
หยิบยกสงครามในตำนานมาตั้งคำถามกับเรื่องจริงในปัจจุบัน ผ่าน ‘ห้วงนทีกาล’ ผลงาน ลำดับที่สองของ ‘สิปัณฑ์’
โดย : กิ่งสุรางค์ อนุภาษ
‘ห้วงนทีกาล’ เป็นของงานลำดับที่สองอย่างเป็นทางการของ ‘สิปัณฑ์’ หรือ ป่าน-ปัณฑ์ชนิตา อุทธา ต่อจากเรื่อง ‘ดั่งมนต์สุคนธา’ ที่เคยลงให้อ่านเป็นตอนๆ ในเว็บไซต์อ่านเอาเมื่อไม่นานมานี้
ที่มาของการเขียนนิยายสำหรับป่านนั้น เธอเล่าให้ฟังว่าเกิดจากการเป็นคนอ่านแล้วมีคำถามในหัวว่า ‘ทำไม’ อยู่เต็มไปหมด จากนั้นเธอจึงค่อยๆ เริ่มเขียนในแบบที่อยากให้เป็น แต่เขียนอย่างไรก็เขียนไม่จบเสียที กระทั่งเธอเรียนจบ ป่านจึงเริ่มสานฝันของตัวเองอีกครั้ง และด้วยความที่ติดตามผลงานของนักเขียนคนโปรด ไม่ว่าจะเป็น ปิยะพร ศักดิ์เกษม กิ่งฉัตร และ พงศกร มาอย่างต่อเนื่องทำให้รู้ว่า นักเขียนชั้นครูทั้งสามท่านกำลังจะมีคอร์สน่าสนใจอย่าง ช่องวันอ่านเอา และอ่านเอาก้าวแรก ป่านจึงไม่รอช้าที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการ และสามารถเข้าร่วมโครงการช่องวันอ่านเอา ปี ๒-๓ พร้อมกับส่งผลงานเรื่องดั่งภาพฉายฉานลงสนาม แม้จะไม่สามารถคว้ารางวัลใดๆ มาได้ แต่ก็ทำให้เธอรู้ว่างานเขียนนั้นยังมีอีกหลายมิติที่ไม่รู้จัก ดังนั้นเธอจึงสมัครเข้าร่วมโครงการอ่านเอาก้าวแรก ปี ๔-๕ เพื่อเพิ่มทักษะความรู้ให้กับตัวเอง ซึ่งในปีที่ ๔ ป่านสามารถเขียนนิยายเรื่องดั่งมนต์สุคนธาได้สำเร็จ และในปีที่ ๕ เธอก็เขียนเรื่องห้วงนทีกาลเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ก่อนจะเริ่มลงมือเขียนนิยายแนวที่ตัวเองชื่นชอบ ป่านเล่าว่าเธอเคยตั้งต้นเขียนนิยายแนวดรามาที่เล่าถึงช่วงเวลาปัจจุบันมาก่อน “ซึ่งป่านเขียนแล้วรู้สึกฝืน ทำงานยาก ดังนั้นพอมาลงโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น ๔ เพและได้รับคำแนะนำในคลาสว่า ให้เขียนแนวที่เป็นตัวเอง ป่านเลยลองปล่อยจอย มาเขียนแนวที่เราชอบอ่าน เป็นตัวเองมากๆ คือแนวแฟนตาซี ดรามา ในที่สุดเลยเขียนเรื่องดั่งมนต์สุคนธาออกมาได้สำเร็จค่ะ
“ป่านได้เรียนรู้จากทั้งสองโครงการหลายเรื่องมาก การเข้าคลาสทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้ว การเขียนนิยายหนึ่งเรื่องมีรายละเอียดมากกว่าที่คิด ทั้งการคิดพล็อต สร้างฉาก ตัวละคร รวมถึงเรื่องวรรณศิลป์ ฯลฯ เรียกว่าเปิดโลกการเขียนนิยายให้กับตัวเองเลย และคำแนะนำที่ป่านนำมาใช้กับการทำงานจนถึงวันนี้คือเรื่องบทสนทนาค่ะ ซึ่งอาจารย์พงศกรกล่าวว่าเวลาตัวละครพูด เขาต้องมีเหตุผลในการพูด ไม่ใช่สักแต่ว่าพูดออกมา นอกจากนี้โครงการอ่านเอายังให้มิตรภาพด้วยนะคะ รู้สึกว่าเราทำงานอย่างไม่โดดเดี่ยวเลย เพราะเวลาติดขัดอะไร ทุกๆ คนจะช่วยประคับประคองจนงานสำเร็จเป็นชิ้นออกมาได้ในที่สุด ที่นี่เป็นคอมฟอร์ตโซน เหมือนเป็นบ้านอีกหลังของเราเลยค่ะ”
หลังจากจบ รุ่น ๔ ป่านกลับมาลงอ่านเอาก้าวแรกครั้งรุ่น ๕ อีกครั้ง ครั้งนี้เป็นการมาเติมความรู้ของป่านให้มากขึ้นไปอีก
“ตอนเขียนเรื่องดั่งมนต์สุคนธา ป่านรู้สึกว่าตัวเองยังมีปัญหาเกี่ยวกับการบรรยายฉากและเรื่องวรรณศิลป์ เลยมาลงเรียนเพิ่ม และเขียนเรื่องห้วงนทีกาลที่ได้นำความรู้จากไตรภูมิพระร่วง ตอนที่ครุฑกับพญานาครบกันมาต่อยอด เรื่องนี้ความยากอยู่ที่การใช้ภาษาโบราณ โดยพี่เอียดได้แนะนำตอนออนไลน์กับนักเรียนหลังส่งพล็อตว่าอย่าใช้คำยากเกินไป ให้พยายามใช้คำที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ซึ่งถ้าป่านจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็จะทำเชิงอรรถไว้
“สาเหตุที่เขียนเรื่องนี้มาจากการได้เห็นสงครามของสองประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นที่สร้างความเสียหายอย่างมากมายมาเป็นแรงบันดาลใจค่ะ เพราะป่านมองว่าสงครามไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นจริง สุดท้ายเหลือเพียงเศษซากของชัยชนะ และพอมาคิดว่ามีเรื่องอะไรที่เป็นสงครามในตำนานบ้าง ก็จำได้ว่าในไตรภูมิพระร่วงที่เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการเขียนเรื่องดั่งมนต์สุคนธานั้น มีเรื่องราวสงครามของพญาครุฑกับพญานาคอยู่ แม้จะมีไม่มากแต่ก็เป็นตำนานที่คลาสสิก ป่านเลยหยิบตรงนี้มาเล่าในเรื่องห้วงนทีกาล เรียกว่าค่อนข้างไกลตัวมากๆ ถ้าเทียบกับเรื่องดั่งมนต์สุคนธา ที่นำแรงบันดาลใจมาจากไตรภูมิพระร่วงเหมือนกัน”
สำหรับในเรื่องข้อมูลแม้จะมีอยู่พอสมควรแล้ว แต่ป่านบอกว่ายังไม่เพียงพอที่จะเขียนเล่าเป็นนิยาย เลยไปค้นเรื่องราวของพญาครุฑและพญานาคเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นวงศ์ตระกูล การกำเนิด การใช้พิษ ฯลฯ และค่อยๆ ย่อยออกมาเป็นเรื่องราวที่ต้องการเล่า
“ในเรื่องนี้ตัวละครทุกตัวเป็นสีเทาค่ะ ถ้ามองจากฝั่งพญาครุฑก็ถูก หรือจะมองจากฝั่งพญานาคก็ถูกเหมือนกัน เรียกว่าทุกอย่างในการกระทำล้วนมีเหตุผลในตัวเองทั้งนั้น ทั้งเรื่องที่ทำไมต้องรบกัน ทำไมถึงยอมกันไม่ได้ ซึ่งตอนท้ายป่านได้เขียนไว้ด้วยนะคะว่าไม่มีฝ่ายไหนได้ชัยชนะที่แท้จริง สิ่งเหลือมีไว้แค่เพียงความเจ็บปวด และโศกนาฏกรรม
“ความประทับใจในการเขียนเรื่องนี้คือเรื่องพัฒนาการของตัวละคร เรื่องนี้เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เพราะพอเราพาเขาเดินทางไปกับเนื้อหาและสถานการณ์ที่ตัวละครได้เจอ เราไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ในที่สุดก็พบว่าจากการยึดติดของทุกตัวละครเมื่อมาถึงตอนสุดท้าย พวกเขากลับปล่อยวางได้หมด ซึ่งตัวละครที่เซอร์ไพรส์ที่สุดก็คือตัวเอกของเรื่องนี้ค่ะ เราไม่เคยคิดว่าคาแรกเตอร์ที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลจะยอมทำอะไรแบบนี้ได้ แต่เขากลับทำ
“สำหรับป่านเอง การได้เขียนนิยายทุกๆ เรื่องทำให้ได้รับคำแนะนำจาก พี่เอียด พี่ปุ้ย พี่โอ๊ต อย่างใกล้ชิด และช่วยให้เราได้เติบโตทางความคิดไปด้วย อีกเรื่องคือตอนนี้สามารถเขียนได้ไหลลื่นกว่าตอนแรกๆ มากเลยค่ะ”
สิ่งที่นักเขียนอยากให้นักอ่านจะได้รับหลังจากอ่านเรื่องห้วงนทีกาลคือการไม่ยึดติดอดีตและมองไปข้างหน้า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
“เขียนเรื่องห้วงนทีกาลจบแล้ว ป่านก็เขียนเรื่องใหม่ต่อเลยและยังเป็นแนวแฟนตาซีเหมือนเดิม เป้าหมายสูงสุดของการเป็นนักเขียนสำหรับตัวเองคืออยากให้คนที่อ่านอ่านงานเราแล้วเดินมาบอกว่ารู้สึกยังไงกับงานของป่านบ้าง ยิ่งถ้าเขาบรรยายถึงฉากนี้ ตัวละครนี้ว่าเป็นอย่างไร ป่านคงแฮปปี้สุดๆ และถือว่าเราได้ประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนแล้วค่ะ
สามารถติดตามและให้กำลังใจกับผลงานของสิปัณฑ์ได้ทางเฟซบุ๊ก ‘สิปัณฑ์’ ส่วนใครรออ่านเป็นรวดเดียวจบถ้าเป็นเรื่องดั่งมนต์สุคธา ป่านบอกว่าตอนนี้กำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาเป็น e-book อยู่ สำหรับเล่มกระดาษน่าจะเปิดพรีออเดอร์เร็วๆ นี้ ส่วนห้วงนทีกาล ก็ติดตามกันได้ในเว็บไซต์อ่านเอานะจ๊ะ