เรื่องเล่าไปวิ่ง 3 อีเวนท์ 3 สัปดาห์
โดย : สุวิทย์ เมฆวิบูลย์
ไม่ได้มีแค่ นิยายออนไลน์ ให้อ่าน ที่ อ่านเอา แต่เรายังมีเรื่องราวการเดินทางของ สุวิทย์ เมฆวิบูลย์ ชายหนุ่มผู้ที่เชื่อว่า การเดินทางกับการดื่มกิน คือองค์ประกอบสำคัญในการเติมไฟ เพิ่มพลังให้ชีวิต และเขายินดีแบ่งปันขุมพลังนี้กับผู้อ่าน “อ่านเอา” ได้ อ่านออนไลน์
…………………………………………..
– เรื่องเล่าไปวิ่ง 3 อีเวนท์ 3 สัปดาห์ –
เทศกาลแห่งความสุขเริ่มแล้ว ไม่ต้องรอถึงธันวาคมหรอก แค่ย่างเข้าเดือนตุลาคม งานวิ่งของบ้านเราก็โหมโรงทะยอยดาหน้าออกมาเชิญชวนยั่วเหงื่อและแข้งขาเหล่าคนรักสุขภาพ เลยตัดสินใจสมัครไปร่วม 3 รายการติดๆ กัน 3 สัปดาห์ต่อเนื่อง (12-27 ตุลาคม 2562) เริ่มจากโปรแกรมที่เขาค้อ ของ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) โต้โผรายการ ‘วิ่งพักตับ’ ทั่วประเทศมีทั้งแบบแข่งขันกันตามจังหวัดต่างๆ ในภูมิภาคและ แบบต่างคนต่างวิ่ง (Virtual Run) ส่งผลสะสมระยะทางวิ่งในระยะเวลา 90 วัน ใช้คำขวัญ “ตับ… จะกลับมาดี เริ่มวันนี้งดเหล้า”
รัฐพยายามรณรงค์ในช่วงเข้าพรรษา 3 เดือนนี้ ลด ละ เลิกเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชักชวนให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายดูแลสุขภาพโดยการวิ่ง มาขยับปอด ให้ตับได้พักผ่อน เป็นโอกาสดีที่จะได้ฝึกใจตนเองให้เข้มแข็ง ดูแลสุขภาพร่างกายด้วย
ชวนเพื่อนๆ 12 คน ไปด้วยความหวังที่จะเจออากาศเย็นๆ ออกวิ่งฝ่าเมฆหมอกยามเช้า โตเกียว เบอร์ลินมาราธอนไม่มีตังค์ไป เอาแค่เขาค้อพักตับ ก็น่าจะเย็นบ้าง ก็น่าจะโอล่ะวะ พอไปถึงเกือบจะมืดแล้ว ฝนตกหนักช่วงหัวค่ำยันดึก เทลงมาจนฟ้าแทบทะลุ นอนฟังเสียงฝนจนนึกว่าการแข่งขันต้องถูกยกเลิกแหงๆ ตื่นตี3 ครึ่ง ฟ้ามืดแต่ฝนหายไปสนิท เหลือแต่ความเย็น>เย้น>เย็น 17-18C ออกไปถึงจุดชมวิวเหนืออ่างเก็บน้ำรัตนัย นักวิ่งวอร์มกันคึกคักเพราะมีตั้งแต่ฮาล์ฟ ลงมาถึงฟันรัน 3 พันกว่าคน ถูกปล่อยตัวออกไปหลังพิธีการที่ยืดเยื้อตามแบบฉบับของราชการ ประกาศวนไปวนมา มีแต่น้ำ ใช้เวลานานมากๆ ปล่อยตัวออกไปจากเส้นไม่ถึง 50 เมตร ต้องวิ่งแข่งประชันตีคู่กับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์เลย ไม่มีการกั้นเขตแนววิ่ง ไม่มีอาสาสมัคร ตำรวจจราจร เพียงพอ เอ้อ สุ่มเสี่ยงจังเลยครับ สามแยกสี่แยกมีเพียงเจ้าหน้าที่2-3 คน ไม่มีรถกั้น ไม่มีแผงเหล็ก ดูเหมือนมาวิ่งออกกำลังกายกันเอง โชคดีที่ปริมาณรถมีน้อย และตึกอาคารบ้านเรือน แผงลอย อยู่ห่างจากไหล่ทาง วิ่งไปก็พอจะมองเห็นการจราจรข้างหน้าได้ แต่ไอ้คันหลังที่เร่งเครื่องจี้ตูดนี่สิ ไม่เห็นครับ หวาดเสียวโคตรๆเลยครับ
ส่วนร่วมจากชาวบ้านร้านถิ่นถือว่าสอบตก ไม่มีออกมายืนเชียร์เลยสักชุมชนสักคน นับเป็นศูนย์ก็ว่าได้ครับ ไม่มีกลองยาวดนตรีเคาะฉิ่งฉับเถิดเทิงหรือเครื่องเสียงร้องปลุกเร้าใจนักวิ่ง เสียดายครับ ยิ่งเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลหรืออุบัติเหตุ ไม่พบเห็นรถพยาบาล รถหน่วยกู้ภัย จอดสแตนด์บายทั้งที่จุดกลับตัว หรือในระหว่างเส้นทาง พลาดครั้งใหญ่หลวงครับ คุณคือ สสส. นะ พลาดลืมหรือบริหารจัดการไม่ได้ น่าใจหาย น่าตกใจกลัวกับเหตุร้าย ที่บังเอิญไม่เกิดขึ้น ใช้ชีวิตคนไปวัดดวง มันไม่คุ้มเลยครับ
เขาค้อยามเช้า หุบเขาสวยมากๆ เมฆหมอกลอยปลิวกระจายปกคลุมตามไหล่เขา ยิ่งมุมมองที่ต่ำกว่าระดับสายตา งดงามพอให้หายโกรธ วันนั้นวิ่งไต่ขึ้นเนินชันยาวๆ ขึ้นลง 5-6 เเห่ง ทำให้การวิ่งมีสีสัน ต้องใช้แรงใช้พลังโยกก้าวขา ไม่มีผ่อน หยุดพักไม่ได้ ใช้จังหวะช้าเร็วสลับกันไป ทฤษฎีเเรงเฉื่อย แรงลม พลศาสตร์ แรงเสียดทานคิดไป ใช้ให้ได้หมดภูมิล่ะวะ… (ข้อมูลภูมิศาสตร์ เขาค้อมีความสูง จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ตั้งแต่ 155 เมตร จนถึง จุดสูงสุด 1,593 เมตร )
อีเวนต์ถัดมา วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562 ได้กลับไปโรงเรียนอำนวยศิลป์ที่เคยเรียนมัธยมปลาย สมาคมนักเรียนเก่าฯ จัดเป็นปีแรก (โรงเรียนมีอายุครบรอบ 93 ปีแล้ว) เพื่อหารายได้และใช้เป็นกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ของศิษย์เก่า ชักชวนแก๊งวิ่งขาประจำ แต่พี่ไม่ดันติดธุระการงาน ติดไปเที่ยวเมืองนอก 2-3 ครอบครัว งานนี้เลยไปวิ่งแบบเหงาหงอยเพียง 2 คน
เดินกลับเข้าโรงเรียนเป็นครั้งแรกในรอบ 45 ปี สภาพบริเวณดูโปร่งโล่งพื้นที่ไม่หนาแน่นเหมือนในอดีตเลย มีสนามหญ้าฟุตบอลกลางแจ้งสีเขียวๆ มาแทนพื้นปูนสนามบาส โรงเรือนไม้ชั้นเดียวและหอประชุมถูกรื้อหายไปแล้ว ห้องเรียนชั้น 2 บนอาคารหน้าและชั้นล่างของอาคารหลัง ที่เคยเรียนชั้น มศ.5 และ มศ.4 ยังอยู่และดูดี คลาสสิก มีมนตร์ขลังเพราะออกแบบโครงสร้างได้สวยงาม แม้สูงแค่ 2 ชั้น โรงอาหารที่เป็นสนามรบร่อนจานของ ‘คณะเรา’ อันตรธานหายไปซะแล้ว ปัจจุบันเป็นลานจอดรถโล่งๆ วันนี้ถูกใช้เป็นลานกิจกรรม เวที ซุ้มอาหาร
ศิษย์เก่ามาร่วมวิ่งเกือบพันคน ประเภทมินิมาราธอน ประมาณ 400 คน ที่เหลือคือฟันรัน 3 และ 5 กม. รูปแบบงานจัดได้ดี เรื่องความปลอดภัยบนถนน ทำได้ดีเยี่ยมมาก ปิดกั้นทุกแยกทุกไฟแดง ทราบภายหลังว่า ใช้ความร่วมมือจากหลายหน่วยงานราชการ เริ่มจากทีมนักปั่นชิลๆ สไตล์ 56 ขี่วนไปวนมา ดูแลความปลอดภัยกับชมรมจักรยานอาสากู้ชีพพร้อมอุปกรณ์กู้ชีพ ให้บริการความช่วยเหลือในกรณีเหตุฉุกเฉิน มีสารวัตรทหารบก (สห.ทบ.) สารวัตรทหารเรือ (สห.ทร.) ยืนเรียงรายดูแลการจราจร และเห็นเจ้าหน้าที่เทศกิจ น่าจะมาจากสำนักงานเขตราชเทวี พบเห็นรถพยาบาลฉุกเฉิน 2 ของ รพ. สมิติเวช ศรีนครินทร์
จัดว่าเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง สามารถจัดการให้รู้สึกดีๆ กับนักวิ่งว่า เส้นทางในกรุงเทพฯ ยังมีความปลอดภัยและวิ่งสบายๆ วิ่งผ่านสี่แยก ทางเข้าออกซอยแถบถนนเพชรบุรี ทางเข้าออกอาคารแถวพญาไท ถนนพระราม 6 และถนนโยธี ไม่ต้องชะลอสปีด ไม่ต้องเหลียวซ้ายเเลขวา พอถึงเส้นชัย ได้กินข้าวกล่องเย็นชืด ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยแห้งๆ เย็นๆ ไม่ถูกใจถูกปาก มักง่ายไปนิด น่าจะจัดซุ้มอาหารปรุงต้มผัดกันร้อนๆ ดีกว่า แต่ก็ได้ของแจกพวกครีมนวด ยาดม น้ำดื่ม ขนม นมกล่องเพียบเลย สนุกครับ ติอีกเรื่องคือออกแบบเส้นทางวิ่ง 2 รอบมันซ้ำจำเจวิวทิวทัศน์น่าเบื่อไปน่ะ น่าจะให้วนอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า แล้วออกมาซ้ายไปด้านข้างทำเนียบแล้ววิ่งผ่านสนามม้านางเลิ้ง ตรงไปเข้าถนนเพชรบุรีเลย ทำให้มีช่างภาพตากล้องน้อยไปนิดด้วย แก้ไข2 จุดนี้ได้ ปีหน้าจะมาวิ่งด้วยอีกแน่นอนครับ
สัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม ไปวิ่งในกระทรวงสาธารณสุข (เข้าทางซอยติวานนนท์ 4) นี่เป็นครั้งแรกของสนามนี้ ชื่อรายการเต็มๆ ว่า… ‘พี่ช้างวิ่งด้วยใจให้ศรีธัญญา’ บ.ไทยประกันภัย จัดและหาเงินมาให้ (ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง) ปีนี้รวบรวมเงินได้ 500,000 บาท ชอบกิจกรรมรูปแบบร่วมบริจาคให้กับโรงพยาบาลมาก ผู้จัดปิดถนน 100% ให้นักวิ่ง 2 พันกว่าคน ทั้งวิ่ง เดินจ้ำๆ วนขวาไปตามอาคารต่างๆ ของรพ.ศรีธัญญา (เส้นทางวิ่งวันนี้อยู่ในเขต รพ.ศรีธัญญาเท่านั้น) แสดงว่าพื้นที่ของกระทรวงสาธารณสุขมีอาณาเขตใหญ่โตกว้างขวางมาก มองไปด้านไหนก็เห็นต้นไม้ใหญ่เขียวๆ สลับกับพุ่มไม้เตี้ยๆ ตลอดไหล่ถนนคอนกรีตที่ยาว 3.30 กม. ต่อรอบ เลยถูกบังคับให้วิ่ง 4 รอบจนครบระยะ 12 กม. แม้แสงแดดไม่แรงมากนัก แต่ถูกปล่อยตัวล่าช้าเป็น 5.45 น. แค่ 7 โมงเช้า ลมก็ไม่พัดถ่ายเทเลย ทำให้อากาศร้อนอบอ้าวจนเสื้อกางเกงเปียกแฉะ เหงื่อชุ่มโชกไปทั้งตัว แทบจะถอดเสื้อถอดกางเกงวิ่งกันเลย ป้อแป้ร่อแร่จนไปถึง 1 ชั่วโมง 35 นาทีจึงวิ่งเข้าเส้นชัย ไม่ได้คลายเส้นยืดเหยียดเลยสักกะนิดเลย เพราะรับเหรียญแล้วดันไปโผล่เจอท้ายแถวคิวซุ้มข้าวมันไก่ ‘พิชัยไก่ตอน’ พอดีอะ… ดูเผินๆ ไม่น่าจะเข้าท่าเข้าทาง ไม่น่าเชื่อ… รสดีแฮะ อร่อยครับ ข้าวหอมเป็นตัวๆ ร้อนๆ โปะหน้าด้วยไก่นุ่มสับสดๆ ไม่บางเฉียบ ชิ้นหนาพอดีคำ น้ำจิ้มก็โอครับ แอบรับกล้วยหอมมาตุนอีก 2 ใบ แล้วมาต่อแถวซุ้มก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำคลองขุดมหาสวัสดิ์ ลวกบะหมี่เส้นร้อนๆ ส่งให้เชฟอีกคนใส่น้ำต้มยำในชามที่มีเครื่องใน หมูบะช่อ น้ำขลุกขลิกรสเผ็ดหวานเค็มเปรี้ยวพอดีลิ้นเลยครับ ถือว่าอร่อยมากๆ สำหรับงานวิ่งที่ไม่ค่อยได้เจอนัก (ยกเว้นงานวิ่งของวิศวะ จุฬาฯ ที่ประทับใจทุกซุ้ม ขอโม้ซะหน่อย) พอทีเถอะแจกกล่อง ขนมปังแห้ง แซนด์วิชชืดๆ ฝืดคอ ข้าวกล่องเย็นๆ ข้าวเหนียวหมูปิ้งค้างคืน นั่นมันอาหารขยะชัดๆ จะชักชวนให้ดูแลรักษาสุขภาพกัน มันต้องครบสูตรตั้งแต่ปล่อยตัว ยันเส้นชัย จบบริบูรณ์ถึงซุ้มอาหารเครื่องดื่มครับ…
เช้าวันนี้ได้โชค 3-4 ชั้น ได้ทำบุญให้โรงพยาบาล ได้สูดออกซิเจนในกรุงเทพเข้าไปเต็มปอด หลั่งสารเอ็นโดรฟิน สุขภาพต้องดีแหงๆ แถมยังได้กินอาหารเช้าถูกปากถูกใจ กลับมาถึงบ้านสายๆ ล้มตัวลงงีบแป๊บนึง ฝันดีปลอดโปร่งโล่งใจกับช่วงที่ผ่านมา 15 วัน 3 อีเวนต์ 33 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 4 ชม 13 นาที ได้สร้างสมดุลชีวิตกับงานตามตำราฝรั่งเขาว่า ‘work life balance’ แล้วเติมเต็มด้วยวิถีพุทธวิถีไทย ทำบุญทำทาน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับสังคมตามอัตภาพลงท้ายด้วยประโยคนี้ที่ถูกต้องเสมอ…
The Happiness will happen when we run and share…