‘เด็กหญิงเจ้าสำราญ’ กับผลงานเรื่องแรกในชีวิต ‘พระเอกในใจตัวร้ายในจอ’

‘เด็กหญิงเจ้าสำราญ’ กับผลงานเรื่องแรกในชีวิต ‘พระเอกในใจตัวร้ายในจอ’

โดย : กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

Loading

‘พระเอกในใจตัวร้ายในจอ’ คือนิยายเรื่องแรกในชีวิตของ เก๋-ศศิธร วงศาริยะ เจ้าของนามปากกา ‘เด็กหญิงเจ้าสำราญ’ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคำถามที่ว่า ‘ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากทำอะไร’ จนกลายเป็นการสร้างสรรค์ตัวละครในมิติต่างๆ ร้อยเรียงเป็นเรื่องราว และสามารถคว้ารางวัลชมเชยจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 5 มาครอบครอง ทั้งยังสร้างความภูมิใจที่อยากให้เธอครีเอตงานชิ้นต่อๆ ไปออกมาสู่นักอ่านอย่างต่อเนื่อง

“ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าได้รับรางวัลชมเชยจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น ๔ คือ ‘สตั๊นท์ไป 3 วิ‘ ค่ะ เพราะเป็นรางวัลที่เกินความคาดหวัง เนื่องจากนี่คืองานเขียนชิ้นแรกในชีวิตที่ได้ลองทำ ตอนกด send ส่งผลงานในคืนวันสุดท้าย วันนั้นก็เป็นวันที่รู้สึกภูมิใจและดีใจยิ่งกว่าได้รางวัลแล้วที่ตัวเองสามารถเขียนจนเสร็จและรู้ว่าเราทำได้ เพราะระหว่างทางของการเขียน เราได้สัมผัสกับความรู้สึกที่พี่ๆ เพื่อนๆ ในห้องพูดถึงตลอดเวลา ทั้งเรื่องเขียนไม่ออก เขียนๆ รื้อๆ ไม่รู้จะเขียนอะไร จะทำให้เรื่องสนุกยังไง หรือตัวละครแต่ละตัวที่เราเขียนมันส่งผลอะไรกับตัวละครตัวอื่นที่จะทำให้เนื้อเรื่องไปต่อได้ยังไง การได้รางวัลมันเหมือนก้าวแรก ที่ทำให้เราอยากมีก้าวต่อๆ ไป เพื่อพัฒนาการเขียนของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นค่ะ”

“การได้รางวัลเหมือนก้าวแรก ที่ทำให้เราอยากมีก้าวต่อๆ ไป”

นักเขียนป้ายแดงเล่าต่อไปถึงสาเหตุที่ทำให้เธอสนใจเข้าร่วมโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 ว่า

“โลกวรรณกรรมเป็นโลกอีกใบที่อยากรู้ ปกติเราอยู่แต่ในฝั่งของนักอ่านที่เห็นผลผลิตปลายทางออกมาเป็นเล่มให้หยิบอ่าน เราเคยอยากรู้ว่านักเขียนเก่งๆ ในวงการ อย่างพี่เอียด ‘ปิยะพร ศักดิ์เกษม’ พี่หมอโอ๊ต ‘พงศกร’ พี่ปุ้ย ‘กิ่งฉัตร’ รวมทั้งพี่ๆ นักเขียนท่านอื่นๆ เขาเขียนหนังสือออกมาเป็นเล่มๆ ได้ยังไง มีการคิดลำดับเรื่อง มีวิธีนำจินตนาการมาเรียงร้อยให้เป็นเรื่องราวที่สนุกได้ยังไง บวกกับเพื่อนชวนให้มา ก็เลยลองมาสมัคร แล้วก็พบว่า โห… เหมือนเราได้เปิดประตูไปเจอโลกอีกใบ กลับบ้านไปด้วยคำว่าโอ้โฮทุกวัน”

ระหว่างเข้าคลาสอ่านเอา มีคำแนะนำที่ดีที่สุดของคณะกรรมการที่เธอรู้สึกประทับใจและได้นำมาใช้ในการทำงาน รวมถึงชีวิตประจำวันในการทำงานอยู่หลายเรื่อง

“อย่างตอนที่วิทยากรบอกว่า ‘พี่ไม่สามารถจับมือทุกคนให้เขียน หรือบอกว่าการเล่าเรื่องมันต้องเริ่มจาก 1… 2… 3… 4… มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไปก็ได้’ ตรงนี้เป็นประโยคที่ฟังแล้วรู้สึกว่าใช้ได้กับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ประสบการณ์ของพี่ๆ เป็นแค่สิ่งที่พี่ๆ เจอและนำมาบอกเล่าให้ฟัง เป็นเหมือนแนวทาง แต่ไม่ใช่สูตรสำเร็จให้ทำตาม เพราะแต่ละคนต้องไปหารูปแบบ ความชอบและวิธีการในการจัดลำดับเอาเอง สิ่งสำคัญคือถ้าเราอยากไปให้ถึงเป้าหมายก็ต้องลงมือทำ ถูกผิดคือการเรียนรู้ที่ทำให้เราพยามหาวิธีการแก้ไขในแบบของตัวเองเจอให้ค่ะ

“หลังจากเข้าคลาสแล้วเรื่องหนึ่งที่สามารถนำมาต่อยอดของผลงานของตัวเองคือ ประโยคที่พี่เอียด พี่หมอโอ๊ต และพี่ปุ้ย พูดซ้ำๆ เหมือนกันตลอด 7-8 เดือน ก็คือ ‘ไม่ว่ายังไงก็ตาม.. อย่าหยุดเขียน’ นี่คือกฎของการทำซ้ำที่ส่วนตัวเชื่ออยู่แล้วว่าอะไรก็ตามถ้าได้ฝึกและทำบ่อยๆ จะทำให้เราพัฒนาตัวเองไปได้เรื่อยๆ วันนี้อาจอยู่ที่ก้าวที่ 1… 2…แต่สักวันก็จะพาเราไปก้าวที่ 3… 4… 5… 6… ได้ และก็เป็นจังหวะดีที่อ่านเอามีโครงการอ่านเอาเล่าเรื่องออกมา เลยมีโอกาสไปลองเขียนเรื่องสั้นแล้วพบว่า การไม่หยุดเขียนมันสนุกและมันฝึกเราได้จริงๆ ค่ะ”

เราถามนักเขียนผู้สนุกกับการเรียนรู้ต่อไปว่าเพราะอะไรถึงเลือกเขียนเรื่อง พระเอกในใจตัวร้ายในจอ เธอจึงย้อนให้ฟังถึงแรงบันดาลใจสำคัญในเวลานั้นว่า

“ด้วยความที่เป็นมือใหม่หัดเขียน เลยรู้สึกว่าเราต้องเจียมเนื้อเจียมตัวประมาณนึง อย่าเพิ่งตั้งโจทย์ยากให้ตัวเอง ลองเรื่องที่ดูไม่ไกลตัวมากนัก พอมีข้อมูลให้สืบค้นได้ ส่วนตัวชอบความคลาสสิกของการเขียนจดหมายด้วยลายมือ และเวลาดูซีรีส์ ดูหนัง ก็ชอบดูตัวละครรองๆ ว่าจะออกอิทธิฤทธิ์ ทำความวุ่นวายให้พระเอกนางเอกต้องแก้ปมปัญหา แล้วพากันไปอยู่ในจุดที่แฮปปี้เอ็นดิ้งได้ยังไง บวกกับหลังๆ ได้เห็นผู้สูงวัย และนักแสดงที่เคยเป็นพระเอก นางเอก โดยเฉพาะดาวร้ายในยุค 60s-70s บางท่านที่เวลาเล่าเรื่องเก่าๆ ในอดีตทุกคนดูมีความสุขเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เลยเหมือนคำถามที่เรามักถามกันเล่นๆ ว่า ‘ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากทำอะไร’ และกลายมาเป็นสารตั้งต้นในการเขียนเรื่องพระเอกในใจตัวร้ายในจอขึ้นมา

“โดยเรื่องนี้จะเล่าถึงเรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 80 ที่ประสบความสำเร็จทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตครอบครัว ซึ่งก่อนตายอยากมีโอกาสอีกสักครั้งที่จะได้รับการให้อภัยจากความผิดที่ตัวเองก่อ จนทำให้อดีตพระเอกผู้เป็นเพื่อนรักเพื่อนตาย ต้องหนีหายไปจากวงการบันเทิง กระทั่งวันหนึ่งเขาได้ย้อนเวลากลับไปในวัยหนุ่มที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด และแน่นอนว่าหากคิดจะเปลี่ยนอดีต ก็ต้องยอมรับผลที่จะกระทบต่อมาถึงอนาคตด้วยเช่นกัน

“สำหรับความพิเศษของเรื่องนี้มาจากความเชื่อในชีวิตจริงที่คงมีหลายครั้งที่เวลาดูหนังดูละครแล้วรู้สึกเฉยๆ กับพระเอก แต่รู้สึกตกหลุมรัก ตัวละครรองๆ อย่างตัวร้าย ตัวตลก ตัวประกอบที่เป็นชาวบ้าน 1 ชาวบ้าน 2 เรื่องนี้ก็เหมือนกันที่อยากให้คนอ่านได้เอาใจช่วยดาวร้ายให้ได้เป็นพระเอกค่ะ

“ส่วนความท้าทายของเรื่องนี้คือการเล่าเรื่องที่ต้องสลับเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้วและกลับมาเกิดซ้ำ รวมทั้งเรื่องการสืบค้นข้อมูลประกอบที่เราพยายามไม่ให้หลุดไปจากยุคสมัย หรือสิ่งที่เป็นจริง เช่น การถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยฟิล์ม 16 มม. ความนิยมในกีฬาเพาะกายของหนุ่มๆ ซึ่งหากข้อมูลบางอย่างมีจุดบกพร่องประการใดก็ต้องขออภัยผู้อ่านมา ณ ที่นี้ด้วย และที่สำคัญต้องขอบคุณหอภาพยนตร์แห่งชาติ ที่ไม่ได้เป็นแค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ยังเป็นสถานที่ที่เก็บรวมรวมข้อมูลแห่งยุคสมัย ที่ทำให้ได้นำข้อมูลบางอย่างมาใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้ค่ะ

“แนวคิดที่อยากส่งถึงผู้อ่านผ่านผลงานชิ้นนี้คือในชีวิตจริงเราไม่มีทางสวยหล่อเป็นพระเอก-นางเอกได้ตลอด บางทีเราก็ต้องสวมบทบาทเป็นตัวร้าย เป็นตัวประกอบ เป็นชาวบ้าน 1 ชาวบ้าน 2 ในบริบทชีวิตของคนอื่น เพื่อให้ชีวิตเขาสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน การทำวันนี้ของเราให้ดีมันคือดีที่สุดแล้วในวันที่ต้องนึกย้อนไปเราจะได้ไม่เสียดายอะไรเลย”

ถ้าจะให้คะแนนตัวเองในการทำงานชิ้นนี้จากคะแนนเต็มสิบคะแนน เด็กหญิงเจ้าสำราญเธอบอกว่า “ถ้าเป็นความสนุกในเนื้อหา หรือสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอาจต้องฝากผู้อ่านช่วยพิจารณาติชมให้คะแนน แต่ถ้าเป็นการทำงานชิ้นนี้ให้ 9/10 เพราะมันเป็นการทำงานที่เหมือนได้ฝึกตัวเองหลายอย่าง โดยเฉพาะความอดทนและความพยายามที่จะทำให้สำเร็จ  มีหลายครั้งที่คิดจะเลิกกลางทาง ด้วยเหตุว่าพอเขียนไปแล้วพบว่ามีจุดบกพร่องที่ควรต้องย้อนกลับไปแก้ไขก่อนจะไปต่อ หรือบางครั้งข้อมูลก่อนหน้าไม่สอดคล้องเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น เหมือนเกมทอยลูกเต๋าที่ต้องยอมเดินถอยหลังเพื่อกลับไปตั้งต้นเดินหน้ามาใหม่ ซึ่งข้อดีคือทำให้รู้ว่า… อ๋อ… ต้องเป็นอย่างนี้ ต่อไปต้องทำแบบนี้… ตรงนี้คือการเรียนรู้ระหว่างทางและเป็นบทเรียนที่ดี แบบที่พี่ๆ พูดเลยว่าต้องเจอด้วยตัวเองแล้วจะรู้ ส่วนที่หัก 1 คะแนน ทดไว้ให้ตัวเองไปเอาคืนด้วยการตั้งใจพัฒนางานชิ้นต่อๆ ไปค่ะ”

ด้วยความเชื่อที่ว่า ‘เป็นนักเขียนอย่าหยุดเขียน‘ ทำให้ตอนนี้เด็กหญิงเจ้าสำราญเริ่มมีพล็อตใหม่ๆ ในใจอยู่ 2-3 เรื่อง ซึ่งเธอบอกว่าอยากจะลองเขียนแนวสืบสวนสอบสวนหรือแนวแฟนตาซีสนุกๆ ดูบ้าง

สำหรับใครที่สนใจอยากเข้าร่วมโครงการอ่านเอาก้าวแรก และยังตัดสินใจไม่ได้ เธอได้ฝากบอกมาว่า

“ไม่ต้องคิดเยอะเหมือนคิดพล็อตเลยค่ะ กระโดดเข้ามาสมัครกันเลย โดยเฉพาะคนกำลังวิ่งตามความฝันในการเป็นนักเขียน หรือคนที่หมดไฟ อยากได้ไอเดียใหม่ๆ เพื่อพัฒนางานเขียน อ่านเอาก้าวแรกจะเป็นประตูอีกบาน ที่ทุกคนจะได้เปิดไปเจอเรื่องราวใหม่ๆ ทั้งประสบการณ์ ความรู้ และมิตรภาพดีๆ จากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่จะทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งฉุด ทั้งดึง เพื่อพาเราให้ไปถึงเป้าหมาย…”

ใครสนใจอยากติดตามผลงานของเด็กหญิงเจ้าสำราญ นักเขียนมือใหม่ได้ฝากร้านไว้ตรงนี้ด้วยว่า “ช่วย กดไลก์ กดเจิม รวมทั้งติชมให้คำแนะนำ ผ่านเฟซบุ๊กเพจ : เด็กหญิงเจ้าสำราญ กันมาได้ และฝากติดตามอ่านเรื่องราวชีวิตที่หวานนิดๆ ขมหน่อยๆ หรืออาจจะเปรี้ยวบ้างเป็นบางเวลาของผู้คนที่เรามีโอกาสได้พูดคุยผ่านคอลัมน์ When We Met ในเพจอ่านเอาด้วยนะคะ…”

 

Don`t copy text!