
ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 15 : แรงอาฆาตหวนคืน
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
มึงกล้าช่วยมัน มึงกล้าช่วยมัน
เสียงเปลวเพลิงปะทุร้อนระอุไปทั่วบริเวณ สัมผัสโดนใบไม้ต้นไม้แตกเป็นละออง แสงสีส้มแดงฉาน เปลวเพลิงแห่งความแค้นถูกโหมกระหน่ำอยู่ข้างเรือนการเวก ความร้อนเผาไหม้ต้นไม้ใบหญ้าจนเกิดควันไฟสีดำขนาดมหึมาลอยสูงขึ้นแทบจะแทนก้อนเมฆ เปลวเพลิงล้อมรอบตึกฝรั่งอย่างรวดเร็วเหมือนมีชีวิตกำลังเผาไหม้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าและคล้ายกำลังรอที่จะลุกลามเข้าตึกฝรั่ง
“ไอ้เที่ยงมึงบ้าไปแล้วเหรอ” เจ้าคุณนรพงศ์เดินออกมาจากตึกฝรั่ง ไฟลุกโหมกระหน่ำไปทั่วไอร้อนแทบจะเผาไหม้ผิวหนัง สิน อิงอร และเหล่าคนใช้ทั้งหลายต่างออกมาช่วยกันดับไฟ
“ใครสั่งให้มึงช่วยมัน” เที่ยงเกรี้ยวกราดโกรธแค้น ทุกอย่างที่เขาตั้งใจกลับพังทลายลง แถมวิญญาณเขายังบอบช้ำจากพระพุทธคุณที่คอยช่วยเหลือครอบครัวนพ
“กูทนดูความเลวร้ายของมึงมามากพอแล้ว” เจ้าคุณนรพงศ์ไม่ยอม หันไปตะโกนบอกเหล่าคนใช้ให้ช่วยกันดับไฟ
“ดับไม่ได้หรอกเจ้าคุณ นี่ไม่ใช่ไฟที่จุดจากฟืน” เสียงหัวเราะของเที่ยงดังลั่นแข่งกับเสียงเปลวไฟที่กำลังระอุ ทันใดนั้นบ่าวคนใช้ถูกไฟคลอกที่แขนขณะดับไฟ ทุกคนต่างช่วยกันสาดน้ำแต่น้ำกลับไม่ทำให้ไฟนั้นดับลง แต่กลับโหมกระหน่ำจนทำให้บ่าวคนใช้สลายหายไปพร้อมกับเปลวไฟ เจ้าคุณนรพงศ์ สิน อิงอร มองเปลวเพลิงนั้นอย่างหวาดหวั่น
“มึงมันบ้าไปแล้ว เห็นชีวิตคนเป็นของเล่น”
“แล้วที่พวกมันทำกับกู มันเห็นชีวิตกูเป็นอะไร”
“เรื่องมันผ่านไปเกือบร้อยปี มีแต่มึงนั่นแหละที่อาฆาตแค้น”
“ถ้าเจ้าคุณทนดูไม่ได้ก็ไม่ต้องทน” สิ้นเสียงของเที่ยง ลมได้พัดเปลวเพลิงประชิดตึกฝรั่ง หน้าต่าง บานประตูเริ่มถูกไฟลุกลามไปทั่ว บริเวณที่เจ้าคุณนรพงศ์ สิน อิงอร ยืนอยู่ยังพ้นเปลวเพลิงแต่อีกไม่กี่อึดใจไฟก็จะลามมาถึง เหล่าคนใช้ในเรือนเริ่มส่งเสียงโหยหวนสลายหายไปทีละคนสองคน
“เจ้าคุณหนีไป” สินพยายามหาช่องทางให้เจ้าคุณนรพงศ์หลุดออกไปจากเปลวเพลิงของเที่ยง
“ดวงวิญญาณข้าผูกติดไว้กับที่นี่ ข้าหนีไม่ได้หรอกเจ้าสิน” เจ้าคุณนรพงศ์พูดอย่างยอมรับความจริง
“พี่เที่ยง พี่เที่ยงช่วยอรด้วย” อิงอรตะโกนเสียงออดอ้อนหาเที่ยง
“แพศยา แพศยากันทุกคน” เที่ยงรำคาญเสียงอิงอร เขาสะบัดมือคล้ายจะตบหน้าอิงอร เปลวไฟสะบัดโดนแก้มของเธอ ไฟลุกขึ้นที่ใบหน้าเผยให้เห็นเป็นโครงกระดูก ตาลึกโบ๋
“พี่เที่ยงทำอย่างนี้กับอรไม่ได้นะ เจ้าคุณขา ช่วยอรด้วย” อิงอรคลานไปเกาะเท้าเจ้าคุณนรพงศ์เปลวไฟนั้นกำลังลุกอยู่บนใบหน้าของอิงอร
“ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น” เจ้าคุณนรพงศ์แกะมืออิงอรออกจากขา ไม่นานนักเปลวไฟลุกลามไปทั่วตัวของเธอ ร่างของเธอกลายเป็นโครงกระดูกที่กำลังสลายเป็นขี้เถ้ารวมไปกับกองไฟ
“ข้าขอโทษนะเจ้าสิน” เจ้าคุณนรพงศ์จับบ่าสิน พลางเดินกลับขึ้นไปบนตึกฝรั่ง ไฟเริ่มลามไปทั่วตัวตึกฝรั่ง ห้องหับต่างๆ ถูกไฟเข้าไปทำลายเสียจนหมดสิ้น เจ้าคุณนรพงศ์เล่นเปียโนตัวโปรดของเขาท่ามกลางเปลวไฟ สินนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง เขาก้มกราบลาเจ้าคุณนรพงศ์ จิตสุดท้ายเขาคิดถึงคีตะ เขาอยากบอกลาคีตะแต่ไม่มีโอกาส ไฟลามมาถึงเขาในที่สุด เจ้าคุณนรพงศ์เล่นบทเพลงสุดท้ายในเปลวไฟก่อนที่ทำนองเล่านั้นจะหายไป พร้อมกับเปลวไฟที่ค่อยๆ มอดดับลง
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าสว่างไสวเหมือนมีใครมาติดโคมไฟไว้บนฟ้า แสงสว่างสีนวลตาตกสะท้อนอยู่ในดวงตาของสลิลทิพย์ในยามค่ำคืน ระเบียงห้องของเธอเปิดไฟสลัวๆ พร้อมกับหญิงสาวที่นอนไม่หลับ เธอแหงนมองท้องฟ้าเพื่อจะเห็นความช่วยเหลือจากแม่ของเธอจากบนนั้น เพียงแค่คิดถึงน้ำตาของเธอก็เอ่อล้นมาที่ดวงตา ในบ้านเงียบสงบไม่มีเสียงใดๆ รถของสุทธิภัทรก็ไม่อยู่ สลิลทิพย์สับสน อ้างว้าง และโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความคิดสั้นๆ ของเธอคือเพียงหลับตาไม่กี่วินาทีเธอก็จะสามารถไปอยู่กับแม่ของเธอได้
“ทิพย์ ทำไมมานอนตรงนี้ลูก” สลิลทิพย์ถูกปลุก เสียงนั้นคุ้นเคยเหมือนเสียงของแม่ สลิลทิพย์รีบลืมตาตื่นขึ้นมา เธอเห็นทิพย์ปภายืนอยู่ตรงหน้า
“ไปนอนข้างในห้องสิลูก ตรงนี้เดี๋ยวน้ำค้างลง จะเป็นหวัดเอานะ” ทิพย์ปภานั่งลงลูบหัวสลิลทิพย์
“แม่ แม่จริงๆ เหรอคะ” สลิลทิพย์แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอกอดทิพย์ปภาแน่นร้องไห้ ทิพย์ปภาลูบหัวสลิลทิพย์ปลอบใจ
“ร้องไห้ทำไมคะ ลูกสาวแม่แข็งแกร่งจะตาย ทำไมมาร้องไห้ขี้มูกโป่งขนาดนี้” ทิพย์ปภาหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว “ไม่ร้องนะคะคนเก่งของแม่”
“แม่จะอยู่กับทิพย์ ไม่ทิ้งทิพย์ไปไหนใช่ไหมคะ”
“แม่อยู่กับหนูตลอดไป ในนี้” ทิพย์ปภาชี้ไปที่หัวใจของสลิลทิพย์ สลิลทิพย์เช็ดน้ำตาตนเองสักพักเดียวทิพย์ปภาก็หายไป เธอร้องเรียกเสียงดังลั่น “แม่ แม่ แม่คะ!”
สลิลทิพย์สะดุ้งตื่น เธอเผลอหลับอยู่ริมระเบียง มองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร เมื่อกี้เป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้น น้ำตาสลิลทิพย์ไหลรินด้วยความคิดถึงแม่ ข้างๆ กายเธอมีทิชชูที่ใช้แล้วถูกขยำอยู่ สลิลทิพย์หยิบขึ้นมารู้สึกว่าชื้นๆ เหมือนที่แม่เธอซับน้ำตาให้เธอมาเมื่อสักครู่ เธอกำทิชชู่ไว้แน่นวางไว้บนหัวใจ ทิพย์ปภาจะอยู่ข้างในนี้ของเธอตลอดไป
ด้วยความเหนื่อยล้า ความคิดต่างๆ ในหัวของคีตะหยุดทำงาน ร่างกายถูกสั่งให้พักผ่อน เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงและหลับไปโดยไม่รู้ตัว ในความฝันคีตะเห็นเปลวเพลิงที่กำลังเผาตึกฝรั่งอยู่ เขาร้องตะโกนให้คนช่วยแต่ไม่มีใครสักคนที่อยู่ในนั้น ในตึกฝรั่งคีตะเห็นเงาคนเลือนรางอยู่ 2-3 คน เขาภาวนาอย่าให้เป็นคนที่เขารู้จักเลย คีตะพยายามจะเข้าไปช่วยแต่ทำไม่ได้ เขาทำได้เพียงมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างหดหู่ใจ พลันสายตาเขามองไปที่เรือนการเวกเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังสวดมนต์หรือพูดอะไรสักอย่าง เขาเห็นหน้าชายคนนั้นไม่ชัดเพราะควันดำลอยฟุ้งเต็มไปหมด ชายหนุ่มคนนั้นหันมา ใบหน้าของเขามีเพียงผิวหน้าแค่ด้านเดียว อีกด้านหนึ่งเป็นโครงกระดูกผุพัง ตาลึกโบ๋ ใบหน้าที่หายไปเผยให้เห็นฟันเรียงเป็นรูป คีตะตกใจสะดุดล้มลงกับพื้น เพียงแต่ชายคนนั้นมองไม่เห็นเขา
“คีร์” คีตะเหมือนได้ยินเสียงสินเรียกเขาดังมาจากในกองเพลิง
“สิน คีร์อยู่นี่ สิน” คีตะพยายามโต้ตอบแต่เหมือนอีกฝั่งหนึ่งจะไม่ได้ยิน
“คีร์ อย่าโดนหลอก อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นนะ”
“สินอยู่ที่ไหน” คีตะยังคงพยายามเรียกหา
“สินขอโทษนะคีร์” ภาพของตึกฝรั่งลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ เสียงเปียโนดังลอดมาจากข้างในเหมือนเป็นโน้ตเพลง เสียงเพลงนั้นเหมือนกำลังส่งสารถึงใครสักคน
คีตะเล่าเรื่องภาพความฝันประหลาดให้กับคีตกานต์ฟังบนโต๊ะอาหารตอนเช้า ข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ถูกจัดใส่ในชามสวยงามไว้ 3 ที่ คณณัฐยังไม่ลงมาจากห้องนอน คีตะ คีตกานต์นั่งคุยกันถึงเรื่องฝัน เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป
“เราคงต้องค้นประวัติของคนที่ชื่อ เที่ยง นพ และสายพิณ ดูบ้างแล้วละ เผื่อจะได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม แม่สังหรณ์ใจไม่ดี” คีตะเห็นด้วยกับแม่ เสียงโทรศัพท์มือถือคีตกานต์ดังขึ้น เบอร์ที่ไม่รู้จักแสดงขึ้นหน้าจอ
“สวัสดีค่ะ” คีตกานต์รับสาย สีหน้าเปลี่ยนไป น้ำตาเอ่อล้นค่อยๆ ไหลออกมา คีตะเห็นแม่นั่งร้องไห้ก็ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นครับแม่ ใครโทรมา”
“โรงพยาบาลจ้ะลูก คุณพ่อกลับมาเป็นปกติแล้วนะ” คีตกานต์ดีใจน้ำตาไหล คีตะโล่งอก
“งั้นเดี๋ยวเรียกพี่ณัฐ แล้วเราไปโรงพยาบาลด้วยกันนะครับ”
คณณัฐเดินลงมาที่โต๊ะอาหาร สีหน้าเคร่งขรึมเหมือนคนกำลังคิดอะไรอยู่ เดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารไม่พูดไม่จากับใคร เขานั่งลงกินข้าวต้มที่เตรียมไว้โดยไม่ทันสังเกตว่าคีตกานต์และคีตะนั่งอยู่ด้วย จนคีตะทนไม่ไหวเพราะไม่รู้ว่าพี่ชายเขากำลังเหม่ออะไร
“พี่ณัฐ พี่ณัฐ!” คณณัฐมองหน้าคีตกานต์และคีตะอย่างตกใจ ลืมว่าตนเองเดินลงมาถึงข้างล่างได้ยังไง
“พี่เหม่ออะไรของพี่เนี่ย โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าคุณพ่ออาการดีขึ้นแล้ว ไปเยี่ยมคุณพ่อกัน”
“พี่มีธุระต้องจัดการ คุณพ่อดีขึ้นพี่ก็หายห่วง ผมฝากเยี่ยมคุณพ่อด้วยนะครับคุณแม่” คณณัฐรีบร้อนกินข้าวแล้วก็รีบออกจากบ้านไป
“มีธุระอะไรด่วนขนาดนั้น” คีตะบ่น
วันธรรมดาของกรุงเทพมหานคร การจราจรหนาแน่นแทบจะทุกช่วงเวลา รถของคีตะจอดติดไฟแดงอยู่บนถนน จู่ๆ คีตะก็เห็นคนคล้ายครูเที่ยงเดินผ่านหน้ารถที่ติดไฟแดง เหมือนเที่ยงเดินกลืนไปกับฝูงชนที่กำลังข้ามถนน เข้ารีบชี้ให้คีตกานต์ดู
“คุณแม่ครับ คนนั้นๆ ผู้ชายผิวคล้ำ ตัวสูง ผมสั้นๆ” คีตะชี้มือไปที่ทางม้าลายให้คีตกานต์ดู เธอพยายามมองหาคนที่มีลักษณะคล้ายที่ลูกชายบอกแต่เธอก็มองไม่เห็น
“ลูกตาฝาดไปหรือเปล่า เขาจะมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” คีตกานต์เริ่มกลัว เพราะรู้ว่าคนที่ลูกชายตัวเองพบเจอต้องไม่ใช่คนแน่ๆ “เดี๋ยวไปเจอคุณพ่อ ลองถามคุณพ่อเกี่ยวกับประวัติของคนที่ลูกเจอมาสิ ไม่แน่นะคุณพ่ออาจจะเคยได้ยินมาบ้างก็ได้” คีตกานต์คิดว่าสามีของเธอน่าจะต้องรู้เรื่องของคนที่เกี่ยวข้องกับดนตรีไทยอยู่บ้าง อย่างน้อยเมื่อวานที่เขาเพ้อ เขาพูดถึงชื่อปู่นพ คีตะรีบขับรถไปที่โรงพยาบาลเพราะเริ่มอยากคุยกับคณินทร์เร็วๆ
ห้องพักผู้ป่วยหรูหรา ภายในมีห้องแบ่งส่วนแยกโซนไว้ชัดเจน มีเตียงนอนสำหรับคนเฝ้าไข้ มีตู้เย็น ไมโครเวฟ อ่างล้างจาน ข้างนอกมีสวนหย่อมไว้ให้ผู้ป่วยและญาติสามารถเดินเล่นได้ คณินทร์นอนอยู่ห้องด้านหน้าประตูทางเข้า พยาบาลกำลังตรวจวัดความดัน วัดไข้ เช็กน้ำเกลือ ตรวจออกซิเจนในเลือด รวมทั้งกานเต้นของหัวใจ
“คุณคณินทร์ฟื้นตัวได้เร็วมากนะคะ พรุ่งนี้มีตรวจคลื่นสมองกับสแกน MRI อีกครั้งหนึ่งเพื่อดูอาการสมองทั้งหมดค่ะ ช่วงบ่ายๆ ทางพยาบาลจะมารับลงไปตรวจนะคะ” พยาบาลแจ้งแก่คนไข้ และคีตกานต์ คีตะที่เดินเข้ามาเยี่ยมพอดี คณินทร์พยักหน้ารับทราบ
“ขอบคุณมากนะคะ”
“เจ้าลูกตัวดี ที่บ้านมีเรื่องขนาดนี้หายหัวไปไหน” คณินทร์ที่ยังไม่หายดีก็บ่นใส่คีตะทันที
“คุณคะ ฟังลูกก่อนนะ มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับลูก” คีตกานต์กล่อมให้สามีใจเย็นๆ คีตะเริ่มหัวเสีย
“ไปมีเรื่องกับใครเข้าอีกล่ะ” คณินทร์ยังไม่ลดละ
“ผมไปมีเรื่องกับผีมาครับ” คีตะตอบตรง
“คุณดูมัน มันย้อน” คณินทร์ยังพูดไม่จบก็รู้สึกเหนื่อย หอบ เหมือนจะหมดแรง คีตกานต์ต้องรีบเข้ามาประคองให้คณินทร์นอนลง
“ครั้งนี้คุณต้องฟังลูกนะคะ” คีตกานต์เสียงเข้มขึ้น คณินทร์รู้ว่าเมื่อมีเรื่องจริงๆ เท่านั้นที่ภรรยาของเขาจะสั่งให้เขาต้องฟัง
“มีอะไรก็ว่ามา” คณินทร์มองหน้าคีตะ
“เมื่อวานคุณพ่อเรียกผมว่าปู่นพ แล้วก็กลัวพี่ณัฐบอกว่าพี่ณัฐเป็นปีศาจ” คณินทร์ขมวดคิ้ว เขาจำอะไรไม่ได้ เขารู้แค่ว่าเขาสะลึมสะลืออยู่แล้วมีคนมาเยี่ยม คนหนึ่งหน้าตาคล้ายปู่นพ และอีกคนแววตาดูโหดเหี้ยม นัยน์ตาแดงฉานคล้ายเลือด
“พ่อพูดออกไปยังนั้นเหรอ” คณินทร์ครุ่นคิด
“ปู่นพคือใครเหรอคะคุณ” คีตกานต์อยากรู้
“ปู่นพเป็นบรรพบุรุษของตระกูลเรา น่าจะเป็นทวดของทวดอีกทีหรือเปล่าพ่อก็ไม่แน่ใจ คนที่พอจะจำได้ก็มีแต่ย่าของคเชนทร์ ที่เสียไปแล้วน่ะ”
“แล้วคุณย่าณีเคยเล่าหรือมีรูปปู่นพบ้างไหมครับพ่อ” คีตะถามอย่างร้อนใจ ไม่อยากให้ครูนพเป็นปู่นพสักเท่าไร
“เหมือนจะมีนะ พ่อเก็บไว้ที่ตู้เก็บเครื่องดนตรีเก่าในห้องเก็บเครื่องดนตรีใต้ตู้เก็บซอด้วง ถ้าพ่อจำไม่ผิด จำได้ว่าตอนเด็กๆ ก่อนปู่จะเสีย ปู่เคยเล่าว่าปู่นพเป็นคนแรกๆ ในสมัยรัชกาลที่หก ที่ได้ร่ำเรียนเครื่องสายฝรั่งเลยนะ” คณินทร์ภูมิใจในตระกูลของตนเอง
“ขอบคุณครับพ่อ แม่ครับผมกลับบ้านก่อนนะครับ” คีตะยกมือไหว้พ่อกับแม่แล้วรีบจ้ำออกจากห้องพักผู้ป่วยไปทันที
“นี่มันเคยห่วงพ่อมันบ้างไหม” คณินทร์บ่นกับคีตกานต์ “แล้วลูกมีเรื่องอะไรเหรอคุณ ร้ายแรงใช่ไหม” คีตกานต์พยักหน้า เธอนั่งเล่าเรื่องราวทั้งหมดของคีตะ คณณัฐ ให้คณินทร์ฟังอย่างเคร่งเครียด
ด้านคณณัฐ เขารีบร้อนออกมาพบสลิลทิพย์ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านของตัวเองเท่าไรนัก เพราะในสวนเงียบสงบและสามารถพูดคุยกันได้อย่างไม่ต้องระแวงคนจะได้ยิน
“พี่ณัฐ นัดทิพย์มามีอะไรหรือเปล่าคะ” สลิลทิพย์เว้นระยะห่างจากคณณัฐพอสมควร คณณัฐรู้สึกว่าสลิลทิพย์ดูเกร็งและไม่อยากเข้าใกล้เขา ไม่เหมือนทุกทีที่เธอจะยังยกมือไหว้และยิ้มให้
“ทิพย์ พี่อาจจะพูดแปลกๆ แต่ทิพย์อย่าเพิ่งเข้าใจพี่ผิดนะ” คณณัฐพยายามอธิบายและอยากจะพิสูจน์ว่าตนเองผีเข้าจริงหรือเปล่า
“พี่คิดว่า พี่ถูกผีสิง” สลิลทิพย์ตกใจกับสิ่งที่เขาพูด
“พี่ณัฐคิดมากไปเองหรือเปล่าคะ”
“พี่ขอพิสูจน์อะไรหน่อยนะ” คณณัฐหยิบจี้พระขึ้นมาให้สลิลทิพย์ดู “นี่จี้พระ ที่คุณพ่อของพี่ได้มาจากพระอาวุโส คุณแม่พี่เล่าให้ฟังว่าพอพี่จับพระนี้แล้วพี่ตัวสั่นจนสลบไป” สลิลทิพย์เริ่มกลัวๆ
“พอพี่คิดถึงทิพย์ หมายถึงคิดถึงแบบไม่ใช่พี่น้องนะ” คณณัฐพูดตรงๆ สลิลทิพย์กำลังจะพูดขัดขึ้นคณณัฐก็แทรกขึ้นมาทันที “พี่รู้ว่าทิพย์กับพี่เป็นไปไม่ได้ พี่เองก็เคยแอบหวั่นไหวเหมือนกัน แต่พอพี่เห็นเจ้าคีร์กับทิพย์มีความสุขพี่ก็ยินดี” สลิลทิพย์สัมผัสได้ ว่าคณณัฐพูดอย่างจริงใจ
“แต่พี่ขอคิดกับทิพย์ก่อน และพี่ฝากจี้พระนี้ไว้ ถ้าทิพย์เห็นว่าพี่เปลี่ยนไป ทิพย์ต้องรีบคืนพระให้พี่ทันที”
“พี่ณัฐจะทำอะไร” สลิลทิพย์เริ่มหวาดระแวง
ทันทีที่คณณัฐปล่อยมือจากจี้พระ เขาเริ่มคิดถึงสลิลทิพย์ในแง่ชู้สาว มือของเขาโอบไหล่เธออย่างอ่อนโยน สักพักแววตา ท่าทาง การพูดจาของคณณัฐก็เริ่มเปลี่ยนไป เที่ยงได้จังหวะเข้าสิงร่างเขาในทันที ระหว่างที่ได้อยู่กันสองต่อสองสายพิณจะต้องตกเป็นของเขา เขาจะไม่ยอมพลาดอีกครั้งเป็นอันขาด คณณัฐเชยคางสลิลทิพย์ขึ้นมา หน้าทั้งสองใกล้ชิดกัน สลิลทิพย์งงๆ ว่านี่คือคณณัฐ หรือเขากำลังเล่นอะไรอยู่
“พี่ณัฐจะทำอะไรคะ” สลิลทิพย์มองเข้าไปในดวงตาของคณณัฐ ในดวงตาของเขากลับว่างเปล่าไร้อารมณ์ความรู้สึก สลิลทิพย์เริ่มนึกถึงเมื่อสักครู่ที่คณณัฐพูด คณณัฐบรรจงจูบสลิลทิพย์ เธอดันคณณัฐออกทันที คณณัฐไม่ยอม เขาจับใบหน้าเธอเพื่อจูบเธออีกครั้ง คราวนี้สลิลทิพย์เอาจี้พระยัดใส่กระเป๋าเสื้อคณณัฐทันที ทันใดนั้นร่างของเขาก็สั่นเหมือนผีเข้าอย่างที่พูด สลิลทิพย์รีบจับตัวคณณัฐไว้ก่อนที่เขาจะสลบไป
“พี่ณัฐ พี่ณัฐ!” สลิลทิพย์รีบตั้งสติ เธอกลัวมากที่เห็นผีเข้าคณณัฐต่อหน้าต่อตา เธอไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีอยู่จริงๆ
มึงหลอกกู พวกมึงรวมหัวกันหลอกกู
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 16 : ความรักที่ซุกซ่อน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 15 : แรงอาฆาตหวนคืน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 14 : กลับบ้าน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 13 : ม่านบังตา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 12 : กงล้อแห่งกาลคำสาป
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 11 : จิตใต้สำนึก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 3 : อัฏฐกรเมธา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 2 : เสียงเพรียกจากอดีต
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น