เบส-กิตติศักดิ์ คงคา เจ้าของผลงาน ‘กาสักอังก์ฆาต’ นิยายสืบสวนแบบไทยๆ ที่เขาบอกว่า เล่มนี้แหละที่เปลี่ยนชีวิต!
โดย : กิ่งสุรางค์ อนุภาษ
ถ้าพูดถึงนวนิยายสืบสวนที่มาแรงมากตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา เชื่อว่า ‘กาสักอังก์ฆาต’ ของ ‘เบส-กิตติศักดิ์ คงคา’ ต้องอยู่ในลิสต์นี้ด้วยอย่างแน่นอน เพราะด้วยฝีไม้ลายมือในการการเล่าเรื่อง การวางกลคดีที่น่าติดตาม การสร้างฉากที่มีทั้งวัดและเกาะร้างมาดึงดูดใจ อีกทั้งยังได้นำทั้งเรื่องวรรรณคดีไทย ภาษาศาสตร์ แพทยศาสตร์ โหราศาสตร์ ฯลฯ เข้ามายึดโยงร่วมกันแบบพอเหมาะพอดีจนทำให้นิยายสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
นักอ่านหลายคนบอกว่าพอเริ่มอ่านแล้วก็ถึงกับวางไม่ลง นักรีวิวหลายคนบอกว่านี่เป็นนิยายสืบสวนสอบสวนที่ไม่อยากให้พลาด!
แต่ก่อนจะมาเป็น กาสักอังก์ฆาต ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเจ้าของผลงานต้องก้าวข้ามผ่านความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งต้องเตรียมตัวในการสร้างงาน และต้องเตรียมใจเผื่อว่าจะขายไม่ได้อีกด้วย
เมื่อความมุ่งมั่นในการตามฝันเริ่มขึ้น สิ่งที่กิตติศักดิ์ทำคือลุยอย่างเต็มที่ ทำให้ดีที่สุด แม้การรอคอยจะใช้เวลา แต่เบสก็บอกว่านี่คือความคุ้มค่าและการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี และวันนี้นอกจากชื่อ กาสักอังก์ฆาต จะโด่งดังอย่างมาก ชื่อกิตติศักดิ์ คงคา ยังก้าวมาขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักเขียนนิยายแนวสืบสวนสอบสวนในบ้านเราอีกคนหนึ่งที่ ‘น่าจับตามอง’ ด้วย
กาสักอังก์ฆาตเปลี่ยนชีวิต
ในเฟซบุ๊กของกิตติศักดิ์ คงคา (Kittisak Kongka) มีประโยคหนึ่งที่เขียนไว้ว่า ‘กาสักอังก์ฆาตเปลี่ยนชีวิต’ ซึ่งเขาเองก็ได้เล่าถึงที่มาที่ไปให้ทราบว่า
“ผมเริ่มต้นเขียนหนังสือจริงๆ เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้วครับ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมอยากเป็นนักเขียนที่มีฐานคนอ่าน คนที่จะติดตามผลงานมาโดยตลอด เพราะสมัยนี้อุตสาหกรรมหนังสือค่อนข้างอยู่ยาก หมายถึงว่าเราไม่สามารถพิมพ์หนังสือออกมาทีละ 2,000 เล่มแล้วขายหมดได้ ทำให้รู้สึกว่าการจะเขียนอะไรออกมาแล้วไม่มีฐานคนที่ติดตาม ทำให้อาจขาดทุนหรือขายหนังสือไม่ได้
“ผมเลยพยายามส่งผลงานประกวดหลายๆ เวทีเพื่อทำให้งานไปสู่นักอ่านมากขึ้น หรือว่าพยายามขายผลงานไปดัดแปลงเป็นละคร เป็นภาพยนตร์ เพราะหวังว่าคนอ่านอาจชื่นชอบผลงานของเรามากขึ้น ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผลงานที่ออกไปจำนวนหนึ่งกลับไม่ได้สร้างคนอ่านอย่างแท้จริง แม้ว่าการได้รับรางวัลทั้งในประเทศและระดับนานาชาติจะทำให้ผมรู้สึกว่าเราเป็นนักเขียนแล้ว แต่ทุกครั้งที่ออกหนังสือเล่มใหม่ ผมยังต้องตามหาคนอ่านใหม่อยู่ดี
“กระทั่งถึง ‘กาสักอังก์ฆาต’ ที่เปิดตัวมาเมื่อต้นปีได้ก้าวมาเป็นหนังสือที่ขายดี มีคนรีวิวในช่องทางออนไลน์ต่างๆ และมีคนซื้อไปอ่านจำนวนมากจนทำให้เกิดกลุ่มนักอ่านของผมขึ้นมาจริงๆ นั่นจึงทำให้ผมรู้สึกว่าเรามาถึงเส้นชัยที่เราต้องการแล้ว
“กาสักอังก์ฆาต ทำให้ผมรู้สึกว่า ‘เราเป็นนักเขียนจริงๆ’ มีคนอ่าน มีคนรู้จักจริงๆ สามารถขายหนังสือให้มาอยู่ได้ในระดับอุตสาหกรรม เข้าร้านหนังสือได้อย่างรู้สึกปลอดภัย มีที่ยืนในวงการ ความรู้สึกเหล่านี้เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย อีกทั้งยังทำให้ผลงานต่างๆ ที่ผ่านมาของผมขายดีขึ้นทั้งหมดด้วย”
นวนิยายสืบสวนสอบสวนเต็มตัวเล่มแรก
กาสักอังก์ฆาต เป็นผลงานลำดับที่ 25 ของกิตติศักดิ์ คงคา และเป็นผลงานสืบสวนสอบสวนแบบเต็มตัวเล่มแรกของเขา
“ต้องเล่าว่าผมมาเติบโตมาจากสายนิยายวายที่ใช้นามปากกาว่า ‘นายพินต้า’ ถึงจะทำงานเกี่ยวกับนิยายวาย ในอีกมุมหนึ่งผมก็ชื่นชอบงานสืบสวนมาตลอด แล้วอยากเขียนสืบสวนด้วย แต่ผมรู้สึกไม่มั่นใจ กลัวขายไม่ได้
“จนวันหนึ่งท่ามกลางความกลัวและอยากก้าวข้ามผ่านความรู้สึกนี้ ผมก็ตัดสินใจว่าจะต้องเขียนแล้ว ไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ เพราะไม่อยากติดค้างกับตัวเอง โดยความตั้งใจหนึ่งที่คิดมานานมากคืออยากเขียนซีรีส์ ‘ฝาแฝดยอดนักสืบ’ จากนั้นก็ค่อยๆ ประกอบรูปร่างขึ้นมา ใช้เวลาอยู่ประมาณหนึ่งปี กว่า กาสักอังก์ฆาต จะกลายเป็นรูปเล่มขึ้น โดยเล่มนี้ผมเขียนจากแนวคิดที่ว่าอาจเป็นเล่มสุดท้ายของชีวิตแล้วที่จะได้เขียนสืบสวนเต็มๆ คือกลัวขาดทุนก็เรื่องหนึ่ง แต่ความเฟล ความผิดหวังในการออกผลงานมาแล้วไม่มีคนอ่านก็เป็นสิ่งสำคัญต่อใจนักเขียนเหมือนกันครับ ดังนั้นมีอะไรผมก็ใส่ลงไปในงานแบบสุดๆ ทำเล่มนี้ให้ดีที่สุด สมใจเราที่สุด ในขณะเดียวกันก็ทำใจแล้วว่าขายได้หรือไม่ได้ก็ต้องยอมรับความจริง
“กลับกลายเป็นว่าผมได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ กาสักอังก์ฆาต ไม่ได้ขายดีตั้งแต่แรก แต่เพราะคนอ่านได้อ่านแล้วนำไปรีวิว อ่านแล้วเล่ากันปากต่อปาก เลยทำให้ผลงานได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และขายดีอย่างเห็นได้ชัดในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ที่ผ่านมา
“อีกเรื่องที่ผมคิดไม่ถึงคือตอนเขียนเรื่องนี้ผมมองว่าคงนำไปสร้างเป็นละครต่อไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีการเขียนถึงพระ นักแสดงต้องโกนผม มีการเล่าถึงเกาะร้าง ฯลฯ แต่ปรากฏว่าเรื่องนี้กลับเป็นนิยายที่มีผู้จัดละครติดต่อเข้ามาเยอะที่สุดในทุกเล่มที่เคยทำ คือพอเรื่องสนุก คนชอบ หรือว่าในเรื่องมันมีอะไรอยู่ ทางผู้จัดฯ ก็บอกว่าสามารถจัดการได้ ดังนั้นอะไรที่เคยคิดว่าต้องเขียนแบบนี้ถึงจะทำละครได้ ความจริงไม่ได้สำคัญเท่ากับทำให้เรื่องมันสนุกเลยครับ”
ว่าด้วยเรื่อง ‘วัด’ ในกาสักอังก์ฆาต
“เรื่องวัดเกิดมาจากคำถามที่ผมถามกับตัวเองว่าถ้าจะเขียนนิยายสืบสวนที่เป็นงานไทยเล่มเดียวในชีวิตจะทำอะไรดี แล้วอะไรที่มีความเป็นไทยบ้าง ซึ่งหนึ่งคือพีเรียด แต่พีเรียดมีคนทำเยอะแล้ว อีกทั้งจุดเด่นของเราคืออยากเล่าเรื่องนิติวิทยาศาสตร์ การตรวจลายนิ้วมือ การตรวจสารพิษในกระแสเลือด ซึ่งพีเรียดจะให้พวกนี้ไม่ได้เลย เพราะว่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน
“พอตัดพีเรียดทิ้ง ก็ค่อยๆ ดูต่อไปแล้วก็พบว่าวัดไทยนี่ไทยมากเลยนะ เพราะว่าเวลาอ่านงานตะวันตก ก็มีฆาตกรรมในโบสถ์ เวลาอ่านงานญี่ปุ่น อ่านงานเกาหลี ก็เจอเรื่องฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัดแบบชินโต วัดแบบมหายาน ยังไม่มีวัดแบบเถรวาทที่ดูขลังๆ แล้วเหมือนจะมีผีออกมาตลอดเวลาเลย ผมเลยลงตัวที่วัดนี่แหละครับ เป็นหัวใจของความเป็นไทยเลย
“นอกจากนี้ในเรื่องยังมีศาสตร์ต่างๆ รวมอยู่ในเรื่องนี้อีกมาก อย่างแรกคือวรรณคดีครับ เพราะว่าตัว ‘กาสัก’ มาจากวรรณคดีเรื่อง ‘พระอภัยมณี’ อย่างที่สองคือประวัติศาสตร์ เพราะว่าเรื่องราวของนิยายเรื่องนี้เชื่อมโยงไปกับคดีที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ศาสตร์ต่อไปคือวิชาแพทยศาสตร์ เช่น การพิสูจน์ศพ เรื่องนี้ใช้เยอะครับ เพราะว่าใช้ฉากเป็นปัจจุบัน ดังนั้นเวลาตัวละครเจอคดีฆาตกรรม เขาต้องนำศพไปส่งพิสูจน์เพื่อนำกลับมาเป็นข้อมูลว่า ตายเมื่อไหร่ ตายยังไง อะไรเป็นเครื่องบ่งชี้ พวกนี้เป็นกลคดีที่เกี่ยวข้องหมดเลย ดังนั้นจึงต้องใช้ความรู้ทางแพทยศาสตร์ไถ่คดีด้วย รวมถึงยังมีโหราศาสตร์ เพราะว่าเรื่องนี้มีตัวละครพระที่ดูหมอเป็น ท่านมักจะชอบพูดเกี่ยวกับโหราศาสตร์ เป็นความเชื่อของท่านรวมถึงภาษาศาสตร์ เพราะว่ากลคดีในเรื่องต้องถอดรหัสภาษาครับ”
หาอะไรก็ไม่รู้ แต่ต้องหาอะไรเจอคือความยากที่สุด
“สิ่งที่ท้าทายผมมากระหว่างการเขียนคือเป็นงานสืบสวนแบบเต็มตัวเล่มแรกนี่แหละครับ ที่ผ่านมาผมอ่านงานสืบสวนมาไม่ต่ำกว่าห้าสิบเล่ม ซึ่งทำให้เห็นกลคดีมาเยอะมาก ตรงนี้กลายมาเป็นความกดดัน เพราะถ้านักอ่านพบว่ากลคดีเล่มนั้นซ้ำกับเล่มนี้ เขาจะไม่จำหนังสือสืบสวนเล่มนั้นไปเลย แต่ถ้ามีความแตกต่าง ขอแค่จุดเดียวที่ทำให้หนังสือเล่มนี้รอด คือคิดอะไรสักอย่างออกก็จะรอดไปเลยเช่นกัน
“ผมจึงใช้เวลาในการคิดเรื่องปมคดีหรือกลคดีค่อนข้างนานมาก บางทีก็อ่านข่าว ฟังเรื่องราวจากผู้คน ไปดูสัมภาษณ์ หาแรงบันดาลใจ มันเหมือนกับการหาอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะหาเจอจากที่ไหน แล้วใช้เวลาแค่ไหนในการหา แต่ต้องหาให้เจอ นี่คือสิ่งที่ยากที่สุด อย่างเล่มนี้ สุดท้ายก็หาเจอครับ น่าจะเป็นช่วงท้ายสุดๆ เลย ซึ่งผมไม่ได้เจอจากการพยายามไปอ่านจากข้อมูลภาษาไทย แต่เจอจ ากการได้นั่งฟังบทสัมภาษณ์ แล้วบังเอิญเขาเล่าออกมาพอดี ตอนนั้นดีใจมาก รู้สึกว่ารอดแล้ว และโชคดีมากที่วันนั้นเราได้ไปฟังครับ”
เรื่องสำคัญที่อยากสื่อสารผ่าน กาสักอังก์ฆาต
“ใน กาสักอังก์ฆาต เรื่องที่ผมอยากบอกคือ เราไม่ควรทำลายความหวังของใครอย่างสิ้นซาก ถึงแม้ว่าจะทำโดยนามของความถูกต้อง คือต่อให้ถือว่าเราถูก ก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำลายความหวังของใครจนหมด ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความเชื่อ ความหวังอะไรบางอย่างอยู่ในใจของตัวเอง เพื่อให้สามารถมีชีวิตต่อไปได้ ถึงแม้ความเชื่อความหวังของเขาจะเป็นสิ่งที่เราคิดว่าผิด ไม่เหมาะสม
“ในมุมมองผมเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญนะครับ เพราะในวันที่โลกมีความเชื่อจำนวนมาก มีความเห็นต่างจำนวนมาก บางทีเราไม่เห็นด้วยกับความเชื่อของคนอื่น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปโจมตี ไปต่อสู้ หรือไปทำลายล้าง แค่ยอมรับว่าแต่ละคนมีความเชื่อไม่เหมือนกัน ดังนั้นควรให้เกียรติในความเชื่อซึ่งกันและกันเพื่อจะทำให้สามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไปได้แบบให้เกียรติกันด้วยครับ”
เสน่ห์ของนิยายสืบสวนสอบสวน
“งานสืบสวนยังเป็นงานที่อ่านแล้วสนุก เร้าใจ แล้วก็ยังมีตัวเลือกมาเปรียบเทียบได้ยากครับ อย่างนิยายรักก็ต้องต่อสู้กับซีรีส์ แต่สืบสวนยังเป็นแนวที่บางทีฉากของเรื่องประหลาดมาก เช่น คฤหาสน์ 8 เหลี่ยม 10 เหลี่ยม คฤหาสน์กระจก มันมีความกึ่งๆ แฟนตาซีอยู่ในเรื่อง ทำให้อ่านแล้วเหมือนหลุดไปในโลกที่สนุก ตอนนี้ผมเชื่อว่าคนอ่านสมาธิสั้นลงเยอะ เลยต้องการอะไรที่หนักแน่น ตื่นเต้น ซึ่งสืบสวนเป็นงานที่ทำหน้าที่แบบนั้นได้ดี ทำให้คนอ่านเปิดอ่านแล้วลุ้นว่าใครจะเป็นฆาตกร จะคลี่คลายได้ไหม มีใครตายบ้าง ดังนั้นสำหรับผมวันนี้ตลาดงานแนวสืบสวนจึงเป็นอะไรที่ใหญ่มาก ซึ่งประเด็นคือตลาดในประเทศไทยยังอยู่ที่งานแปลเป็นหลัก แต่ตอนนี้บ้านเราก็เริ่มมีทยอยออกมาบ้างนะครับ ปีหน้าน่าจะได้เห็นงานสืบสวนไทยๆ ออกมาเยอะมาก อย่างน้อยก็ต้องเป็น 10 ปกครับ”
นิยายไทยเดินต่อยังไงไม่ให้ทุลักทุเล
“ในฐานะนักเขียนด้วยแล้วก็เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ด้วย ผมแยกเป็นสองข้อ ข้อแรกคือต้นทุนของหนังสือ ซึ่งเรื่องนี้ลดไม่ได้มาก ต่อให้พิมพ์เป็นหมื่นเล่มก็ลดได้แค่นิดเดียว สิ่งที่ต้องทำคือทำยังไงก็ได้ให้คนรู้สึกว่าราคาไม่แพง ทำไมหนังสือราคา 300 บาท บางคนถึงรู้สึกว่าแพง แต่บางคนรู้สึกว่าถูก เพราะว่าอ่านแล้วเขารู้สึกได้อะไรหรือเปล่า หน้าที่ของนักเขียนอย่างเราคือทำงานออกมาอย่างเต็มที่ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว คนไม่ได้ตีราคาหนังสือจากจำนวนหน้า แต่เขาตีราคาจากสิ่งที่เขาได้รับ
“ส่วนข้อสอง นักเขียนต้องทำการตลาดด้วยครับ เดี๋ยวนี้นักเขียนไม่ใช่แค่ส่งต้นฉบับเสร็จแล้วจบ แต่ต้องพาหนังสือไปถึงมือนักอ่าน ต่อให้หนังสือดีแค่ไหน ถ้าเขาไม่เปิดอ่านก็ไม่มีทางรู้ เราต้องหาให้เจอว่า กลุ่มเป้าหมายนักอ่านของเราคือใคร อย่างหนังสือ กาสักอังก์ฆาต ผมต้องไปโปรโมตตามที่ที่คนชอบเรื่องสืบสวนสอบสวนอยู่ หรืออีกเล่มที่ออกพร้อมกันคือ ปีสุดท้ายระหว่างพ่อกับลูกชาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับพ่อลูกและการดูแลในปีสุดท้ายของชีวิต ผมก็ต้องไปหานักอ่านอีกกลุ่ม นักเขียนต้องรู้ว่า นักอ่านของเราเป็นคนแบบไหน แล้วพาหนังสือไปถึงกลุ่มเป้าหมาย เดี๋ยวนี้เราหวังพึ่งสำนักพิมพ์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะเขามีงานหลายสิบเล่มต่อปี นักเขียนเองเลยต้องช่วยสำนักพิมพ์ในการทำแบรนดิ้ง การตลาด และพาตัวเองไปถึงนักอ่านเหล่านั้นให้ได้ด้วยครับ”
เชื่อในจังหวะชีวิต
“ถ้ามีคนถามว่า ผมเชื่อในจังหวะชีวิตไหม ผมตอบเลยครับว่าเชื่อมาก เพราะก่อนจะเปิดตัว กาสักอังก์ฆาต ทีมงานทุกคนในสำนักพิมพ์ได้อ่านหมด และทุกคนชอบ แต่ไม่ได้มีใครบอกว่า ‘เล่มนี้ขายดีแน่นอน ต้องดังแน่ๆ’ คือทุกคนรู้ว่าผมเต็มที่กับงานทุกเล่มอยู่แล้ว และจะมีวิธีการเขียนงานที่มีเนื้อหาแน่นๆ หักมุมไปมาเสมอ
“แต่หลังจากที่เล่มนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม บรรณาธิการของผมก็กลับมาอ่านเล่มนี้อีกครั้ง และบอกผมว่าวันที่เขาอ่าน กาสักอังก์ฆาต ครั้งแรกซึ่งอยู่ในกระดาษ A4 เขาไม่รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะผมเขียนงานแบบจริงจัง ใส่เต็มเสมอ แต่สาเหตุที่วันนี้ กาสักอังก์ฆาต ดัง เพราะนักอ่านได้ค้นพบผลงานเรื่องนี้ต่างหาก ทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้อยู่ที่จังหวะจริงๆ เพราะเราทำงานมาเต็มที่ทุกชิ้น เพียงแต่ยังไม่ถูกค้นพบ กระทั่งเมื่อวันหนึ่งที่ ถูกที่ ถูกเวลา ก็ทำให้เรากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้เราอาจต้องรอ ต้องทำงานให้เต็มที่อย่างต่อเนื่อง
“ผมมองว่าการอคอยเป็นสิ่งที่มีค่า และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ช่วยให้เราพัฒนาตัวเอง และรับมือกับมุมมองจากคนอื่นๆ ได้มากขึ้นด้วยครับ”