‘ดวงตามัจจุราช’ นวนิยายแนวเหนือจริงที่เหนือความคาดหมายของ ‘ตะวันยอ’
โดย : YVP.T
เคยเป็นไหมคะ ที่ฝันอยากจะทำอะไรสักอย่างมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ไปไม่ถึงสิ่งที่มุ่งหวังสักทีจนต้องปล่อยให้ชีวิตเดินทางไปเรื่อยๆ ตามชะตาลิขิต กระทั่งมาพบกับบางอย่างที่เป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกบางอย่างในตัวคุณ และเส้นทางที่มุ่งหวังก็เป็นจริง
‘ตะวันยอ’ คือนักเขียนน้องใหม่ในแวดวงวรรณกรรม ซึ่งเธอคนนี้ฝันอยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่อยู่ชั้นประถม และในวันนี้ เมื่อเธอได้ผ่านการอบรมในโครงการอ่านเอาก้าวแรกรุ่น 2 ‘ดวงตามัจจุราช’ นวนิยายเรื่องแรกในชีวิตของเธอจึงเกิดขึ้น
“สวัสดีค่ะ เติมศิริ ไชยเรืองศิริกุล หรือแจ๋ว เจ้าของนามปากกา ‘ตะวันยอ’ ซึ่งชื่อนี้ได้มาจาก ‘ยอแสง’ เป็นชื่อของคุณแม่ค่ะ
“ย้อนไปตอนเด็กๆ ตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาล เป็นคนชอบเล่านิทานให้เพื่อนๆ ฟัง โดยใช้ยางลบวาดรูปบนโต๊ะไม้ประกอบการเล่า ซึ่งก็จะมีเพื่อนๆ ขาประจำมานั่งเท้าคางฟัง แล้วตอนนั้นก็ไม่ได้เล่าอย่างเดียวนะคะ ถ้ามีโอกาสได้ไปบ้านอาม่าก็จะปลีกตัวไปนั่งอ่านนิยายแปลของคุณน้าที่มีอยู่เต็มบ้าน ถ้ามีเวลาก็จะเขียนเรื่องเก็บไว้ เพราะรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เขียน เพียงแต่ไม่มีเรื่องไหนที่เขียนจบเลย
“สำหรับนิยายเรื่องแรกๆ ที่อ่านแล้วทึ่ง คือ รูทส์ (Roots) ของ อเล็กซ์ ฮาเลย์ นิยายสืบสวนสอบสวนของอกาธา คริสตี, เหมาโหลถูกกว่า (Cheaper By the Dozen) ของ แฟรงก์ บีกิลเบร็ธ และ เออร์เนสติน กิลเบร็ธ แคเรย์ แต่นิยายที่ถือว่าเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนงานน่าจะเป็นของ เอส.พี. สมเถา อย่าง ‘กาฬปักษี’ ที่ขุดลึกถึงแก่นความโหดดิบและความบิดเบี้ยวของจิตใจมนุษย์ ด้วยสำนวนเสียดสีจิกกัดและมีอารมณ์ขัน ส่วนอีกแรงบันดาลใจในการสร้างงานเขียนของตัวเองมาจากการติดตามซีรีส์สืบสวนสอบสวน ซีรีส์สยองขวัญ ทั้งฝั่งอเมริกาและเกาหลี อย่าง CSI ทุกเวอร์ชั่น, Criminal Minds, Voice ทั้ง 3 ภาค, God’s Gift 14 Days ฯลฯ ทุกอย่างมันอาจมาผสมกันเองโดยที่เราไม่รู้ตัว
“พอโตขึ้นก็ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับงานเขียนมาตลอด โดยเป็นกองบรรณาธิการจนถึงบรรณาธิการบทความของนิตยสารทั้งหัวไทยและหัวนอก แต่ก็ไม่ได้เขียนนวนิยายอย่างที่อยากเขียนตั้งแต่เด็กๆ สักครั้ง กระทั่งมาเจอโครงการอ่านเอาก้าวแรกของเว็บไซต์อ่านเอาที่ตัวเองติดตามอยู่ ซึ่งเป็นเหมือนกุญแจที่ช่วยปลดล็อกบางอย่างในตัวเรา จนสามารถเขียนนวนิยายเรื่องแรกได้สำเร็จค่ะ”
เมื่อจุดอ่อนอยู่ที่ตัวเองก็ต้องแก้ที่ตัวเอง
“พอได้มองย้อนไปถึงการทำงานเขียนของตัวเองก็พบว่า ที่เขียนนวนิยายไม่จบอย่างที่ใจหวังสักที อาจเป็นเพราะเป็นคนใจร้อนมาก ชอบลงมือเขียนโดยไม่มีพล็อตเป็นจริงเป็นจัง อาศัยแค่ความอยากเขียนแล้วลุยไปเลย เป็นลักษณะเขียนไปคิดไประหว่างทางเพราะมั่นใจมาก ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน และรู้สึกว่าเตรียมตัวก่อนเขียนเป็นเรื่องยุ่งยาก ทั้งๆ ที่งานที่เราทำอยู่คือการเขียนคอลัมน์ต่างๆ เราก็ต้องทำการบ้านหาข้อมูลมาเขียนเหมือนกัน แต่พอมาเขียนนิยาย เรากลับไม่ได้ใช้การเตรียมความพร้อมนั้นกับการทำงานเขียนนวนิยายเท่าไหร่นัก แถมยังคิดเข้าข้างตัวเองว่า มีนักเขียนบางคนเขาทำได้ เราก็ทำได้ แต่ลืมคิดว่ากว่าที่เขาจะทำได้ระดับนี้ เขาต้องผ่านการฝึกฝนอะไรมาแล้วบ้าง ความถนัด แนวทางและพรสวรรค์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
“พอได้เข้ามาเรียนรู้จากคุณครูทั้ง 3 ท่าน คือครูเอียด-ปิยะพร ศักดิ์เกษม, ครูปุ้ย กิ่งฉัตร และครูหมอโอ๊ต พงศกร ทำให้เห็นความสำคัญของการเตรียมตัวให้พร้อม ทุ่มเวลาให้กับการคิดพล็อต คิดธีม คิดโครง หาข้อมูลก่อนลงมือเขียน สำหรับตัวเอง การเขียนนวนิยายเป็นงานเขียนสเกลใหญ่ขึ้น คุณครูทั้ง 3 ท่านทำให้เราคิดได้ว่า เราต้องคิดพล็อตเรื่อง โครงเรื่องและตัวละครให้จบก่อนที่จะเริ่มเขียน เมื่อได้ทดลองทำก็กลายเป็นว่าสามารถปลดล็อกตัวเอง และการเตรียมความพร้อมทั้งหมดที่ว่าไปไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่เคยกลัว การใช้เวลาทุ่มเท ลงมือทำผ่านกระบวนการคิดที่รอบคอบละเอียดถี่ถ้วนก่อนลงมือเขียน ช่วยทำให้เราเขียนนิยายได้อย่างลื่นไหลจนจบเรื่องได้”
โครงการอ่านเอาก้าวแรกกับความคุ้มเกินคุ้มที่ได้เข้าร่วม
“โครงการนี้ทำให้ได้เป็นลูกศิษย์ของนักเขียนที่เราชื่นชอบและติดตามผลงานอยู่เสมอ เป็นโอกาสดีที่หาได้ไม่ง่ายนักที่ได้ฟัง ‘กิ่งฉัตร’, ‘ปิยะพร ศักดิ์เกษม’ และ ‘พงศกร’ มายืนเล่าหน้าชั้นเรียนถึงเบื้องหลังการเขียนนวนิยายแต่ละเล่ม ทุกคนต้องทำการบ้านกันอย่างละเอียดยิบ ใส่ใจทุกขั้นตอน ทั้งการคิดหาพล็อตเรื่อง อุปนิสัยใจคอตัวละคร ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในยุคสมัยที่นำมาเป็นฉากในงานเขียน ฯลฯ มีตัวอย่างการรวบรวมข้อมูล รายละเอียดตัวละคร ยุคสมัย ฯลฯ ก่อนลงมือเขียนมาให้ดูด้วย ช่วยวิจารณ์งานเขียนว่ายังมีจุดบกพร่องที่ไหนบ้าง และแนะนำให้ขยันอ่านหนังสือมากๆ โดยเฉพาะผลงานของนักเขียนชั้นครู ขยันเขียนหนังสือเยอะๆ แล้วในคลาสเรายังได้เพื่อนที่ฝันอยากมีผลงานนวนิยายเล่มแรก รวมทั้งเพื่อนที่เคยมีผลงานการเขียนมาแล้ว ช่วยกันทั้งผลักทั้งดันทั้งเป็นกำลังใจให้กันจนเขียนนิยายจบได้ เรียกได้ว่าคุ้มเกินคุ้มที่ได้มาเข้าโครงการนี้ค่ะ”
‘ดวงตามัจจุราช’ นวนิยายแนวเหนือจริงที่เหนือความคาดหมาย
“ตอนที่ส่งเรื่องนี้เข้าประกวดคิดแค่อยากลงมือเขียนนิยายเรื่องแรกในชีวิตให้จบเท่านั้น แต่พอได้ทราบว่า ‘ดวงตามัจจุราช’ เป็นหนึ่งในนิยาย 12 เรื่องที่ได้รับคัดเลือกมาลงในเว็บไซต์อ่านเอา รู้สึกดีใจมาก เพราะมันคือสิ่งที่มากกว่าที่คิดไว้ คือหนึ่ง เราได้เขียนนวนิยายเรื่องแรกในชีวิตของเราจบได้จริงๆ และสอง นวนิยายเรื่องนี้ยังได้รับการยอมรับจากคุณครูทั้งสามท่านที่กรุณานำไปลงให้คนทั้งประเทศได้อ่าน มันเกินคาดมากค่ะ
“เบื้องหลังการเขียน ‘ดวงตามัจจุราช’ ขึ้นมานั้น อาจเพราะได้รับการปูพื้นฐานจิตใจมาจากครอบครัวที่สอนให้กลัวการทำบาปมาตลอด ก่อนลงมือเขียนเรามองความเป็นไปในสังคมยุคที่เราอยู่ มีข่าวโหดร้ายทารุณออกมาไม่เว้นวัน ลูกฆ่าพ่อ ลุงข่มขืนหลาน เด็กทารกถูกทิ้ง ง้อแฟนไม่สำเร็จก็ยิงทิ้ง ฯลฯ แล้วย้อนคิดถึงสมัยเรายังเด็ก เราไม่ได้มีทีวีหรือสื่อมากมายเลย แต่ ‘พิภพมัจจุราช’ กลับเป็นละครที่เราจำได้แม่นจนถึงวันนี้ ทั้งคาแรกเตอร์ตัวละคร เพลงประกอบละครที่ร้องติดปาก ความรู้สึกหวาดกลัวการตกนรก โตขึ้นมา นวนิยายเรื่อง ‘เงา’ ของโรสลาเรนที่กลายเป็นละครดัง ก็ย้ำให้เราตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ นี่เป็นจุดแรกที่คำนึงถึงก่อนสร้างธีม จากนั้นเราค่อยไปหาความรู้เรื่องพญามัจจุราช แล้วค้นพบคลิปวิดีโอที่เล่าประสบการณ์ตายแล้วฟื้น อันนี้ก็น่าแปลกใจที่เมืองไทยเรามีข่าวการตายแล้วฟื้นเยอะมาก เลยนำสองเรื่องนี้มาลิงก์กันค่ะ
“นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องการตามจองเวรจองกรรมข้ามภพข้ามชาติ ทุกชีวิตล้วนเป็นฝ่ายกระทำคนอื่น และถูกคนอื่นกระทำ เกี่ยวพันโยงใยกันโดยมีแรงแห่งกรรมมาเป็นตัวผูกโยง ถึงจะชดใช้กรรมอยู่ในนรกขุมที่ลึกที่สุด แรงแห่งกรรม ความอาฆาตพยาบาทยังทำให้แหกนรกหนีมาตามเข่นฆ่าล้างผลาญคนที่เคยก่อกรรมไว้กับตนเอง ซึ่งสิ่งที่อยากให้ผู้อ่านได้รับจากเรื่องนี้คือให้ย้อนคิดถึงตัวเอง ถ้าเรารู้ตัวว่าเรามีกิเลสหนาในเรื่องใด ก็อย่าพยายามไปกระตุ้นมันอยู่บ่อยๆ อย่างคนที่ขี้โกรธ โทสะเยอะ ก็อย่าไปรับอะไรที่กระตุ้นให้ของขึ้นได้ง่ายๆ เพราะถ้าทำบ่อยจนติดเป็นนิสัย ต่อไปแค่คำพูดใครประโยคเดียว อาจสะกิดให้พลั้งเผลอขาดสติ ที่เรียกว่าอารมณ์ชั่ววูบ คนดีๆ จึงกลายเป็นปีศาจ เป็นผู้ลงมือกระทำสิ่งที่ตัวเองก็ไม่คิดว่าจะทำได้อย่างที่เรามักได้ยินคำสัมภาษณ์คนใกล้ตัวฆาตกรในข่าวว่าเขาเป็นคนดี นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่แทรกอยู่ในเรื่องที่ขอฝากให้ผู้อ่านทุกท่าน เราไม่รู้ว่าวันหนึ่งเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเราหรือเปล่า”
ความยากที่กว่าจะเป็น ‘ดวงตามัจจุราช’
“การผูกปมในแต่ละจุดแล้วต้องคลี่คลายทุกปม โดยไม่ทิ้งปมไหนไว้เลย หลายคืนนั่งเขียนนึกว่าเขียนครอบคลุม คลี่คลายได้หมดแล้ว พอปิดไฟล้มตัวลงนอน สมองคิดถึงแต่เรื่องที่เขียนไป อ้าว… ปมนี้ยังไม่ได้คลายนี่นา ความสัมพันธ์ของตัวละครตัวนี้กับตัวนี้ยังไม่ได้สะสาง ต้องลุกมาเปิดไฟนั่งเขียนต่อ ยังมีการสร้างตัวละครให้ออกมาดูเป็นคนจริงๆ ให้มากที่สุด ยอมรับว่ายังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก ทั้งการใช้ภาษาก็ยังต้องฝึกฝนอีกเยอะ เสน่ห์ของการเล่าเรื่องที่จะทำให้ผู้อ่านติดตามไปจนจบ และเรื่องความถูกต้องของข้อมูล ยอมรับว่าหลายเรื่องไม่มีความรู้ พยายามใช้วิธีหาข้อมูลให้ถูกต้องที่สุดเพื่อให้งานออกมามีคุณภาพ
“และความจริงที่คิดไว้แต่แรก ‘ดวงตามัจจุราช’ จะเขียนแค่เล่มเดียว แต่ได้ฟังครูทั้ง 3 ท่านที่กรุณาวิจารณ์ โดยเฉพาะครูหมอโอ๊ต ซึ่งงานเขียนของตัวเองเป็นแนวคล้ายๆ ของคุณหมอ ก็ได้กลับมาอ่านอีกรอบ เกิดไอเดียใหม่ๆ แตกแขนงออกไปอีก ตอนนี้ได้ลงมือเขียนตอนต่อไปบางส่วนแล้วค่ะ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตั้งชื่อไว้แล้วว่า ‘ดวงตามัจจุราช ตอนเสียงสั่งฆ่า’”
งานเขียนชิ้นต่อไปของเธอจะสนุกแค่ไหน คงต้องรอติดตามกัน แต่ถ้าคุณผู้อ่านได้อ่าน ‘ดวงตามัจจุราช’ แล้วชอบ ไม่ชอบ อยากแนะนำ วิจารณ์ คอมเมนต์ หรืออะไรก็ตาม ตะวันยอ… นักเขียนมือใหม่อีกคนจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกรุ่น 2 พร้อมน้อมรับ และสุดท้ายนี้ตะวันยอได้ฝากข้อความไปถึงผู้ที่มีฝันเดียวกับเธอว่า…
“ฝันจะเป็นจริงได้เมื่อเราลงมือทำ ถ้าใครที่เขียนนิยายไม่เคยจบอย่างที่ผู้เขียนเคยเป็น อยากให้ทดลองหาวิธีอื่นๆ อาจเจอวิธีเขียนงานให้จบก็ได้ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ”