ตามหา ISFJ หรือ ISTJ

ตามหา ISFJ หรือ ISTJ

โดย : ฟรายเดย์

Loading

ฉันมีเพื่อนสนิทน้อย นับได้ไม่เกินนิ้วมือหนึ่งข้าง แต่ฉันอาจจะเป็นมนุษย์ ESTP ตาม MBTI ที่มีจุดด้อย คือ ไม่ถนัดเรื่องการวางแผน แต่ถนัดกับการทำให้วันแต่ละวันผ่านไปได้ เดิมทีฉันเป็นคนร่าเริงมาก ในสมุดพกคุณครูมักจะเขียนใบ ปพ.5 ว่าคุยเก่ง ฉันเข้าระบบการศึกษาตั้งแต่ 2 ขวบ คุณพ่อและคุณแม่ของฉันเป็นครู ฉันเกิดมาพร้อมชุดข้าราชการสีกากี และรู้จักแค่อาชีพเดียวคือครู ดังนั้น เมื่อใดที่มีคนถาม “โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร”

ฉันตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า “อยากเป็นครูค่ะ”

ในวัยประถมศึกษาปีที่ 1 ฉันเป็นโรคหอบหืด ต้องเข้าโรงพยาบาลในช่วงสอบปลายภาค ที่บ้านของฉันเลยทำเคล็ดด้วยการเปลี่ยนชื่อ และเริ่มใช้ชื่อใหม่ตั้งแต่ ป.2 ถึง ม.5 และมีหมอดูท่านหนึ่งทักเกี่ยวกับเรื่องความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ฉันจึงไปพบหมอดูท่านนั้น และฉันขอตำราบางส่วนเกี่ยวกับเลขศาสตร์มา เพื่อตั้งชื่อตัวเอง นับเป็นการเปลี่ยนชื่อครั้งที่สาม และใช้ยาวมาจนปัจจุบัน ชื่อนี้ส่งผลดีต่อทุกคนในครอบครัว

แต่ก่อนเราอยู่บ้านพักครู แต่หลังจากเปลี่ยนชื่อเพียงปีเดียว ฉันได้มีบ้านหลังใหม่สีชมพู ฉันเป็นคนไม่หวาน ไม่เปรี้ยว ถ้าเดินผ่านๆ ก็จะไม่เป็นที่น่าสนใจมากนัก เพราะก็งงกับตัวเองพอสมควรว่าทำไมชอบอยู่ในมุม แต่สุดท้าย เมื่อมีกิจกรรมใดๆ ก็ได้ร่วมกับเขาไปทุกกิจกรรม ไม่ใช่คนที่ชอบหรือต้องการเกียรติบัตร แต่ถ้ายุคนี้ รอบยื่นแฟ้มสะสมผลงาน คงต้องใช้ หรือคงต้องร่วมทุกกิจกรรมที่ได้รับเกียรติบัตร

วันหนึ่ง ในวัย ม.6 ที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ฉันไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงหรือคณะ เพราะมีเป้าหมายแบบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งว่า อยากรู้ว่าการไปอยู่ต่างประเทศจริงๆ ที่ไม่ใช่เที่ยว จะเป็นอย่างไร อยู่ได้ไหม ฉันคือรุ่น O-NET และ A-NET รุ่นแรก หลังจากที่ยกเลิกการสอบเอ็นทรานซ์ ซึ่งถ้าถามฉันตอนนี้ ฉันอยากได้สัมผัสความรู้สึกของคำว่าเอ็นท์ติดกับเขาบ้าง แต่เมื่อระบบการศึกษาสมัยนั้นมาแบบนั้น ก็ไปสอบตามปกติ แต่ไม่ได้เลือกอันดับ เพราะไปสอบตรงที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครเลย และหลังจากที่เขาประกาศรายชื่อว่ารับเข้าศึกษาต่อ ฉันไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนใจแต่อย่างใด ทำเรื่องมอบตัวเรียบร้อย และดีใจที่มีที่เรียน และหลักสูตรนั้นต้องไม่มีคณิตศาสตร์ เด็ดขาด

เด็กสายวิทย์-คณิต แบบฉัน เบนเข็มไปอยู่สายศิลปศาสตร์ และค้นพบว่าตัวเองสนุกมากกับการเรียนภาษา หรือแนวๆ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือบริหารธุรกิจ เพราะฉันสงสัยตลอดเวลาว่าเราจะหาค่าแรงโน้มถ่วงไปทำไม หาค่าตรีโกณมิติทำไม โดยเฉพาะการแก้สมการทั้งหลาย ทำเพื่ออะไรกัน เรียนแบบอดทนอดกลั้นสุดๆ จนแล้วจนรอดก็ผ่านมาแบบเกรดเฉลี่ย สามกว่าๆ แบบที่วิชาแถบวิทย์-คณิต เก่งสุดๆ คือเกรดสาม นอกนั้นวิชาอื่นๆ ได้เกรดสี่ ฉันโชคดีที่ครอบครัวไม่ได้คาดหวังให้ฉันมีอนาคตเกี่ยวข้องสัมพันธ์เกี่ยวกับการเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะท่านๆ รู้ดีว่าฉันเรียนไม่เก่ง แต่แค่ชอบเรียนที่สุด เรียนแล้วมีความสุข การได้ไปอบรมโครงการอ่านเอาเล่าเรื่องก็เช่นกัน

ความคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ฉันจบปริญญาตรีแบบมีเกียรตินิยมอันดับสอง คงเป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข จึงไม่ต้องฝืนหรือจำใจ เรื่องเรียนถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว แต่ฉันคิดไม่ออกว่า แล้วฉันจะไปทำอะไรต่อ เลยคิดว่าถ้าเรียนแล้วมีความสุขก็ต่อปริญญาโทไปก่อน ค่อยมาคิดว่าจะทำอะไร แต่ระหว่างเรียนปริญญาตรี ฉันหางานพาร์ตไทม์ทำ และได้บัตรมัคคุเทศก์มา ผ่านการอบรมรุ่นที่ 1 แค่เห็นเพื่อนไปกัน ฉันก็ไปแบบงงๆ แต่ก็ได้มา

สายไหนจะไปต่อได้ ก็ต้องต่อที่ศิลปศาสตร์อีกเช่นเดิม การเรียนก็ผ่านไปได้อย่างสวยงาม เมื่อมีประกาศรับสมัครอาจารย์แบบบรรจุปี พ.ศ. นั้น หมดยุคข้าราชการพอดี แต่ก็ขอให้มีงานทำก่อน จึงสมัครสอบและผ่านการสอบ ได้ประกอบอาชีพครูตามที่พูด แล้วครูต้องเป็นแบบไหนนะ ไปสอนคาบแรก นักศึกษาบอกว่าอาจารย์คะ มันไม่ใช่แนว เลยไปหาแนวมา จนกระทั่งจูนเครื่องติด โอเค เราไปทรงนี้เลยค่ะ สนุกสนานมาก สงสัยคงเป็นเพราะบุคลิก ESTP เป็นแน่ ที่ทำให้ฉันมีไหวพริบในการกลับมาปรับตัวให้ไปต่อได้

ทำงานอยู่ได้ 5 ปี มีท่านผู้บริหาร ถามว่ามีใครพร้อมที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศบ้าง ฉันอีกแล้ว ผู้ซึ่งยกมือตลอดทุกงาน เลยได้พาตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่ ณ ประเทศหนึ่ง จริงๆ ตลอดระยะเวลา 5 ปี ชีวิตนักศึกษาปริญญาเอก ที่วิ่งหนีคณิตศาสตร์ จะว่าไปโชคชะตาคงบอกว่าหมดเวลาหนีแล้วค่ะ ฉันจึงต้องมากางหนังสือใหม่ แต่ความพีกคือ มันเป็นภาษาจีนกลาง อะไรนะ มนุษย์ผู้ไม่มีพื้นฐานภาษาจีนเลย แต่ไปใช้ชีวิตแบบที่หันไปทางซ้ายก็จีน หันไปทางขวาก็จีน เอาแล้วไง เป็นไงเป็นกัน เอาภาษากายไปก่อนให้รอด แล้วค่อยๆ สู้ไป กลับไทยก็ไม่ได้ ติดทุน โดนปรับสองเท่า ไปก็ไป ไปค่ะ ไปกันต่อ

เกิดมาฉันไม่เคยโดดเรียน เพราะเป็นเด็กเนิร์ด เรียนแล้วมีความสุข ไม่สนใจเสียงหรือสิ่งแวดล้อมใดๆ อยู่กับตัวเองแบบจริงๆ ก็คราวนี้ อะ… มีรุ่นพี่เดินเข้ามา “น้อง ถ้าไม่เข้าใจถามพี่ได้ค่ะ” ก็ถามสิคะ ไม่รู้อะไรสักอย่าง ไม่รู้จะเริ่มต้นทางไหนก่อน และไม่รู้ว่าจะจบไหมด้วย

ฉันได้ไปแผนกหนึ่งและถามว่ามีอาจารย์ท่านไหนว่างไหมคะที่จะเป็นที่ปรึกษาฉันได้ ฉันถามเป็นภาษาอังกฤษ แผนกตอบว่ามีคนเดียว เป็นผู้หญิง เอ่อ คือว่า ตอนปริญญาโท เจออาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้หญิงแล้ว เพิ่งจบ ดร. หมาดๆ จากออสเตรเลียเลยทีเดียว ตอนนี้ไม่ได้แล้ว คิดว่า ความเป็นผู้หญิงนี่แหละที่จะไม่จบ เลยไม่ลุกออกจากแผนกนั้น จนกระทั่งศาสตราจารย์ท่านหนึ่งได้บอกว่า ฉันมีพี่ชาย เธอไปตามหาเขาเองแล้วกัน เขานั่งอยู่ที่ตึกนั่นนะ

ค่ะ ฉันขี่สกูตเตอร์บริจาคที่มีอายุมากกว่าฉันไปที่ตึกนั้น และเจอ TA ของศาสตราจารย์ ฉันถามเขาว่า ท่านอยู่ที่ไหน ฉันจำแค่ว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันครู คนจะมีครูต้องไปติดต่อวันพฤหัสบดี เมื่อทราบพิกัด ฉันโดดเรียนวิชาสัมมนาไปหาท่าน เดินเข้าไปยกมือไหว้ และรัวภาษาอังกฤษ แต่… อาจารย์ตอบว่า เธอพูดอะไรน่ะ ฉันฟังไม่ออก หา… เอาแล้ว ฉันใช้มือถือเครื่องเก่ามากๆ เปิดอากู๋ แล้วพิมพ์ภาษาอังกฤษให้แปลเป็นภาษาจีน อาจารย์บอกว่า เจอกันพรุ่งนี้ เย่

ตั้งแต่เกิดมา มนุษย์ศาสตราจารย์ในจินตนาการกับชีวิตจริง แตกต่างกันพอสมควร อาจารย์ที่ปรึกษาของฉันก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าต้องใจเย็นและอย่าถอดใจ ไม่งั้นแม่นางไทยแลนด์คงไม่จบเป็นแน่แท้

ค่ะ ใช่ อดทน ล้มลุกคลุกคลานอยู่ห้าปี ระหว่างทางรุ่นพี่น้ำเต้าหู้ท่านหนึ่งเขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนกัน เลยคุยภาษาเดียวกัน เหมือนจะรู้เรื่อง แต่เพิ่งมาเฉลยช่วงหลังๆ ว่า พี่เป็นแพนิก ค่ะ ใช่ ฉันมีรุ่นพี่ที่ต้องทานยา และเมื่อมีอาการแพนิก คือ ห้ามเข้าใกล้ จะคล้ายๆ มนุษย์หมาป่าที่โดนน้ำท่วม แต่พี่คนนี้ก็ทำให้เข้าใจว่า ต่อไปนี้ หากจะต้องเลือกใครสักคนเป็นคู่ชีวิต ชีวิตคู่นั้นมันไม่ง่ายนะหนู นั่นเป็นที่มาของการตามหามนุษย์ ISFJ หรือ ISTJ

พี่จบไปดูแลคุณแม่ และครอบครัว รุ่นน้องก็ขออวยพรให้ท่านได้เจริญเติบโตในหน้าที่การงาน แต่เราขาดการติดต่อกัน เหตุมาจากการที่คนจะสอบจบ มันจะมีความกดดันสูงกว่าปกติ เราผู้ซึ่งไม่เก่งคณิตศาสตร์แต่กำลังฟังภาษาจีน เพื่อที่จะอธิบายเป็นภาษาไทยให้ตัวเองเข้าใจ และเตรียมอธิบายภาษาอังกฤษให้คณะกรรมการมันปั่นป่วนแค่ไหน เลยบอกพี่เขาไปตรงๆ ว่า ขออนุญาตทำหน้าที่ก่อนนะพี่ เพราะถ้าน้องไม่จบ นั่นปัญหาชีวิตน้องเลย อย่าโกรธน้องนะ แล้วก็ปิดการมองเห็นไปตลอดกาล อาจจะฟังดูใจร้าย แต่ถ้าเราบอกเขาแล้วเกินสามรอบ แล้วยังไม่หยุด ต้องรับจบไปค่ะ

และมีรุ่นพี่อีกคนคอยช่วยน้องคนนี้อยู่ห่างๆ ค่ะ เขาเป็นโรคซึมเศร้า การที่ฉันจะมีเพื่อนซึ่งน้อยอยู่แล้ว และได้เพื่อนหรือรุ่นพี่ที่มีภาวะดังกล่าวมันไม่ง่ายเลย ฉันพยายามจะเข้าใจ และเป็นเสียงหัวเราะให้ทั้งสองคน แต่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่า การที่เราได้ดูแลทั้งสองคน มันซึมเข้ามาได้ ฉันเป็นโรคซึมเศร้า ต้องกินยา 8 เดือนก่อนจะจบกลับมา เรียกว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ไม่ได้เป็นขั้นรุนแรงถึงขนาดอยากฆ่าตัวตาย แค่มีอาการเบื่อหน่าย อยากกลับบ้าน แต่หน้าที่อยู่เหนือความรู้สึก กัดฟันสู้ให้สุดดูว่าเป็นไงเป็นกัน จะตายอยู่ต่างประเทศไม่ได้ สู้เขาสิวะอิหญิง สู้จนสำเร็จ เย่ ไม่ตายแล้ว

กลับมาประเทศไทย ต้องใช้ทุนเป็นเวลา 5 ปี แต่ไม่เป็นไร เอาแค่ 5 ปีนี้ก่อน หลังจากนี้ค่อยว่ากัน เพราะอะไรหลายๆ อย่าง เปลี่ยนไปพอสมควร ฉันยังคงต้องปรับตัวอยู่ และก็ยังคงตามหามนุษย์ มนุษย์ ISFJ หรือ ISTJ ต่อไป ถึงแม้ว่าวันนี้ยังหาไม่เจอ แต่ก็คิดว่าถ้าเจอก็คงจะดี หรือถ้าไม่มีก็อยู่คนเดียวไป คนที่ใช่จะมาในเวลาที่เหมาะสม ก็คงต้องมีความหวังบ้าง แต่ก็ยังคงอยู่กับความเป็นจริงตามคอนเซ็ปต์มนุษย์ ESTP การได้สอนหนังสือ มันก็สนุกนะ แต่มีความนานาจิตตัง อยู่ในสังคมที่มีสิ่งแวดล้อมที่เราไม่ใช่คนที่รู้ไปทุกเรื่อง แต่ก็จะมีบางมุมมองที่คาดหวังว่าเราต้องรู้ทุกเรื่อง แบบไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ทำนองนั้น

เพื่อนสนิทคนหนึ่ง เขาจบมหาวิทยาลัย Top 5 ของประเทศ แต่ก็นะ ความเป็นเพื่อนและความผูกพันไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป วันหนึ่ง ช่วงวันหยุดวันมาฆบูชา เพื่อนขับรถมาหา เราคิดว่าควรไปหาอะไรอร่อยๆ กินตามประสา แต่ทว่าไปโผล่อยู่จังหวัดระยอง แบบไม่ได้ตั้งใจไป และคงเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับเพื่อนเราและเราที่ไปแบบมีแค่มือถือ 1 เครื่อง มีแค่ตัวและหัวใจ แล้วไปไงมาไง ได้ขับรถไป 6 ชั่วโมง กว่าจะถึง และขับกลับอีก 6 ชั่วโมง สรุปได้ไปกินอาหารทะเลสองมื้อ แต่คนคือน้องจั๊กของเราสองคนต้องเปียกชุ่มกันไปเลย ถึงแม้จะไปซื้อเครื่องสำอาง อาบน้ำ และชุดเดียวทั้งไปและกลับ ความไกลของบ้านเรา และความ ESTP เป็นเหตุสังเกตได้ ที่แปลว่ามีความสุขในวันนี้ วันหน้ายังไม่ได้วางแผน ขอบคุณที่เธออดทนกับฉันนะ เพื่อนรัก

เพื่อนคนนี้เคยมีเรื่องเล่ามากมาย เพราะความคิดถึงอยากจะเล่าให้ฉันฟัง แต่วันที่ฉันได้อยู่ในภาวะซึมเศร้าขั้นแรก คือเบื่ออาหาร ฟังเพลงไม่ได้ ฟังแม้กระทั่งเสียงคนที่เรารักที่สุดอย่างบุพการีไม่ได้ อยากนอน แต่ไม่ถึงกับอยากตาย แต่ไม่อยากทำอะไรเลย แม่ฉันถามจะไปหาเพื่อนรักไหม ฉันตอบกลับไปด้วยสภาพที่เหลืออยู่อย่างเลือนรางว่าไม่พร้อม ฉันใช้เวลาถึงสองวันเต็มในการนั่งดูปลา และพยายามกินข้าว ผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นคือ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการฟังเพลงแล้วฮัมเพลงตาม พยายามเยียวยาตัวเองด้วยการร้องเพลง แต่ร้องเพลงไม่จบ ความจำแบบระยะยาวหายไป รวมถึงเนื้อเพลงด้วยเช่นกัน เพื่อนต้องนั่งมองหน้าแล้วรวบรวมรอยยิ้ม เพื่อถามว่าแกมีอะไรอยากระบายหรือเล่าไหม เป็นคำถามเดียวที่เพื่อนรักของฉันก็กลัวจะกระทบจิตใจเช่นกัน วันนั้นกิจกรรมเดียวที่ทำได้ คือ ไปดูหนังเรื่อง อวตาร ที่เซ็นทรัลอุบลราชธานี ฉันดูไม่ค่อยรู้เรื่อง อาการทรงๆ

ในวันก่อนที่จะไประยอง เพื่อนมากอดคุณแม่ฉันแล้วบอกว่า หนูรับรู้ได้ว่าสีหน้าคุณแม่วันนั้นไม่โอเค เพราะเป็นห่วงฉันมาก ว่าฉันจะรอดไหม แต่สุดท้ายฉันได้บอกคุณแม่ว่าลูกพร้อมแล้ว ไปพบจิตแพทย์กัน และนั่นคือ ยาสองเม็ดแรกในชีวิตที่เข้ามาและต้องไปรักษาต่อที่ต่างประเทศผ่านใบรับรองแพทย์ไทย กว่าฉันจะเริ่มกลับมาหัวเราะ กินอิ่ม นอนหลับโดยไม่ต้องกินยา ก็ผ่านมาได้บ้างไม่ได้บ้าง

ฉันผู้ได้บริจาคอวัยวะให้แก่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ได้เข้าใจในวันนี้ว่าการเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยาก เป็นเพื่อนก็ยาก เป็นฉันก็ยาก เป็นลูกก็ยาก เป็นลูกน้องก็ยาก ไม่ว่าบทบาทไหน ไม่ว่าต้องใส่หมวกใบไหน ในหน้าที่อะไร ก็คงทำได้เต็มที่ ตรงคำว่าทำต่อไป ส่วนความสุขแท้คืออะไร ฉันว่าฉันพอจะได้รับรู้แล้ว และพยายามอยู่กับความสุขเทียมให้น้อยลง แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คงมีทางออก ฉันเชื่อว่าก่อนจะถึงวันที่หมดลมหายใจ จะทำอะไรดีๆ เพื่อให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นก็แล้วกัน รักนะ ตัวฉันเอง และจะให้ดีกว่าถ้าได้เจอมนุษย์ ISFJ หรือ ISTJ สักวันหนึ่ง

Don`t copy text!