ตามรอยจินตนา ล่าเหยื่อยมบาล (4)

ตามรอยจินตนา ล่าเหยื่อยมบาล (4)

โดย : หมอกมุงเมือง

ในเวลาเดียวกันกับที่ วิญญู พรหมธาดาพงศ์ หัวหน้ากองบรรณาธิการ อาลักษณ์สยาม รู้สึกประหลาดใจที่ไม่เห็นมนสา มาในงานสวดอภิธรรมศพของบิดาเธอเอง เขาตัดสินใจปรึกษากับภิษชาที่มาร่วมงานด้วย และสองหนุ่มตัดสินใจโทรศัพท์ไปยังบ้านศาสตราจารย์อัพภันตร์ แต่ทว่าไม่มีสายรับ

มันเป็นจังหวะที่ นักสืบเวโรจน์ อรรณพมาศ เดินทางมาร่วมในงานนี้เช่นเดียวกัน เขาตามหามนสาด้วยอาการเร่งร้อน ผิดปกติ เพราะสืบรู้ข้อมูลบางอย่างมา และยิ่งเมื่อทราบว่าหล่อนไปยังคฤหาสน์ของอัพภันตร์เพียงลำพัง เวโรจน์ก็มีท่าทีตระหนกอย่างเห็นได้ชัด!!

ขณะที่เหตุการณ์ภายในห้องใต้ดินก็กำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤต ชายชุดหน้ากากทอง หยิบเข็มบรรจุยาสลบขึ้นมาแล้วฉีดให้กับมนสา โดยที่หล่อนไม่มีหนทางเลือกใดๆ ทั้งสิ้น มนสาหมดสติแล้วเคลื่อนเข้าสู่ห้วงภวังค์ โดยไม่รู้สึกรู้สมอีกต่อไป

ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาอีกครั้งภายในหอสยองของ อัพภันตร์ อาลักษณากร

เกมล่อยมบาล เริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ บัดนี้!

มนสา ทิพยวัตร รู้สึกตัวลืมตาขึ้นช้าๆ

หล่อนพยายามตั้งสติ เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ภายในหอสยองที่เต็มด้วยหุ่นรูปร่างและขนาดต่างกันมองราวกับภูตผีปีศาจ แน่นอน ในจำนวนหุ่นเหล่านี้จะมีอยู่สักกี่ตัวที่ติดอาวุธจริงและพร้อมจะสังหารหล่อนให้ดับดิ้นคามือของมัน

ทั้งหุ่นแฟรงเกนสไตน์ หุ่นแม่มดถือไม้กวาด หรือหุ่นขี้ผึ้งคนป่าแห่งกาฬทวีปที่มือถือไม้ซางบรรจุลูกดอกพิษเอาไว้ ระหว่างที่หล่อนก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เพื่อหาทางออกไปถึงโถงด้านหน้าของหอสยองให้สำเร็จนั้นเอง

“หึ่งงงง”

เสียงประหลาดดังมาจากข้างหลังหล่อน เบื้องบนเหนือหัว ทำให้มนสาหันขวับไปทันที

ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฏตัวขึ้นเต็มสายตา

มันคือแมลงพันธุ์พิเศษที่หล่อนเคยเห็นในห้องทดลองของดอกเตอร์มหิทธิ์มาก่อน หากยังไม่ใช่สายพันธุ์ที่น่าสะพรึงถึงเพียงนี้

มหิทธิเทรา!

มันบินพุ่งเข้ามาในจังหวะที่หล่อนเบี่ยงกายหลบอย่างหวุดหวิดพอดี

ในจังหวะที่ก้าวพ้นจากตำแหน่งนั้นออกไปเบื้องหน้านั่นเอง

“ผลุบ!”

และแล้วโดยไม่คาดฝัน ลูกดอกพิษไม้ซางของหุ่นคนป่า ก็ถูกเป่าพรวดออกมาในตำแหน่งที่หล่อนเคยยืนก่อนหน้า เฉียดฉิวไปเพียงเส้นยาแดงผ่า และเหมือนกับมันเป็นเหตุบังเอิญที่สุด เมื่อลูกดอกมรณะพุ่งเข้าเสียบแมลงปีศาจ ‘มหิทธิเทรา’ เข้าให้อย่างถนัดถนี่ มันจึงหล่นร่วงลงมาแน่นิ่งอยู่บนพื้น ไม่ต่างกับการรับเคราะห์แทนหล่อนได้พอดิบพอดี!

หล่อนรีบก้าวผ่านห้องเพื่อมุ่งสู่ประตูด้านปลายสุด และพบว่าหลุดผ่านเข้ามาสู่ห้องประหารพระนางมารีอังตัวเน็ต ด้วยคมกิโยติน เมื่อนั้นเอง เสียงเครื่องกลไกก็ดังขึ้น จากนั้น หุ่นต่างๆ ในห้อง ทั้งเพชฌฆาตที่ประหารพระนางแมรีแห่งสกอตก็เดินถือขวานตรงเข้ามา เงื้อง่าเข้าหาหล่อนอย่างประสงค์ร้าย

ในความทรงจำ มนสาจดจำได้ว่าอัพภันตร์เคยพาหล่อนเข้ามาชมหุ่นประวัติศาสตร์พวกนี้ และเผลอบอกที่ซ่อนปุ่มกลไกสำหรับหยุดการเคลื่อนไหวว่าอยู่ที่ผนังด้านหลังของหุ่นแต่ละตัว หล่อนจึงตัดสินใจวิ่งซิกแซก ซอกซอนตามเบื้องหลังหุ่นตัวต่างๆ แล้วกดปุ่มที่จำได้เต็มแรง หุ่นเพชฌฆาตพลันหยุดนิ่งขึงอยู่กับที่ในท่าเงื้อง่าขวาน อย่างน่าพรั่นพรึง มนสาไม่รอช้า หล่อนพุ่งตัวไปยังประตู แล้วผลักโครม พาตัวผ่านออกไปสู่ห้องติดกัน

ก่อนจะพบว่า ตนเองหลุดเข้ามาในห้องฟาโรห์ ซึ่งมีโลงศพห้าโลงเรียงรายอยู่ภายในห้องนั้นด้วย ความคิดหนึ่งวูบขึ้นในสมองของหญิงสาวทันที

ถ้าหล่อนจะเข้าไปซ่อนตัวอยู่ภายในโลงเปล่าเหล่านั้น?

และในที่สุด มนสาก็ตัดสินใจเสี่ยง ลองกดปุ่มกลข้างโลงจำลองเหล่านั้น โลงแรก เป็นมัมมี่จำลอง และอีกสองโลงถัดมา จนเหลือเพียงโลงที่สี่และห้าเท่านั้น

หล่อนกดโลงที่สี่ และแล้ว ภาพที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น เมื่อฝาโลงค่อยๆ แง้มออกมา พร้อมกับร่างในโลงที่เป็นมนุษย์ ถูกขังเอาไว้

ใคร?

มนสา ทิพยวัตร ค่อยๆ ช้อนร่างคุดคู้นั้นให้หันกลับมา และเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจน ก็ถึงกับตกตะลึงงัน

ศาสตราจารย์อัพภันตร์!!

นี่หล่อนหลงเข้าใจผิดมาตลอดเวลาว่าชายลึกลับในเสื้อคลุมนักบวชสวมหน้ากากสีทองผู้วิปริตจะเป็นเขา เพราะน้ำเสียงละม้ายเหมือนกันราวกับคนเดียว แต่กลายเป็นอัพภันตร์ถูกทำร้ายจนหมดสติ แล้วนำมาขังไว้ในโลงใบที่สี่แห่งนี้ หนุ่มใหญ่ผู้นั้นลืมตาขึ้นเมื่อสัมผัสถึงร่างของหล่อนและเปล่งแววตระหนก ไม่คาดฝัน

“มนสา… คุณหรือนี่? คุณพระช่วย เขาเอาคุณมาจนได้ ไม่น่าเลย”

“เขาเป็นใครคะ แล้วทำไม…”

มีโอกาสซักถามเพียงเท่านั้น อัพภันตร์พยายามผงกศีรษะขึ้น พูดอย่างทำเวลา ท่าทางเขาอ่อนเพลียอย่างหนัก

“อย่าเพิ่งถาม รีบเอาตัวรอดเร็ว… เขาเล่นงานผม เพราะขัดขวางไม่ให้ทำลายคุณ คุณต้องหาทางออกไปให้ได้”

“ผู้อำนวยการ”

“อย่าห่วงผม ปล่อยให้ตายเถอะ ชีวิตผมไม่ผิดกับคุณ รีบเอาผมซุกไว้ในโลงตามเดิม คุณไปหลบในโลงเปล่าข้างๆ นี่ก่อน รอให้มันผ่านห้องนี้ไปแล้วค่อยออกไป จำปุ่มบังคับหุ่นได้ไหม กดทีเดียวหุ่นจะหยุด กดสองทีมันจะเคลื่อน รีบซ่อนตัวเร็ว… มันไม่นึกว่าคุณจะกล้าเข้ามาซ่อนในโลงมัมมี่… ก่อนจะสายเกินไป”

“ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นใครคะ…”

มนสาถามได้เพียงเท่านั้น ร่างในอ้อมแขนของหล่อนก็กระตุกน้อยๆ มีเสียงดังคร่อกขึ้นเบา แล้วศีรษะของอัพภันตร์ก็เอียงพับลง แน่นิ่งสนิท

แสดงว่าวิญญาณของเขาหลุดลอยออกจากร่างเสียแล้ว!!

หญิงสาวร้าวรานแทบขาดใจ แต่ในเวลานี้ สิ่งสำคัญกว่าคือการเอาชีวิตรอดออกไปจากหอสยองแห่งนี้ให้ได้ แม้ว่าจะสงสัยเหลือเกินว่าฆาตกรภายใต้หน้ากากสีทองผู้นั้นคือใครกันแน่!

เสียงกุกกักดังขึ้น และคล้ายวัตถุหนักล้มกระทบพื้นดังแว่วมาจากห้องที่หล่อนผ่านออกมาแล้ว ชายวิปริตที่สังหารศาสตราจารย์อัพภันตร์ กำลังไล่ล่าหล่อนใกล้เข้ามา สัญชาตญาณจากการเอาตัวรอดแท้ๆ ทำให้มนสาดันร่างของอัพภันตร์เข้าไปในโลงศพที่เปิดอ้า กดปุ่มปิดฝาไว้ตามเดิม ต่อจากนั้นก็ขยับไปยังโลงอีกใบหนึ่งซึ่งตั้งในแนวยืนชิดผนังลึกเข้าไปผิดกับโลงอื่นๆ กดปุ่มให้ฝาเปิดออกแล้วก้าวเข้าไปข้างใน ดึงบานประตูปิดสนิทเข้าหากัน

ภายในโลงร้อนอบอ้าว ทาสีเขียนลายเลียนแบบโลงโบราณอย่างแนบเนียน มันไม่กันเสียงจากภายนอกได้เลย มนสาจึงใจเต้นระทึกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำใกล้เข้ามา…

กุก! กุก! กุก!

เสียงฝีเท้ากระทบพื้นห้องนั้นทำลายขวัญได้อย่างร้ายกาจ

และยิ่งร้ายหนักไกว่านั้นหลายเท่าพันทวี เมื่อเสียงกุกกุกมาหยุดอยู่หน้าโลงที่หล่อนซุกซ่อนตัวอยู่นี้

ซุ่มเสียงเงียบไป แสดงว่าเจ้าของฝีเท้าหยุดยืนตรงนั้นเอง ไม่ไปไหน

เขาสงสัย หรือมิฉะนั้นก็หล่อนอาจสะเพร่า ทิ้งร่องรอยไว้ให้เขาเห็นก็ได้

มนสานึกทอดอาลัยตายอยากในชีวิต แต่กระนั้นก็อดสั่นสะท้านไปทั้งตัวไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงเบาๆ จากข้างนอก และฝาโลงเปิดออกอย่างแช่มช้า!!

ด้วยความสิ้นหวังและท้อแท้อย่างถึงที่สุด มนสาเงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่ยืนจังก้าอยู่หน้าบานประตูฝาโลงด้วยแววตาหมดหวัง

เขาคือชายร่างสูงที่สวมเสื้อนักบวชสีแดงเข้ม และหน้ากากเงินเป็นเงาวับคนนั้นเอง

ผู้ช่วยของชายวิปริต ซึ่งจนป่านนี้หล่อนก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร

 

โปรดอ่านต่อสัปดาห์หน้า!!

และนี่คือ ประโยคสุดท้ายของนวนิยาย เหยื่อยมบาล ที่แสนเจ็บปวดและค้างคาใจนักอ่านหลายต่อหลายท่านมานับสามทศวรรษ เพราะทุกคนรู้ว่า หลังจากนี้ไป จะไม่มี ‘ตอนต่อไป’ ที่จะเฉลยปมทั้งหมด ของ เหยื่อยมบาล ให้รับรู้ ว่าใครกันแน่คือ ดร.ยมบาล ที่แท้จริงอีกแล้ว!!

และ ดร.ยมบาล ก็จะกลายเป็นตัวละครปริศนาเฉกเช่นนี้ไปตลอดกาล…

 

บัดนี้ ภารกิจ “ตามรอยจินตนา ล่าเหยื่อยมบาล” ได้ดำเนินมาถึงบทอวสานที่ไม่อาจอวสาน แต่เพียงแค่นี้ รวมถึงการปิดฉากนวนิยายระทึกขวัญ ที่ผมถือเป็นตำนานการทิ้งทวน ของ คุณจินตวีร์ วิวัธน์ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ราชินี เรื่องลึกลับแห่งบรรณพิภพ ผู้จากไปสู่ “สรวงสวรรค์ชั้นกวี”ของท่าน พร้อมกับปมปริศนาของนิยายเรื่องสุดท้ายอย่างแท้จริง

สร้อยอักษร ผสานสร้าง สว่างไสว

ดังมาลัย หอมกำซาบ อาบนาสา

ให้ทุกถ้อย ซาบซึ้ง ถึงจินตนา

สู่เวหา ห้วงสวรรค์ อันรุจี

ขอก้มกราบ บูชา คารวะ

สรณะ แห่งผลงาน ท่านสักขี

กี่วันเดือน เลื่อนผ่าน นานกี่ปี

จินตวีร์ วิวัธน์ มิอาจเลือน!

 

ด้วยจิตคารวาลัย

หมอกมุงเมือง

 

 

Don`t copy text!