลาง เพียงแต่ผมมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอยู่หลายคน เราเลยรวมกันเป็นกลุ่ม ‘ลูกครึ่งตาน้ำข้าว’ ที่ใหญ่พอจะโต้แย้งกับเพื่อนที่เป็น ‘ไทยแท้’ ได้
ผมเป็นคนหน้าตาดี
ในข้อนี้คุณอย่าเพิ่งเบ้ปากและหาว่าผมเข้าข้างตัวเอง เพราะมิใช่ว่าลูกครึ่งทุกคนจะหน้าตาดีไปเสียหมด แต่ผมมีหลักฐานยืนยันเรื่องนี้ด้วยรางวัลชนะเลิศการประกวดนายแบบของนิตยสารวัยรุ่นชื่อดังเมื่อครั้งผมอายุ 18 ปี เป็นช่วงเวลาที่ลูกครึ่งฝรั่งกำลังเป็นที่นิยมในวงการบันเทิงไทย ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ที่ทรงเกาหลีหรือหนุ่มจีนตาตี่เป็นที่ชวนฝันของสาวๆ มากกว่า
ระยะเวลาในวงการบันเทิงของผมแสนสั้น แค่ปีเดียวเท่านั้นที่ตัวผมผูกพันกับสัญญาของผู้จัดการประกวด งานหลักของผมคือการถ่ายแบบแฟชั่นและขึ้นปกนิตยสาร ผู้จัดการที่ทางต้นสังกัดส่งมาดูแลเพื่อปั้นและดันให้ผมไปไกลกว่านั้นพาผมไปเล่นมิวสิกวิดีโอและละครสั้นเพื่อชิมลางสำหรับเป็นนักร้องหรือพระเอกละครต่อไป แล้วก็ได้คำตอบว่า…เข็นไม่ขึ้น
ผมไม่ชอบงานแบบนี้ สัญญาห้าปีของผมจึงถูกรอให้หมดเวลาจนคนเซ็นลืม เพราะในทางปฏิบัติ ไม่มีใครจ้างงานผมตั้งแต่เข้าสู่ปีที่สอง ครั้งสุดท้ายที่ผมรับบทในฐานะคนบันเทิงก็คงเป็นวันมอบตำแหน่งผู้ชนะการประกวดนายแบบปีต่อมา คล้องสายสะพายหรือมอบช่อดอกไม้ผมก็จำไม่ได้ถนัด เพราะมิได้ใส่ใจเลยจริงๆ
แล้วผมก็มาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในเดือนแรกหลังสำเร็จปริญญาโท มีหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการว่าจบการศึกษาแล้วจริงๆ ชีวิตหลังจากนั้นก็วนเวียนอยู่กับการสอนหนังสือ เป็นวิทยากร ประชุม สัมมนา และทำวิจัย แบบที่มหาวิทยาลัยมองว่าอาจารย์คือ ‘ยอดมนุษย์’
เสียงเพลง Spanish Cavalier ดังขึ้น แปลว่า ‘แกรนด์ปา’ ติดต่อมา ผมกดรับสาย สนทนาสองสามคำ และวางสายเมื่อรับปากว่าผมจะไปพบแกที่บ้าน…เช่นเคย
บ้านของแกรนด์ปาอยู่ที่เมืองเบอร์มิงแฮม จากเมืองที่ผมอยู่นั่งรถไฟไปชั่วโมงเดียวก็ถึง แต่เมื่อครู่ที่คุยกันแกถามผมว่าจะเดินทางอย่างไร แปลว่าแกอยากออกไปสูดอากาศนอกบ้าน ครั้นผมตอบว่าจะขับรถไป แกก็งึมงำเป็นการรับรู้…แต่ผมจับน้ำเสียงได้ว่าแกรนด์ปาดีใจ
ผมน่าจะยังไม่ได้บอกว่าตอนนี้ผมอยู่ที่อังกฤษ
ใช่ครับ…ผมมาเรียนต่อปริญญาเอกที่อังกฤษ…ตามความต้องการของมหาวิทยาลัยที่ต้องการ ‘ดอกเตอร์’ จำนวนมากเพื่อการันตีว่ามหาวิทยาลัยนี้ดำเนินไปด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพทางวิชาการ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยแห่งความเป็นเลิศในยุคดิจิทัล ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผมอย่างเต็มร้อย เพราะผมไม่สนใจว่าคำนำหน้าชื่อของผมต้องเป็นหมอหรือหมา แต่ถ้าปากหมาหรือหัวหมอผมก็เป็นอยู่บ้างในบางสถานการณ์
ยิ่งน่าขันแกมขมขื่น ปริ่มๆ จะเป็นสังเวชใจอยู่แล้ว เมื่อผมทำเรื่องขอทุนสนับสนุนจากคณะ ทุกอย่างราบรื่นเรียบร้อยดีจนกระทั่งถึงฝ่ายบัญชีก็เจอเรื่องหงุดหงิดน่ารำคาญ เพราะทางนั้นต้องการสำเนาบัตรประชาชนที่มีลายเซ็นของผมรับรองสำเนาถูกต้องอยู่บนนั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถเบิกจ่ายได้
นี่แหละราชการไทย โปรโมตว่าจะไปสู่ยุคดิจิทัล แต่ยังดำเนินการอย่างอะนาล็อก
ผมบ่นระคนเหน็บไปกับฝ่ายบุคคล แต่ก็สำเนาบัตรประชาชนพร้อมเซ็นรับรองใส่ซองส่งไปรษณีย์ไปให้ยี่สิบแผ่น จะว่าประชดก็ได้ แต่ไหนๆ เสียค่าส่งหลายปอนด์แล้วก็ให้มันคุ้มราคา ที่น่าสังเวชใจก็คือ เพียงแค่ผมถ่ายเลขไปรษณีย์ที่ส่งเอกสารให้ฝ่ายบุคคล วันรุ่งขึ้นเงินทุนสนับสนุนการเรียนต่อ ป.เอกก็เข้ามาอยู่ในบัญชี
แสดงว่าไอ้สำเนาเอกสารนี้มิได้จำเป็นถึงขั้นคอขาดบาดตายจนเบิกจ่ายไม่ได้ขนาดนั้น…เรื่องมากกันไปเองทั้งเพ
ผมเล่าเรื่องนี้ให้แกรนด์ปาฟัง และเปรยๆ ว่าผมจะลาออก อันตอนแรกผมคิดว่าจะลาออกจากโปรแกรมปริญญาเอก แล้วกลับไปทำงานจนกว่ามหาวิทยาลัยจะให้ผมออก แต่ต่อมาก็คิดว่าจะออกจากการเป็นอาจารย์เสียเลย
แกรนด์ปาไม่ทักท้วงทัดทานหรือส่งเสริม เพราะแกเชื่อว่าถ้าผมตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป นั่นเกิดจากการไตร่ตรองมาดีแล้ว
เพลง Spanish Cavalier ท่อนสุดท้ายที่ผมเปิดจากยูทูบจบแล้ว ผมจึงสำรวจความเรียบร้อยในแฟลตว่าไม่ลืมปิดสวิตช์แก๊สในครัวและเครื่องทำความร้อนก่อนปิดประตู ลงลิฟต์ไปชั้นล่างสู่ลานจอดรถที่ต้องจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือน ขับเมอร์เซเดสมือสองสีดำที่ซื้อได้ในราคาแสนถูกที่อังกฤษแต่ที่ไทยยกย่องให้เป็นชั้นเลิศหนักหนา มุ่งหน้าไปหาแกรนด์ปาที่บ้านพักในเมืองเบอร์มิงแฮม
‘แกรนด์ปา’ จะเป็นญาติของผมหรือไม่ไม่สำคัญ
ผู้จ้างให้ผมมา ‘คุย’ กับแกรนด์ปาคือ คลาริส หลานสาวของแก ที่ต่อมาผมเรียกหล่อนสั้นๆ ว่า แคลร์
เจ้าหน้าที่จากสถานทูตไทยติดต่อผมมาในวันหนึ่ง บอกว่ามีคนอยากจ้างงาน ระบุว่าต้องเป็นคนไทยเท่านั้น เมื่อผมอนุญาตให้บอกเบอร์โทรศัพท์ได้ ในวันต่อมา คลาริสก็โทร.หาผมเพื่อบอกรายละเอียดของงาน ผมเคยได้ยินเรื่องการจ้างงานแปลกๆ มาเยอะ เลยไม่ตกใจเท่าไรเมื่อได้ยินว่าให้มานั่งคุยหรือแค่มานั่งเป็นเพื่อนตาของหล่อน ค่าตอบแทนดูจะเกินคุ้มกับงานง่ายๆ อย่างนี้ แต่ผมก็เผื่อใจไว้ว่ามันอาจจะน่าเบื่อจนวันหนึ่งผมทนทำต่อไปไม่ได้อีก
งานที่ผมทำไม่ต่างจากคุยกับก้อนหินหรือท่อนไม้ คือผมจะพูด จะคุย หรือทำอะไรก็ได้…คนเดียว เพื่อให้อีกฝ่ายสนใจ มันต่างจากการคุยกับก้อนหินนิดเดียวตรงที่คู่สนทนาของผมยังหายใจเบาๆ บางครั้งรวยริน และบางครั้งหน่ายเนือย แต่นั่นก็เป็นสัญญาณแห่งการตอบสนอง
ครั้งแรกที่ผมพบแกรนด์ปา…ชายชราเหมือนเครื่องเรือนเก่าๆ ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องกลมกลืนราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แกมองผมอย่างไม่สนใจในทีแรก จนแคลร์อ่อนใจ เตรียมจ่ายค่าเสียเวลาให้ผม แต่แล้วแกรนด์ปาก็ยกมือเหี่ยวย่นกวักน้อยๆ ให้ผมเข้าไปหา ผมย่อตัวลงให้แกพิจารณาดูหน้าผมถนัดถนี่
พิจารณา…ต้องใช้คำนี้จริงๆ เพราะแกมองแล้วมองอีกดุจผมเป็นของสักอย่างในพิพิธภัณฑ์ที่คนสนใจเพ่งมองแล้วบรรจงค้นหารายละเอียดหรือเรื่องราวที่ซุกซ่อนภายใน เวลาผ่านไปไม่นานนักในความเป็นจริง แต่ในความรู้สึกของผมมันช่างยาวนานเหลือเกินที่ต้องนั่งนิ่งเป็นหุ่นให้ใครก็ไม่รู้มาจ้องหน้ามองตาอยู่เป็นนานสองนาน ถ้าเป็นปลากัดก็คงฟัดกันขึ้นมาแล้ว
“ช่างเหมือนกับ…”
แกรนด์ปารำพึงกับตัวเอง แต่เรา…คือผมกับแคลร์แทบหยุดหายใจ รอฟังประโยคต่อไปว่าเหมือนกับ ‘ใคร’ หรือ ‘อะไร’
ทว่าไม่มีคำใดพ้นจากริมฝีปากของแกรนด์ปาอีก
แต่นั่นก็เพียงพอที่แคลร์จะตัดสินใจจ้างผม โดยตกลงกันว่าทุกวันศุกร์ผมจะมาค้างที่นี่ ทำตัวเสมือนสมาชิกคนหนึ่งในบ้าน และกลับในตอนบ่ายวันอาทิตย์
‘แกรนด์ปา’
ผมเรียกอย่างนี้ตามหลานสาวของแก และแกก็พอใจ…ผมคิดว่าแกพอใจ เพราะไม่เห็นแกแสดงทีท่าไม่สบอารมณ์ ผมทำงาน…ให้แคลร์และแกรนด์ปา…แบบตัวคนเดียว เพราะเมื่อผมมารับหน้าที่ดูแลแกรนด์ปา แคลร์ก็จะถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผมทั้งหมด ส่วนตัวหล่อนก็ใช้โอกาสนี้ไปหาความสุขกับเพื่อนฝูง คนรัก หรืออะไรก็ตามที่หล่อนบอกว่า นั่นคือชีวิตของหล่อนที่หายไปเพราะต้องวุ่นวายกับการดูแลคนหนึ่งจนไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ
วันสุดสัปดาห์ที่บ้านหลังเล็กในเบอร์มิงแฮมจึงเป็นเวลาของผมและแกรนด์ปา
ผมสนุกกับหน้าที่ชวนคุย…หรือพูดให้ถูกกว่านี้ก็คือกระโดดโลดเต้นอยู่คนเดียวโดยมีตาเฒ่าเป็นผู้ชมนิ่งๆ ได้สี่สัปดาห์ก็ต้องหยุดทบทวนตัวเองว่าผมกำลังทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่
รายได้ไม่ใช่ปัจจัยหลัก แม้แคลร์จะให้ค่าตอบแทนอย่างงาม แต่ผมก็อยากให้ผลลัพธ์ของงานสมน้ำสมเนื้อกับค่าจ้าง และอีกอย่างซึ่งเป็นข้อสำคัญ…ผมไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน ผมจึงไม่ดิ้นรนหรือเดินเข้าไปในร้านอาหารไทยเพื่อถามหาตำแหน่งว่างสำหรับการทำงานพาร์ตไทม์ ที่รับงานนี้เพราะผมสนใจที่จะทำเท่านั้นเอง
ในวันที่ใจผมเอนไปในทางที่รู้สึกว่าที่ผ่านมานั้นไร้ประโยชน์ ทั้งสำหรับตัวผมและนายจ้าง น้องสาวชาวไทยซึ่งเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยเดียวกันก็ชวนผมไปเดินเขาชมดอกไม้ที่เมืองเชฟฟิลด์ นั่งรถไฟไปจากเมืองที่ผมอยู่แค่สองชั่วโมงเท่านั้น ผมก็ตกลงรับคำชวนโดยไม่ลังเล เพราะอารมณ์ในตอนนั้นทั้งเบื่อและเซ็งเต็มที่
ผมโทรศัพท์บอกแคลร์ว่าผมติดธุระในสัปดาห์นั้น
แคลร์ฟังอย่างเข้าใจ…แม้ไม่เห็นหน้า แต่จากน้ำเสียงและริ้วอารมณ์ที่ส่งผ่านโทรศัพท์มา ผมสัมผัสได้ถึงความเฉื่อยชาแหละเหนื่อยหน่ายอย่างชัดแจ้ง แม้หล่อนจะอวยพรก่อนวางหูว่า
“ขอให้เป็นทริปที่สนุก”
แต่ผมก็รู้ว่าหล่อนไม่ได้หวังให้ผมสนุกเท่าไรหรอก และเผลอๆ อาจจะบ่นจนถึงด่าที่ผมทำให้สุดสัปดาห์ของหล่อนต้องกลับมาเป็นพยาบาลเฝ้าตาแก่ ผมคิดว่าผมเดาความรู้สึกของแคลร์ไม่ผิด…เสียงอวยพรเนือยๆ ของหล่อนมันมีคำว่า…สุดท้ายก็ไปไม่รอดอีกคน…ซ้อนเข้ามา
ผมไม่ใช่คนแรกที่ทำงานนี้ และแคลร์ก็ผ่านประสบการณ์การเลิกจ้างมาพอสมควร
คนไทยหลายคนใช้วิธีประนีประนอมในการบอกลา ชักแม่น้ำทั้งห้าก่อนจะเข้าสู่ประเด็นว่าจะไม่มาทำงานอีก ไม่ว่าจะเป็นข้ออ้างเรื่องต้องเขียนรายงานความคืบหน้าวิทยานิพนธ์ส่งอาจารย์ที่ปรึกษา หรือได้งานพาร์ตไทม์แบบประจำที่ร้านอาหารไทย ทั้งที่ตัวตนของคนนั้นอาจกำลังสนุกในบาร์ที่โซโห หรือเพลิดเพลินกับละครเวทีย่านพิคาดิลลีเซอร์คัส
ที่ร้ายอย่างสาหัสก็คือเงียบหายไปดื้อๆ พร้อมกับบล็อกทุกช่องทาง
แคลร์คงคิดว่าผมบอกเป็นนัยๆ ว่าจะถอนตัวจากงานนี้ และคงหายหน้าไปเลย แต่สีหน้าหล่อนก็ประหลาดใจเมื่อพบผมที่หน้าประตูบ้านในอีกสามสัปดาห์หลังจากนั้น
ผมมาหาแกรนด์ปาเพื่อ ‘ช่วย’ แกเป็นครั้งสุดท้าย และถือโอกาสตัดสินใจว่าควรไปต่อหรือพอแค่นี้
ผมหมดมุกที่จะดึงความสนใจแกรนด์ปา จึงนั่งลงเล่าเรื่องทริปเดินเขาชมดอกไม้ที่เพิ่งไปล่าสุดให้แกฟัง
พีคดิสทริกเป็นอุทยานแห่งชาติที่เมืองเชฟฟิลด์ เป็นที่เวิ้งว้างกว้างไกล ภูเขาหลายลูกตั้งโดดเดี่ยวกระจายในพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แหงนมองฟ้าก็พบความกระจ่างใสและแดดกล้าเดือนสิงหาคมแผดลงมาตลอดทั้งวัน อย่าฝันจะเอนอิงพิงพักใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่…เพราะไม่มี บนพื้นปกคลุมด้วยพุ่มเตี้ยของต้นฮีทเธอร์…เออแน่ะ ชื่อมันช่างพ้องกับคำว่า ฮีตเตอร์ หรือเครื่องทำความร้อน เข้ากับสภาพอากาศในตอนนั้นเสียนี่กระไร…มองไปทางไหนก็เห็นแต่พุ่มใบสีเขียวหม่นแซมดอกสีม่วงเล็กๆ แผ่กระจายไปทั่วอาณาบริเวณปกคลุมจนภูเขาทั้งลูกกลายเป็นสีม่วง
น้องสาวที่ชวนมารู้ว่าผมสนใจเกี่ยวกับพืชพันธุ์และต้นไม้ เห็นผมเหนื่อย…ไม่ถึงกับหอบ แต่เหงื่อไหลจนเสื้อเปียกชุ่ม คงเกรงผมเคืองว่าถูกหลอกให้มาร่วมทริป หล่อนจึงเล่าว่าฮีทเธอร์นี้เป็นต้นไม้เฉพาะถิ่น พบที่เมืองเชฟฟิลด์ที่พีคดิสทริกเท่านั้นเพื่อให้ผมไม่รู้สึกเสียเที่ยวที่ได้มา แม้ว่าหลังจากนั้นเราจะพบต้นฮีทเธอร์ในกระถางวางขายราคาถูกในตลาดนัดโดยมิต้องดั้นด้นไปถึงแหล่งกำเนิดของมันก็ตาม
แกรนด์ปาตั้งใจฟังเมื่อผมเริ่มเล่า…น่าจะเป็นบ่นให้ฟังมากกว่า…ตั้งแต่การหาทางเข้าเขตพีคดิสทริกซึ่งต้องเลาะไปตามทางที่เล็กแคบตามแนวรั้วลวดหนาม ป้ายเล็กๆ ปักไว้อย่างกลัวใครจะเห็นว่านี่คือ ‘ทางเข้า’ ความทุกข์ยากลำบากใจในการหาที่ปลดทุกข์ทั้งอย่างหนักและอย่างเบา ด้วยว่าไม่มีห้องน้ำ ทนไม่ไหวก็ต้องหาพุ่มไม้หรือพงหญ้าเป็นที่กำบัง ซึ่งก็ไม่ได้สูงชนิดลับตา อาศัยบอกกับเพื่อนร่วมกลุ่มว่าจะทำอะไร แล้วก็เชื่อใจกันโดยไม่หันไปมองให้ต้องอาย
ทำแบบนี้ทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง
ผมเล่าพร้อมกับเลื่อนภาพในไอแพดให้แกรนด์ปาดู สลับกับบ่นถึงความเหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อไหลเป็นทางเหมือนสายน้ำแต่ไม่อาจหาร่มเงาไม้ใหญ่ให้นั่งพักได้ จากการเดินข้ามเขาเป็นลูกๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้ผมป่วยเมื่อจบทริปและฟื้นฟูร่างกายให้หายเป็นปกติเกือบสองสัปดาห์
แกรนด์ปาหัวเราะหึๆ จ้องหน้าผมนิ่งนาน พลางส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเวทนาเมื่อเอ่ยว่า
“เท่านี้ก็เหนื่อยแล้วหรือ พ่อหนุ่ม”
ผมดีใจแทบเต้น มันเป็นประโยคยาว…ยาวที่สุดที่แกรนด์ปาเอ่ยออกมา ผมเหลียวซ้ายแลขวามองหาแคลร์แต่ไม่พบตัว ได้ยินเสียงจานชามกระทบกันจึงรู้ว่าหล่อนอยู่ในครัว จะลุกไปบอกสัญญาณที่ดีของแกรนด์ปา แต่ชายชราเป็นผู้หยุดผมไว้เอง
มือเหี่ยวเอื้อมมาจับมือผม ส่งสายตาแน่วนิ่งแกมขอร้อง ส่ายหน้าน้อยๆ
เท่านี้ผมก็เข้าใจว่าแกรนด์ปาขอร้องมิให้บอกแคลร์ แกคงมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจตอนนั้น แต่ภายหลังผมก็ได้รู้แจ้งว่าเพราะเหตุใด
ผมไม่อยากย้อนเพื่อเอาชนะคนแก่ขี้น้อยใจและไม่อยากเป็นผู้แพ้ ผมจึงรับบทคนหนุ่มไม่เอาไหนเสียเองด้วยการทำหน้าแหย ทำนองว่าเข็ดเต็มทน แล้วถามแกรนด์ปาว่าเคยไปที่พีคดิสทริกหรือไม่
คำตอบของแกรนด์ปาทำให้ผมประหลาดใจ
“ฉันเคยไปเดินเขาดูดอกดอกฮีทเธอร์ที่พีคดิสทริก มันก็สวยดีอย่างไม้พื้นถิ่นอังกฤษ แต่ฉันชอบอย่างอื่นมากกว่า ชอบ…และประทับใจไม่รู้ลืม” แกรนด์ปาสะดุดไปคล้ายสำนึกว่าพูดอะไรผิดไปสักอย่าง หรืออยากจะขยายความถึงสิ่งที่เอ่ยมาก่อนหน้านี้ “ไม่มีวันลืม…ไม่ว่าเอื้องแซะ เอื้องสาย หรือฟ้ามุ่ย”
แกรนด์ปานิ่งไปอีก เมื่อเห็นว่าผมยังตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ แววตาของแกเศร้าลง
“ตัวฉันเองคงเหมือนกะเรกะร่อน…ร่อนเร่เรื่อยไป แต่ไม่ได้อยู่ในที่ที่อยากอยู่”
นั่นแน่…แก่สำนวนเหมือนกันนี่…ผมคิด แต่ไม่ปริปากออกมา
ผมเอะใจตั้งแต่แกไล่เรียงชื่อกล้วยไม้ป่าหลายชนิด ที่คนอังกฤษไม่น่ารู้จัก หรือต่อให้เคยเห็นที่สวนคิว ก็น่าจะคุ้นแต่ชื่อภาษาอังกฤษหรือชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่า อย่างกะเรกะร่อนที่แกว่า ก็เป็นกล้วยไม้ในกลุ่มซิมบิเดียม ผมจึงถามแกออกไปตรงๆ ว่า
“แกรนด์ปารู้จักกล้วยไม้พวกนี้ด้วยเหรอครับ”
“รู้จักสิ ในป่าเมืองเหนือของสยาม มีเอื้องงามๆ มากมาย”
อีกครั้งที่ผมสะดุดใจ…แกเรียกประเทศไทยว่า สยาม แทนที่จะใช้ ไทยแลนด์
แกรนด์ปาแย้มริมฝีปากเอ่ยอย่างมีนัย
“เอื้องงาม…หมายถึงดอกเอื้องหลายชนิดที่บานบนคาคบไม้ และเอื้องที่หมายถึงดรุณีบ้านป่า”
“แกรนด์ปาเคยอยู่ที่ไทย…” ผมครางของผมออกมาเอง แกรนด์ปาก็พยักหน้าน้อยๆ แล้วแก้ไขว่า
“สยาม”
ผมแทบจะลืมไปเสียสนิทว่าตอนที่คุยกับแคลร์ก่อนรับงานนี้ หล่อนบอกว่าแกรนด์ปาเคยอยู่ประเทศไทย ในใจผมก็คิดว่าคงเคยไปประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น แล้วแกรนด์ปาก็ขยายให้ผมรู้มากขึ้น
“ฉันทำงานอยู่ในปางไม้…หลายปี ทั้งที่ลำปาง แพร่ และเชียงใหม่…เผชิญมาหมดแล้วทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย ทั้งสัตว์ป่า สงคราม และความรัก”
“มิน่าเล่า แกรนด์ปาถึงว่าผมช่างอ่อนหัดเหลือเกิน เดินเขาที่พีคดิสทริกวันเดียวก็ล้มไม่เป็นท่า” ผมเอาใจแกรนด์ปาเต็มที่ “ตอนอยู่ที่ปางไม้ แกรนด์ปาคงลำบากและทรหดกว่าผมหลายเท่า เล่าให้ฟังได้ไหมครับว่า ชีวิตที่นั่นเป็นอย่างไร”
“ป่าที่สยาม หรือชีวิตของฉัน”
“ทั้งหมดนั่นละครับ ผมอยากรู้” จู่ๆ ผมก็นึกวิธีล่อแกขึ้นมาได้ “แกรนด์ปาอยากกลับไปอีกสักครั้งไหมครับ”
ดวงตาของแกเป็นประกายขึ้น เพียงแค่ตอบตกลง ผมก็จะหลอกล่อให้แกหันมาดูแลสุขภาพให้แข็งแรงพอจะเดินทางไกลได้ นั่งเครื่องบินจากอังกฤษมาเมืองไทยกินเวลาตั้ง 12 ชั่วโมง ถือว่าเหนื่อยเอาการสำหรับคนวัยเฉียดร้อยอย่างแก
คำตอบของแกรนด์ปาก้ำกึ่งระหว่างมีความหวังและสิ้นหวังไปพร้อมกัน
“บางที่…ต่อให้อยากไปแค่ไหน เราก็กลับไปไม่ได้”
ผมเข้าใจว่าแกรนด์ปาหมายถึงแคลร์ แม่หลานสาวตัวดีจอมบงการ หล่อนคงไม่อยากให้คนแก่ปูนนี้ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปไหนอีก เพราะทุกอย่างรวมอยู่ในคำเดียวว่า ‘ภาระ’ ภายหลังผมจึงได้รู้ว่าที่ผมเข้าใจนั้นถูกเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งนั้นก็คือ แคลร์ไม่อยากให้แกรนด์ปากลับไปติดต่อกับคนที่ไทยอีก
แกรนด์ปามีอีกครอบครัวหนึ่งที่ไทย
แคลร์ไม่ยอมรับและไม่อยากพบ เพราะหล่อนไม่ต้องการให้สมบัติที่มีอยู่ต้องกระเด็นไปถึงใครที่หล่อนไม่รู้จัก และไม่สมัครใจจะผูกสัมพันธ์
ครั้งนั้น…เหมือนวันที่ผมกับแกรนด์ปาเปิดใจให้กัน แกวางใจในตัวผมมากขึ้นจึงเล่าเรื่องชีวิตวัยหนุ่มและผู้คนอีกมากมายที่พานพบ บางเรื่องก็เป็นเรื่องเล่าที่เล่ากันมาอีกทอดหนึ่ง มันเหมือนเส้นด้ายหลายเส้นที่สอดรับกันไปมา รู้ตัวอีกทีผมก็พบว่าเรื่องราวของบรรพบุรุษผมก็โยงใยอยู่ในข่ายนั้น
หลายสิ่งดูท่ากำลังจะไปได้ดี ก็เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางวันที่แดดส่องเปรี้ยง
แคลร์เอ่ยเลิกจ้างผม…หล่อนคงเห็นว่าสิ่งที่ผมทำกับแกรนด์ปา…ชักจะไปกันใหญ่
ผมปฏิเสธค่าจ้างงวดสุดท้ายที่หล่อนใส่ซองให้
ผมไม่คิดว่าทำงานให้หล่อนอีก แต่ผมได้เพื่อนใหม่ต่างวัย…ตราบใดที่แกรนด์ปายังต้อนรับผมอยู่
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา "ผู้ลี้ภัย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา "เอเชียบูรพา"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา "๒๔๗๕ นายห้างรุ่นใหม่"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๒ ชีวิตบทใหม่ "ภารกิจ ๓๕๙ วัน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๒ ชีวิตบทใหม่ "ผ่าจ้าน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๒ ชีวิตบทใหม่ "สงกรานต์เชียงใหม่"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย "พบและพราก"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย "นายห้างคนใหม่"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย " ไม้แปลกป่า"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย "ต้นตระกูล"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย "คนแปลกหน้า"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ "การตัดสินใจครั้งสุดท้าย?"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ "ศักดิ์ศรีของใคร?"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ "ทอฟฟีแอปเปิ้ล"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ "สงครามกับความรัก"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน "ลูกชายคนโต"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน "ฝันสลาย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน "ว่าที่เจ้าสาว"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน "ร้อยเล่ห์เพทุบาย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน "หัวใจร้อนรุ่มดังสุมไฟ"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "ตัดหัวเสียบประจาน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "คนทรยศ"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "พะกาเงี้ยว"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "ดวงดาวที่ดับสูญ"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "ประทีปอธิษฐาน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "วิมานลอย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร “ลมหายใจสุดท้าย”
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร “ผู้มาเยือน”
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร "ซุ่มซ่อนในดอนดง"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร "ชีวิตในปางไม้"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ "ป่าเหนือเมื่อหน้าดอกไม้บาน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ "เสี่ยวช้าง-เสี่ยวคน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ "ช้างที่หายไป"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ "ข่าวด่วน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ "We go native"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก "เดิมพันที่ข่วงโปโล"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก "หลุยส์ ที เลียวโนเวนส์"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก "ฝรั่งต้นคอแดง"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก "เลียบละกอน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๔ เอื้องป่าเวียงละกอน "Blue Vanda คือ ฟ้ามุ่ย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๔ เอื้องป่าเวียงละกอน "ดำเนินไพร-นางในฝัน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๔ เอื้องป่าเวียงละกอน "พบกันวันฝนโปรย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ "ความลับของเบ็ตตี้"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ "สมาคมเถ้าศักดิ์สิทธิ์"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ "ตามรอยพ่อและตา"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ "หญิงสาวจากโอริสสา"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ "โลกใบใหม่"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ "แรงใจและไฟฝัน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ "บ้านใหม่-เพื่อนใหม่"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ "ปฐมบทของวิลเลียม บรูค"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ "ครอบครัวในอินเดีย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑ : ปัจจุบันของวันวาน "เวียงวนาลัย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑ : ปัจจุบันของวันวาน "แกรนด์ปา"