เดียร์น่า ฟลีโป กับการรับบท ‘โรยทอง’ นางเอกสายสตรอง หญิงสาวที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้
โดย : กิ่งสุรางค์ อนุภาษ
ชงเข้มทุกตอนสมเป็นละคร ‘ดราม่าแห่งปี’ สำหรับ ‘วิมานสีทอง’ ที่สร้างจากบทประพันธ์เรื่อง ‘วิมานไฟ’ อีกผลงานเลื่องชื่อของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. ๒๕๓๑ ‘กฤษณา อโศกสิน’ ซึ่งล่าสุดที่ทางช่องวัน 31 นำมารีเมกอีกครั้ง นำแสดงโดยฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ, เดียร์น่า ฟลีโป, เจี๊ยบ-พิจิตตรา สิริเวชชะพันธ์ และนาน่า-ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์ ก็ยังคงความเข้มข้นของเรื่องราวเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม
สำหรับเดียร์น่า ฟลีโป ที่มารับบท ‘โรยทอง’ นั้น นอกจากจะเป็นการร่วมงานครั้งแรกกับทางช่องวัน31 ผลงานเรื่องนี้ยังมีเรื่องใหม่ๆ ให้เธอได้ทดสอบความสามารถอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรับบทสาวมั่น คนจริง ในแบบที่ไม่เคยรับมาก่อน หรือความท้าทายในช่วงดราม่ากับบางซีนที่เธอต้องเป็นคนพาเรื่องไปให้สุดทาง
ถ้าจะบอกว่า วิมานสีทอง เป็นผลงานอีกเรื่องที่อัปเลเวลทางการแสดงของเดียร์น่าก็เชื่อว่า ‘ไม่ค้านสายตาผู้ชม’ มาอ่านบทสัมภาษณ์กันดีกว่า ว่าเธอทำอย่างไรถึงทำงานได้กลมกล่อมขนาดนี้
‘โรยทอง’ การพลิกคาแรกเตอร์ของเดียร์น่า
ภาพที่คุ้นตาคือเดียร์น่ามักรับบทสาวเจ้าน้ำตา เรียบร้อยอยู่เป็นประจำ พอมาเรื่องนี้เลยทำให้แฟนๆ เซอร์ไพรส์เพราะไม่คิดว่าเธอจะพลิกคาแรกเตอร์มารับบทผู้หญิงที่มั่นใจ สดใส ขนาดนี้ได้ “เดียร์ดีใจนะคะที่เราตีความความเป็นโรยทองออกมาแล้วคนดูเข้าใจ เพราะโรยทองจะมีความเป็นผู้หญิงรุ่นใหม่ ไม่หัวโบราณ ไม่ได้กลัวผู้ชาย พร้อมจะสู้กลับถ้าใครเข้ามาทำอะไรเรา
“ในขณะที่พี่สาวมีความเข้มแข็ง เป็นผู้นำ น้องคนเล็กมีความโลกสวย ทุกอย่างเป็นสีชมพู โรยทองคือคนที่พอดี คือสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง มีความสุขกับสิ่งรอบตัว จนมาเจอภุมเรศ ซึ่งถึงแม้จะตรงสเปก แต่โรยทองก็มีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่ใช้อารมณ์ และพาตัวเองออกมาได้ นั่นเพราะเป็นคนที่อยู่บนความถูกต้องค่ะ เดียร์ว่าโรยทองเป็นตัวละครที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้
“เรามีความคล้ายกันตรงที่รักอิสระเหมือนกัน ใช้ชีวิตคนเดียวได้ แต่ต่างกันที่ความกล้า เพราะโรยทองจะมีความกล้ามากกว่าเดียร์ เช่น อาจแซวผู้ชายได้ แต่เราไม่กล้าทำ อีกอย่างคือบางความคิดของโรยทองนั้นจะแตกต่างจากเดียร์ เช่น ถ้าเดียร์เป็นโรยทอง เดียร์จะบอกความจริงกับพี่ตัวเองไม่ว่าพี่จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม (หัวเราะ) แต่พอปรับมามองในมุมของโรยทองที่คิดว่าถึงบอกไปพี่สาวเขาก็ไม่เชื่อเรา แถมยังคิดว่าเราพยายามให้เขาแตกแยกกันอีก ไหนจะน้องคนเล็กที่เข้ามาทำให้เรื่องยุ่งเหยิงมากขึ้น เลยคิดว่า อย่าเลย เดี๋ยวพี่น้องทะเลากัน ก็เข้าใจว่าเป็นเหตุผลของตัวละครค่ะ ในขณะเดียวกันยังเป็นการบอกคนดูไปด้วยนะคะว่า ถ้าเราปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินไป รอยร้าวจะแก้ได้ยากมาก แต่ถ้าเราตัดสินใจบอกไปเลย ต่อให้เราทะเลาะกัน แตกกัน แต่อาจไม่แตกสลายไปเลย”
แอ็กติ้งโค้ช อีกเบื้องหลังคนสำคัญของนางเอกคนสวย
นางเอกสาวเล่าว่าทุกครั้งก่อนที่เธอจะไปกองถ่ายในทุกสัปดาห์ เธอจะไปหาแอ็กติ้งโค้ชของตัวเองพื่อที่จะคอยดูแต่ละฉากให้ว่า ซีนไหน เล่นอะไรได้บ้าง
“บางทีเราทำเอง คิดเองคนเดียว ก็จะอยู่แต่ในกรอบของตัวเอง ซึ่งแอ็กติ้งโค้ชจะมาช่วยให้เราออกจากกรอบ เช่น ลองเล่นแบบนี้สิ เลยทำให้เดียร์เห็นว่าการแสดงดิ้นได้จริงๆ ไม่มีอะไรตายตัว การที่แอ็กติ้งโค้ชยื่นโจทย์ให้เราลองเล่นอย่างนี้จึงเป็นอะไรที่ดี จากนั้นก็ไปคุยหน้างานอีกทีหนึ่งว่าเรามีไอเดียนี้มานำเสนอ ซึ่งเขาก็ซื้อ บางทีก็ให้เล่นไว้สองแบบ การที่ทุกคนรับฟังและช่วยกันพัฒนาตัวละครให้สมบูรณ์ที่สุดเป็นเรื่องที่แฮปปี้มากๆ ค่ะ”
ฉากสุดตื่นเต้นของเดียร์น่า
เมื่อถามว่าฉากไหนคือฉากที่เธอตื่นเต้นเป็นพิเศษ เธอตอบกลับมาอย่างไม่ลังเลเลยว่า ‘ฉากอารมณ์’ “รู้สึกเหมือนกำลังจะไปออกรบค่ะ (หัวเราะ) ตื่นเต้น ใจก็คิดว่าเอายังไงดี ต้องระเบิดอารมณ์แล้ว ซึ่งต้องใช้พลังเยอะมาก เรียกกันมาตั้งแต่เท้าขึ้นมาถึงหัว เวลาเล่นฉากอารมณ์เดียร์จะเปียกทั้งตัว เพราะข้างในร้อนระอุไปหมด แล้วไหนจะอากาศบ้านเราอีก ยิ่งถ้าเราจะต้องเป็นคนนำหลักในซีนนี้จะกดดันมาก เพราะต้องพาคนไปให้ถึงจุดไคล์แมกซ์ให้ได้ ทุกคนฝากความหวังไว้กับเรา
“วิธีการในการแสดงบทแบบนี้ แอ็กติ้งโค้ชของเดียร์จะแนะนำว่า ‘ค่อยๆ ใจเย็นๆ อย่าไปคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าไปคิดว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ ให้เดียร์ค่อยๆ พูดที่ละห้วงอารมณ์ ทีละประโยค แล้วคิดตามสิ่งที่พูด ไล่อารมณ์มาเรื่อยๆ เดี๋ยวมันจะขึ้นไปเอง’ ซึ่งจริงค่ะ เพราะที่ผ่านมาเดียร์ลองมาหมดแล้ว คิดจากบ้านมาเลยว่า ตรงนี้จะเป็นอย่างนี้ จะต้องทำอย่างนี้ให้ได้ แต่พอถึงเวลาจริงก็ไม่เหมือนกับที่เราอยู่ที่บ้าน ที่ห้องนอนซึ่งทุกอย่างเงียบสงบ มีสมาธิ ในขณะที่หน้างานวุ่นวายไปหมด มีกล้อง มีคนเดินไปเดินมา แต่เราก็ต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็จะขออีกครั้ง หรือขอเข้าแค่ตรงนี้ได้ไหม มีการคุยกับกับผู้กำกับ ทีมงานค่ะ
“ถ้าเป็นฉากที่เดียร์ต้องดราม่ามากๆ ก็จะบอกกับผู้กำกับเลยว่า ขอให้รับใกล้ก่อน เพราะจะเล่นเต็มมากๆ ในเทกแรก แต่ถ้ารับกว้างก่อนกลัวว่าอารมณ์จะไม่เท่ากัน เพราะเทกแรกมักจะจริงที่สุดเสมอ เลยต้องเก็บเทกนี้ไว้ให้ละเอียดที่สุดเลยควรจะเป็นโคลสอัป นอกจากนี้ก็มีเลิฟซีน นี่ก็ตื่นเต้น เพราะก็ใหม่กับเดียร์เหมือนกันค่ะ”
ความประทับใจในเรื่อง วิมานสีทอง
ถ้าจะให้ไล่เรียงความประทับใจของเธอที่มีกับละครเรื่องนี้ เธอบอกว่ามีหลายเรื่องมาก “อย่างเช่น ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานก็ดีมาก เวลาไปกองเดียร์จะสดใสมากค่ะ (หัวเราะ) เหมือนมาโรงเรียน ได้มิตรภาพ ประสบการณ์ ได้ทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ แล้วถ้าวันไหน ฉากที่หวังไว้ว่าอยากจะสร้างให้เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ เป็นไปอย่างทีตัวเองคิดไว้สำเร็จ วันนั้นจะภูมิใจในตัวเองมากๆ รู้สึกว่าโชคดีที่ได้พาร์ตเนอร์ที่ร่วมส่งบทกันอย่างดุเดือด ทุกคนเก่งหมดเลย อย่างพี่เจี๊ยบนี่เซอร์ไพรส์มากที่เขาพูดเสียงดังได้ขนาดนี้ แสดงอารมณ์ได้ขนาดนี้ เพราะตรงข้ามกับตัวเองที่เป็นคนพูดเบาๆ พี่เจี๊ยบยังเคยบอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่ได้คุยแบบปกติเลย เสียงดังตลอดเวลา มีปัญหากับทุกคน (หัวเราะ)
“สำหรับนาน่าเป็นเหมือนเด็กน้อยของพวกเราในกอง นี่ยังคิดเลยว่าถ้าต้องเล่นบทแบบนาน่า เดียร์จะทำยังไง บางอย่างก็ช่างไม่มีเหตุผลเลย บอกเลยว่านาน่าคือคนที่ร้องไห้เยอะที่สุดในเรื่องนี้ แล้วก็ทำได้ตลอด สั่งน้ำตาได้ นาน่าเข้าใจรินทองอย่างแท้จริง เป็นบทที่ยากแต่เขาทำได้ สำหรับฟิล์มถึงจะเป็นเรื่องแรกที่ได้ร่วมงานกัน แต่คงเพราะอายุเราใกล้ๆ กันเลยมีมุมมองใกล้เคียงกันด้วย อย่างในเรื่องของตัวละครเราก็ปรึกษากันว่าตรงนี้จะยังไงกันดี มีการแชร์กันตลอด ฟิล์มเป็นคู่เล่นที่เก่งมากๆ ค่ะ ซีนอารมณ์ก็ช่วยเดียร์ได้เยอะ เขาเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก ไม่ค่อยพลาด ขอบคุณฟิล์มในหลายๆ ฉากที่ช่วยให้เดียร์ไปถึงจุดพีกนั้นได้ เขามักจะบอกเดียร์ว่า ‘ไม่เป็นไรนะ เราได้ เอาที่เธอไหวเลย’
“เดียร์รู้สึกว่านักแสดงทุกคนทุ่มเทในพาร์ตของตัวเองและเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพียงละครสามีภรรยาที่ตบตีกันอย่างเดียว แต่อย่างมีอีกหลายมุมให้ได้มอง เช่น ความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องวันหนึ่งต้องลงเอยยังไง นี่ก็เป็นอีกมุมที่ได้นำเสนอให้คนดูคิดตามค่ะ และถึงแม้ วิมานสีทอง จะเป็นละครดราม่า แต่หลังกองคือเฮฮา ไม่เครียด (หัวเราะ) แซวกันได้ตลอดเวลาเลยค่ะ”
หักคะแนนตัวเอง เพราะพระเอกหน้าดีเกิน
“ถ้ามีคะแนนเต็มสิบ เดียร์ให้ตัวเองแปดเพราะก็มีบางวันที่เราเป็นสิว หักคะแนนไป (หัวเราะ) คือเรื่องนี้พระเอกหน้าดีเกิน ฟิล์มหน้าเล็กนิดเดียว ผิวก็ดี ทำให้เดียร์กลายเป็นคนหน้าใหญ่เวลาอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าถามถึงงานแสดง เดียร์เต็มที่กับทุกฉากแน่นอน
“นอกจากช่วยกันในเรื่องการแสดง ฟิล์มยังทำให้เดียร์กินสาหร่ายเป็นด้วยนะคะ (หัวเราะ) เขาลดน้ำหนักอยู่ เลยกินสาหร่ายเป็นของว่างตลอดเพราะแคลอรีน้อยเดียร์ก็เลยถามว่าทำไมเดียร์ไม่เห็นได้กินเลย (หัวเราะ) กองถ่ายก็เลยเอามาให้ด้วย ถึงฟิล์มจะเป็นคนเฮฮา แต่ก็ มีความเป๊ะ เนี้ยบ เช่น แปรงฟันทุกครั้งหลังกินข้าว ทาครีมต้องทาจากล่างขึ้นบน ตบหน้า ตบผิว ทาครีมละเอียดมากจนผู้หญิงอย่างเดียร์ พี่เจี๊ยบ อาย ฟิล์มเขาก็ให้เหตุผลว่าก็ต้องดูแล จะได้ไม่แก่ก่อนวัย (หัวเราะ) แล้วก็พร็อพเยอะ เช่น มีอาหารคลีนมาจากกองบ้าง มีนั่น มีนี่ ในขณะที่เดียร์มีแค่เก้าอี้ตัวเดียวมากองถ่ายค่ะ”
ไม่มี ‘ภุมเรศ’ ในชีวิตจริง
เห็นเป็นสาวสวยอย่างนี้ มั่นใจว่าต้องมีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบตลอดแน่นอน “แต่ไม่มีแบบภุมเรศนะคะ เพราะเขาก็จะรู้แหละว่าเราไม่ใช่คนที่จะเข้ามาเล่นๆ แล้วทำให้เสียใจได้ ส่วนใหญ่ทุกคนที่เข้ามาก็เข้ามาด้วยความจริงใจ แต่เป็นเรื่องอื่นมากกว่าที่ทำให้ไปกันไม่ได้ เดียร์ว่าคนแบบภุมเรศเขาร้ายเกินไปที่จะมาหลอกกัน ซึ่งถ้าสมมติว่าเกิดต้องไปเจอคนแบบนี้ เราก็คงต้องรีบออกมาให้เร็วที่สุด เพราะ ‘ไม่ใช่‘ อีกทั้งคนรอบข้างของเดียร์ก็ต้องช่วยกันดูแน่นอนว่าคนคนนี้เป็นคนดีไหม เราต้องฟังตัวเองด้วยหนึ่งเสียงและก็ต้องฟังคนรอบข้างอีกหนึ่งเสียงด้วยค่ะ”
สถานะปัจจุบันของเดียร์น่าหัวใจไม่ว่าง เพราะเธอมีคนคุยด้วยแล้ว และเธอบอกเคล็ดลับกระชับหัวใจกับอ่านเอาว่า “เราคุยกันมาประมาณสามปีแล้วค่ะ เดียร์มองว่าความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ แล้วต้องรู้จักปรับตัวเข้าหากันด้วย เพราะในความสัมพันธ์ถ้าเราไม่ปรับตัวเข้าหากันมันจะทำให้ยาก ดังนั้น สองเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญในมุมมองความรักของเดียร์ เพราะทำให้เข้าใจกัน คบกันมาได้ เกิดปัญหาน้อยที่สุดด้วยค่ะ”
ฟังแบบนี้อ่านเอาเห็นด้วยสุดๆ เลยจ้า สมแล้วที่เธอคนนี้คือ นางเอกสายสตรอง หญิงสาวที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้