ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก

ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก

โดย : สิรี กวีผล

Loading

ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co

“…ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ไกลไกล ชุ่มชื่นฤทัยหวานใดจะปาน ฟังเสียงบรรเลงขับเพลงประสาน จากทิพย์วิมานประทานกล่อมใจ…”

“แหม เดินมาตามเสียงเพลง หรือหลงมาตามเสียงใคร”

“นั่นดิ บทเพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งนะ ไม่ใช่ใกล้แฟน” เพื่อนๆ สลิลทิพย์และคีตะตะโกนแซวคีตะที่กำลังเดินมาหาแฟนสาว หน้าแดงก่ำคล้ายตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า แสงสีส้มที่สะท้อนผิวน้ำปะทะหน้านวลขาวของชายหนุ่มจนออกแดง

“เขินบ้าอะไร เพราะแสงอาทิตย์ต่างหาก” ไหนเลยจะเป็นเพียงเขาที่หน้าแดง สลิลทิพย์เองก็หน้าแดงไม่ต่างกัน เพื่อนๆ ยิ่งเห็นอาการก็ยิ่งแซวกันไม่หยุด

“แซวใครที่ไหนกัน” เสียงอ่อนนุ่ม ทว่าหนักแน่น กังวาน คุ้นหูเหล่านักเรียนนักศึกษาเสียเหลือเกิน อาจารย์สุทธิภัทร หัวหน้าภาควิชาดนตรีเดินเข้ามาตบไหล่นักศึกษาที่กำลังแซวลูกสาวของตน รอยยิ้มทักทายดูเชือดเฉือน คล้ายกำลังเอามีดมาจ่อคอคนพูด เพื่อนๆ ที่กำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เงียบกริบเสมือนไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

“สวัสดีครับ คุณลุง” คีตะยกมือไหว้ อาจารย์ภัทรขมวดคิ้วไม่พอใจ ใบหน้าจ้องคีตะเขม็ง ชายหนุ่มรู้สึกถึงรังสีอำมหิต “สวัสดีครับ” อาจารย์สุทธิภัทรยกมือรับไหว้

“ผมมาหาทิพย์ครับ กำลังจะชวนไปดูงานดนตรีที่หอศิลป์กรุงเทพน่ะครับ” สลิลทิพย์ได้ยินก็ตาลุกวาว เพราะรู้ว่างานแสดงนี้ ได้นำเอาเครื่องดนตรีโบราณสมัยรัชกาลที่ 6 เข้าจัดแสดง พร้อมทั้งประวัติศิลปินมากหน้าหลายตาเอาไว้ แต่ยังไม่เปิดให้คนทั่วไป วันนี้เป็นวันที่งานเพิ่งเตรียมความพร้อม พ่อของคีตะเป็นพ่องานครั้งนี้ทำให้เขามีสิทธิพิเศษก่อนใครเพื่อน

“วันนี้แล้วเหรอ อาจารย์เองก็กำลังจะไปหาพ่อเธอเหมือนกัน ไว้เจอกันที่งาน ทิพย์เดี๋ยวไปกับพ่อ” คีตะยังไม่ทันได้คำตอบจากทิพย์ อาจารย์ภัทรก็รวบรัดตัดความทันที

“โธ่ อาจารย์ให้วัยรุ่นไปด้วยกันไม่เห็นจะเป็นไรเลยครับ”

เสียงตบไหล่หยอกล้อดังพลั่ก มือหนาวางลงบนไหล่ลูกศิษย์ อาจารย์ภัทรเป็นอาจารย์ที่เหล่านักศึกษารักและเคารพ พร้อมกันนั้นยังเป็นเหมือนพ่อและเพื่อนรุ่นพี่ไปในคราวเดียว อาจารย์ไม่ถือตัว เข้าถึงง่าย เป็นมิตร แต่ก็มีระยะห่างให้เคารพ ทำให้นักศึกษาทั้งหลายกล้าที่จะหยอกเอินกันอยู่ประจำ “ไว้นายลองไปหาพ่อของแฟนเธอ แล้วขอพาเธอไปเที่ยวดูนะ”

เสียงหัวเราะเฮฮากันสนุกสนานครื้นเครงกันอยู่ใต้ตึกคณะ คีตะรู้ดีว่าคุณพ่อของทิพย์หวงลูกสาวมาก แต่ที่ยอมให้คีตะสนิทสนมด้วย เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก และคีตะเป็นเด็กดี ทั้งสองอยู่ในสายตาพ่อแม่มาโดยตลอด

“ครับ อาจารย์ งั้นผมไปรอที่งานนะครับ” คีตะยกมือไหว้ “เจอกันที่งานนะทิพย์” คีตะชะโงกหน้าออกมาจากอาจารย์ภัทรที่ยืนบังลูกสาวตนอยู่ พร้อมกับยิ้มและโบกมือให้เธอเป็นสัญญาณ

ทะเล้นได้พ่อจริงๆ

 

ชั้น 5 หอศิลป์กลางกรุงเทพมหานคร หอประชุมขนาดใหญ่ ถูกจัดตกแต่งประดับประดาเต็มไปด้วยเครื่องดนตรีไทยโบราณนานาชนิด รวมทั้งเครื่องดนตรีสากลหายากอีกมากมาย อยู่ในตู้กระจกนิรภัยอย่างดี เปียโนสีดำขลับเงาตั้งตระง่านเด่นอยู่กลางห้อง แสงไฟสีส้มสลัวๆ ส่องให้เครื่องดนตรีมีชีวิต ระหว่างทางเดินขึ้นในงานถูกจัดตกแต่งด้วยโน้ตเพลง เหล่าสตาฟกำลังเทสเซ็นเซอร์ตามจุดต่างๆ เมื่อมีคนเดินผ่านโน้ตจะมีเสียงโน้ตเหล่านั้นออกมา และเมื่อเดินกันหลายคนเสียงจะประสานกันไปเป็นจังหวะเพลง แม้จะควบคุมจำนวนคนเดินผ่านไม่ได้ แต่โดยรวมแล้วเมื่อได้ฟังเสียงโน้ตที่คณินทร์ประดิษฐ์และวางตำแหน่งแต่ละที่นั้น จะไพเราะและน่าฟังอย่างแน่นอน

ฝั่งหนึ่งของงานมีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้กระโดดโลดเต้นอยู่บนคีร์บอร์ดที่ถูกปูอยู่ที่พื้น บนผนังจะเป็นตัวโน้ตที่กำลังตกลงมา คล้ายๆ เกมชนิดหนึ่ง เมื่อเหยียบแป้นทันตัวโน้ตจะได้คะแนนเพิ่ม และเมื่อเหยียบเป็นจังหวะของเพลงนั้นๆ ก็จะกลายเป็นเพลงที่คุ้นหู อีกทั้งยังมีมุมจัดแสดงอัตชีวประวัติของครูเพลงสมัยก่อน ทั้งมีชื่อเสียงและไม่มีชื่อเสียง ที่ตระกูลของเขาสืบทอดกันมา มุมนั้นจะเป็นห้องมืดที่คอยฉายโปรเจกเตอร์เรื่องราวต่างๆ ในอดีตความเป็นมาทั้งหลาย เพื่อให้คนที่สนใจเข้าไปนั่งพักผ่อนเพื่อศึกษาเรื่องราวดนตรีไทยและดนตรีสากล

“ยกให้ดีๆ ระวังๆ กันหน่อย” เสียงภรรยาของเขาดังอยู่ภายในหอประชุม คอยกำกับดูแลเครื่องดนตรีทั้งหลายของคณินทร์ เธอไม่ค่อยไว้ใจพนักงานเสียเท่าไรกลัวว่าจะทำตก ทำชำรุด เพราะเครื่องดนตรีแต่ละเครื่องผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายชั่วอายุคน บางเครื่องราคาแพงกว่าที่ดินบางแห่งในกรุงเทพฯ เสียอีก

“คุณพักผ่อนก่อนไหม เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปอีก” คณินทร์รู้สึกเป็นห่วง สิ่งเดียวที่คีตะเห็นว่าพ่อยังอ่อนโยนอยู่บ้างก็คงเป็นเวลาอยู่กับคีตกานต์ผู้เป็นแม่ของเขานี่แหละ แม่ของเขาเป็นหญิงสาวสวยสะพรั่ง สูงโปร่ง ผิวเนียนละเอียด ขาว หุ่นดี ดูเผินๆ คล้ายเป็นพี่สาวคนโตของบ้านเสียมากกว่า ผมยาวดำเงาถูกจัดตกแต่งเป็นลอนได้ทรงเข้ารับกับใบหน้าเรียว คิ้วได้รูปสวย กับริมฝีปากบาง ยิ้มแล้วเห็นฟันขาวเรียงสวย ไม่ว่าแม่ของเขาจะก้าวไปทางไหนก็ดูสวยสง่าดุจนางพญา ยิ่งเวลาร้องเพลงหรือขับเสภาก็ยิ่งเพราะยิ่งงดงาม จนใครๆ ก็หลงรัก

แม้แต่ฉันเองก็เคยหลงรักเช่นกัน

 

“ไง กานต์ ขนาดยังไม่ใช่วันงานยังสวยขนาดนี้เลยนะเนี่ย” เสียงสุทธิภัทรดังเข้ามาก่อนตัว คีตกานต์ได้ยินหันไปตามเสียง พร้อมรอยยิ้มยิ้มรับคำชื่นชมนั้นอย่างไม่เคอะเขิน เป็นคำชื่นชมตั้งแต่สมัยสาวๆ จนถึงปัจจุบัน

“แหม มาถึงทักเมียเพื่อนก่อนเพื่อนอีกนะ” คำพูดเป็นกันเองของคณินทร์ดังไม่ไกลจากหู

สุทธิภัทรหันไปหาเพื่อน “จะให้ทักเพื่อนก่อนทำไม เจอกันออกจะบ่อยไป” จริงอย่างที่สุทธิภัทรพูด เขาและคณินทร์ต่างทำงานร่วมกันในคณะ ฐานะที่คณินทร์เป็นวิทยากรรับเชิญและสุทธิภัทรเองก็เป็นอาจารย์สอนดนตรีไทยจำพวกเครื่องสาย และดนตรีสากลอย่างเปียโนที่โรงเรียนของเขา ผิดกันกับคีตกานต์ที่ไม่ค่อยได้เจอ เธอมักเก็บตัวอยู่บ้าน หรือบางครั้งไปสอนก็คนละเวลากับเวลาของเขา

“แล้วนี่รู้ได้ยังไงว่าวันนี้มีเตรียมงาน เรายังไม่ได้ไปบอกนายเลย”

“ไม่เห็นต้องคิดเยอะ เจ้าลูกชายตัวดีของนาย ไปชวนลูกสาวฉันมางานนี้ที่คณะ นักศึกษาแซวกันทั้งคณะ” น้ำเสียงเขาเกรี้ยวกราดอยู่ไม่น้อย แสดงอาการหวงลูกสาวคนเดียวอย่างออกนอกหน้า

คีตกานต์เข้าใจในน้ำเสียงนั้นก็รีบตัดบท “แล้วเด็กๆ อยู่ไหนกันล่ะ” สายตาทุกคู่กวาดสายตามองหาคนเชิญและคนถูกเชิญ

โด โด เร มี โด มี โด มี เร มี ฟา ฟา มี เร ฟา…เสียงตัวโน้ตน่ารักๆ ดังขึ้นตามจังหวะก้าวเดินขึ้นบันไดก่อนจะเข้างาน จังหวะการก้าวของคณณัฐได้จังหวะเพลงพอดิบพอดี สายตาทุกคู่ที่กำลังเตรียมงานต่างหันไปมองชายหนุ่มเป็นตาเดียว

“สวัสดีครับ คุณลุง” คณณัฐทักทายสุทธิภัทร และหันไปไหว้พ่อกับแม่อีกครั้ง “งานเป็นอย่างไรบ้างครับคุณลุง”

“ณินสบายใจหายห่วงได้เลย มีลูกชายทำงานแทนได้ดีขนาดนี้ ไร้ที่ติเลยหลานชาย” สุทธิภัทรตบไหล่คณณัฐอย่างเป็นกันเอง หัวเราะมีความสุขกับบทสนทนาสั้นๆ ในวงคนใกล้ชิด

“หมดห่วงไปได้คนเดียวแหละ ยังดีนะเจ้าณัฐได้เรื่องได้ราว เอาการเอางาน ผิดกับไอ้เจ้าคีร์ ลอยไปลอยมาไม่ได้ความ” คณินทร์บ่นหัวเสีย

“น้องไปไหนล่ะครับพ่อ ผมอยากจะคุยเรื่องเครื่องดนตรี แล้วก็โชว์งานกับน้องสักหน่อย” คณณัฐถามหาคีร์อีกคน “นั่นสิ นี่ก็พาลูกสาวลุงหายไปเลย ตามหาน้องให้ลุงหน่อยก็แล้วกันนะ” คณณัฐพยักหน้ารับ

“งั้นคุยกันไปก่อนนะ คุณพาภัทรไปดูงานรอบๆ ก็แล้วกัน ขอตัวไปเช็กความเรียบร้อยก่อน” คณินทร์ปล่อยให้คีตกานต์พาสุทธิภัทรเดินดูงานรอบๆ

คิดถึงวันเวลาเก่าๆ

คนสองคนที่คนทั้งงานถามหา คีตะกับสลิลทิพย์เข้ามานั่งดูอัตชีวประวัติของบรรดาครูเพลงในยุคสมัยต่างๆ ภาพสไลด์ที่ฉายเก่าแก่มีกลิ่นไอของยุคสมัยนั้นๆ พร้อมทั้งบทเพลงบรรเลงในแต่ละยุค พร้อมทั้งเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ อย่างตั้งใจ สลิลทิพย์จดจ่ออยู่กับครูเพลงหนึ่งที่เธอชื่นชอบแต่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ท่านเป็นครูเพลงไทยสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นครูเพลงที่ประสบความสำเร็จในฐานะครูดนตรีไทยเป็นอย่างมาก ถนัดทางซอเป็นที่สุด คีตะนั่งดูไปยิ้มไปเพราะเขาได้เข้าไปพบเจอกับคนที่สลิลทิพย์ปลื้ม แถมยังได้เรียนซอด้วงกับครูท่านนั้นอีกด้วย

“ตัวจริงก็เหมือนในภาพนี่แหละ” คีตะพึมพำ

“ว่าอะไรนะ” สลิลทิพย์ได้ยินไม่ถนัด

“อ้อ บอกว่าภาพนี่ได้มาเหมือนตัวจริงเลย” คีตะปลื้มที่ตนเองได้เจอครูเพลงระดับเทพ

“แล้วคีร์ไปเห็นตัวจริงได้ยังไง” คิ้วขมวดเป็นเชิงสงสัย คีตะรู้ว่าตัวเองพูดมากไปรีบบ่ายเบี่ยง

“จะไปเห็นได้ยังไง ในฝันแหละ ฝัน เพราะนั่งทำอัตชีวประวัติเหล่านี้ไง”

อยากจะเห็นข้า ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้ฝันไป

แสงไฟสว่างไสวดับลงกระทันหัน ทุกคนในหอประชุมตกอยู่ในภวังค์ มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร สายตายังปรับแสงไฟไม่ได้ มือคีตะรีบคว้าจับมือสลิลทิพย์ไว้ เธอตกใจแต่ไม่บ่ายเบี่ยง เสียงตัวโน้ตต่างๆ ดังขึ้นพร้อมๆ กัน แต่เสียงนั้นเหมือนผ่านการเล่นด้วยเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง ทุกคนได้ยินรู้ทันทีว่านั่นคือเสียงซอด้วง เสียงเครื่องสายของไทยที่มีเสียงเฉพาะตัว สูง แหลม บาดเข้าไปถึงใจคนฟัง พนักงานขนลุกกันเกรียว คณินทร์ คีตกานต์ตื่นตระหนกพยายามมองหาต้นเสียง คีตะจำได้ทันทีว่านี่คือเสียงเพลงที่ครูเที่ยงเล่น สลิลทิพย์บีบมือเขาแรงคล้ายหวาดกลัว คณณัฐนั่งอยู่บนเปียโนสีดำขลับกลางหอประชุม ในมือถือซอด้วง มือกระชับก้านคันซอ อีกมือกระชับสายพร้อมกดสายเล่นเพลง เสียงซอด้วงดังกังวานไปทั่วทั้งหอประชุม แสงไฟดวงหนึ่งจากมือถือของพนักงานถูกเปิดขึ้น จากนั้นแต่ละคนค่อยๆ เปิดแสงจากมือถือส่องไปหาต้นตอของเสียงซอด้วงด้วยความหวาดกลัวในสิ่งที่จะเห็นตรงหน้า สุทธิภัทรมองเห็นคณณัฐด้วยหางตา บุคลิกลักษณะของเขาเปลี่ยนไป เหมือนเห็นภาพซ้อนของชายหนุ่มยุคโบราณนุ่งโจงกระเบนอยู่บนเปียโน เขาหรี่ตา ขยี้ตาเล็กน้อย แล้วหันกลับไปมอง แต่กลับไม่เห็นอะไร

ไม่นานนักแสงจากมือถือของทุกคน ก็พุ่งตรงไปที่จุดเดียวกันบนเปียโนตัวใหญ่ ตั้งตะหง่านอยู่กลางหอประชุม คณณัฐจ้องทุกคนตาขมึงแทบถลนออกมา ดวงตาสีแดงฉานคล้ายเลือด จ้องตรงไปยังคีตะที่เดินออกมาจากห้องอัตชีวประวัติ เสียงกรีดร้องระงมไปทั่วทั้งงาน คณินทร์ คีตกานต์ สุทธิภัทรต่างรีบวิ่งมาที่เปียโน

ทันใดนั้นแสงไฟในหอประชุมก็สว่างขึ้นเหมือนไม่เคยดับมาก่อน ทุกอย่างในงานกลับมาใช้ได้ตามปกติ ทุกคนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พบเห็นคณณัฐหมดสติอยู่ที่พื้นข้างเปียโน

“ณัฐ ลูกแม่” ร่างไม่ได้สติของคณณัฐถูกปลุกด้วยสองมือของมารดาผู้เป็นที่รัก คีตะเข้าไปช้อนร่างของพี่ชายประคองให้นั่ง ยาดมถูกส่งจากมือสลิลทิพย์เพื่อให้คณณัฐ สุทธิภัทรมองภาพตรงหน้าอย่างฉงนสงสัย เขารู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล คณณัฐค่อยๆ ลืมต่างตื่นขึ้นมา สะดุ้งสุดตัวเหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง “อย่า อย่าเข้ามา” คณณัฐตะโกน พร้อมกับมือทั้งสองคอยปัดสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว จนคีตะต้องจับไหล่พี่ชายเขย่าแรงๆ เพื่อเรียกสติ

“พี่ณัฐ พี่ณัฐ ไม่มีอะไรแล้วพี่ แค่ไฟดับ พี่เป็นอะไรไป ทำไมมาเป็นลมอยู่ข้างเปียโน” คีตะถามด้วยความเป็นห่วง สีหน้าของคณินทร์และคีตกานต์เป็นห่วงไม่ต่างกัน “ไปหาหมอเถอะ” คณินทร์ผู้เป็นพ่อสั่ง คณณัฐพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

“พี่น่าจะไม่ได้พักผ่อน เดี๋ยวผมพาไป” คีตะทำท่าจะประคองคณณัฐลุกขึ้นไปหาหมอ “คีร์อยู่ที่นี่กับพ่อก่อน ให้แม่พาพี่ชายเราไปแทน คุณพาลูกไปทีนะ ผมต้องทำงานตรงนี้ให้เสร็จก่อนแล้วไว้เจอกันที่บ้าน”

คีตะไม่สบอารมณ์ ลูกชายทั้งคนไม่สบาย แต่พ่อกลับห่วงแต่งาน คีตกานต์ไม่ขัดข้องอะไร แตะมือคีตะเบาๆ เป็นเชิงขอร้องแกมห้ามปราม

“เดี๋ยวฉันขับรถให้ไม่ต้องห่วง” สุทธิภัทรเสนอตัวพาคีตกานต์และคณณัฐไปโรงพยาบาล “เจ้าคีร์ ลุงฝากไปส่งน้องที่บ้านด้วย ห้ามดึก ห้ามพาไปที่อื่น ตรงกลับบ้านเลยเข้าใจไหม” สุทธิภัทรส่งสายตาดุดัน น้ำเสียงหนักแน่นเชิงสั่งทหารก็ไม่ปาน คีตะทำความเคารพเช่นเดียวกับทหารเพื่อรับทราบคำสั่ง ชายหนุ่มทั้งสองยิ้มให้กันแกมหัวเราะเบาๆ

เรื่องสนุกของครอบครัวเอ็ง ข้าจะสร้างให้เอง

สุทธิภัทร คีตกานต์ช่วยกันประคองคณณัฐออกจากหอประชุม ไม่ทันไรเสียงอาละวาดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ “แหมม…ปล่อยแมวไว้บ้านคนเดียวไม่ได้เลยนะ ต้องแอบโดดมาหาปลาย่างแก่ๆ ถึงข้างนอก” เสียงแหลม สูง ของทิพย์ปภา ดังไล่หลังทั้งสามคนมาไม่ห่าง

“ทำยังกับพ่อแม่พาลูกไปหาหมอ อยากจะประคองลูกคนอื่น หรืออยากจะประคองเมียคนอื่นกันแน่” ทิพย์ปภา หญิงสาวสวย สะโอดสะอง ผิวขาวใสดั่งผู้ดีสมัยก่อน ดูผิวเผินเหมือนอายุจะนำทั้งสองคน แต่ที่ไหนได้ อายุไล่เรียงหลานชายคนโตไม่กี่ขวบปี หน้าจัดเต็มเครื่องสำอาง ปากแดงมาเหมือนตัวร้ายในละครสมัยก่อน ผู้เป็นแม่ของสลิลทิพย์ ที่ใครๆ หลายคนต่างมองเป็นพี่สาวเสียมากกว่า เธอแต่งงานกับสุทธิภัทรตั้งแต่อายุน้อย เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย หมายตาอาจารย์ภัทร ด้วยทรัพย์สินและเงินทอง ลงเอยที่ได้เสียกัน จนเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าท้องก่อนแต่ง ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น

คีตกานต์ คณณัฐ หันไปตามเสียง สุทธิภัทรปล่อยมือที่ประคองคณณัฐหันกลับไปหาภรรยา สีหน้าคิ้วขมวด ไม่พอใจกับมารยาทของทิพย์ปภา

“เธอไปดูแลภรรยาเถอะ เดี๋ยวฉันพาลูกไปเอง”

“มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือคะ” ทิพย์ปภาสวนทันควัน

“ผมเสนอตัวพาหลานไปเอง”

“เดี๋ยวนี้เสนอตัวเป็นพ่อเองเลยเหรอคะ เห็นหัวเมียคนนี้อยู่ไหม เอ๊ะ…หรือเพราะลับหลังเลยไม่เห็นหัวเมีย ชอบลอบกินของเหลือชาวบ้าน” สุทธิภัทรไม่ทน เข้าไปคว้าแขนทิพย์ปภาลากออกไปจากที่จัดงาน ไม่วายที่เธอยังพยายามตะโกนด่าคีตกานต์ พ้นประตูสุทธิภัทรเหวี่ยงแขนเธอเต็มแรงจนกระเด็นไปชนกำแพง ทิพย์ปภาสีหน้ายั่วยวนกวนโมโหดีนัก สองมือของเธอคล้องคอสุทธิภัทรเข้ามาใกล้ๆ

“รสชาติจืดชืดอย่างนั้น ไม่เข้ากับคุณหรอก” เธอประกบปากสามีอย่างร้อนแรง สุทธิภัทรที่เหมือนจะโกรธก็หายวับ เขาตอบกลับอย่างเร่าร้อน เบื้องหน้าของเขาอาจเป็นอาจารย์ที่สุขุมนุ่มลึก ภาพลักษณ์สุภาพอ่อนโยนที่แสดงออกให้คนอื่นได้เห็น แตกต่างกับเบื้องหลังชีวิตจริงของเขาเสียเหลือเกิน ชีวิตรักของเขาโลดโผน รุนแรง มากกว่าที่เขาจะเปิดเผยให้ใครได้รับรู้

ชีวิตคนรอบข้างของเอ็ง ข้าจะทำลายทิ้งให้ไม่เหลือซาก

 



Don`t copy text!