พันเพลงพิณ บทที่ 3 : ตัวประหลาด

พันเพลงพิณ บทที่ 3 : ตัวประหลาด

โดย : หัสวีร์

Loading

พันเพลงพิณ โดย หัสวีร์ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์  ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถซื้อได้ที่่สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ค่ะ

****************************

– 3 –

ดวงเดือนแจ่มจ้าเวหน กลบดาวน้อยอับแสง ลมโชยพัดอ่อนทำให้คืนนี้ไม่ร้อนเกินไป บนเรือนไม้สัก คำแก้วยกขันโตกมื้อเย็นมาสู่แขก พ่อหลวงทองหัวเราะร่ากับนายอำเภอครรชิต คู่นี้คุยกันถูกคอกันทุกเวลา เนื้อหาบทสนทนายังพูดถึงงานบุญงานปอยที่จะมีในพรุ่งนี้ ส่วนคำแก้วกับบัวชุม ตั้งสำรับมานั่งกินอีกวง ด้วยอยากให้แขกได้รับประทานอาหารอย่างสะดวก

“ผู้ใหญ่ทองคะ” จู่ๆ ยุวดีก็เอ่ยขึ้นมา ทำให้ทุกคนหันไปมอง

“ครับคุณยุวดี”

“ตกลงวันนี้ที่วัด ถางป่าเรียบร้อยดีแล้วใช่มั้ยคะ”

คนถูกถามชะงักก่อนจะยิ้มแห้ง “ก็เรียบร้อยสิครับ”

สาวกรุงเอียงหน้า “เพราะนายพันแสงคนเดียวเลยเหรอคะ ไม่น่าเชื่อ ว่าคนเพียงคนเดียวจะมีกำลังเหลือเฟือขนาดนั้น”

พ่อหลวงบ้านกลืนน้ำลายฝืด “มันก็ไม่เชิงครับคุณหนู ความจริงก็มีชาวบ้านหลายๆ คนมาช่วยกันด้วยหลังจากนั้น”

“แต่ฉันเห็นค่ะ ว่าเขาทำคนเดียวจนเกือบเสร็จ” ยุวดียืนยัน

“ยุวดี อย่าถามพ่อหลวงจุกจิกไปเลย มันไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง” บิดาปราม ลูกสาวกำลังทำให้บรรยากาศในมือค่ำเปลี่ยน

“หนูยังไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย ก็แค่สงสัยว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้แปลก เหมือนพ่อหลวงเองพยายามจะปิดบังอะไรไปหมด แม้แต่ตอนนี้คุณพ่อก็ใช้ความเป็นผู้ชาย มาปิดกั้นความสงสัยของหนู”

“ยุวดี!” นายอำเภอเหลืออด “พ่อไม่รู้นะ ว่าเวลาอยู่กรุงเทพฯ ลูกเป็นคนเก่งแค่ไหน แต่บางครั้งการอยู่กันคนอื่น เราก็ต้องมีกาลเทศะ เรื่องนี้แม่กับพ่อใหม่ลูกไม่ได้สอนหรือไง”

ความโกรธพุ่งทะยาน ยุวดีชักสีหน้ามองผู้เป็นพ่ออย่างไม่พอใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีหายเข้าไปในห้องนอน

“ใจเย็นๆ ครับท่าน คุณยุวดีคงก็อยากรู้เป็นธรรมดา” เจ้าของบ้านรินสุราปลอบ

“ฉันก็ชักอยากจะรู้แล้วนะ เรื่องนายพันแสงอะไรนั่น” ครรชิตเองก็เริ่มรำคาญถึงบุรุษที่เขาไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ แต่ทำไมช่างมีบทบาทต่อคนบ้านดงหลวง แถมตอนนี้ลูกสาวก็เป็นไปด้วยอีกคน

ทองถอนหายใจ หันไปมองหน้าศรีภรรยาที่พยักหน้าให้

“พันแสงคือคนแปลกหน้าที่เพิ่งมาอยู่บ้านดงหลวงได้ไม่ถึงปี นิสัยของมัน…อวดเก่ง จองหอง” สุราทำให้ผู้นำหมู่บ้านกล่าวตรง

“อะไรกัน แค่คนหลงทางธรรมดาเนี่ยนะ” นายอำเภอแย้ง

“มันไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ปู่จันทร์และย่าคำป้อสองเฒ่าท้ายหมู่บ้าน เจอมันในป่าและพามันออกมาพักฟื้นที่บ้าน มันนอนซมเป็นอาทิตย์ ฟื้นมาก็จำอะไรไม่ได้ แต่กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาล ผมว่ามันต้องเป็นคนมีคาถาอาคม รอยสักของมันก็เหมือนของคนเก่าคนแก่ ไม่ใช่ของคนบ้านดงหลวง จะเป็นทางเชียงใหม่ เชียงราย หรือเมืองฝางก็ไม่น่าจะใช่” ทองรู้สึกว่า พันแสงเหมือนบุคคลที่มาจากอีกโลก

“ผมเกรงว่ามันอาจจะมาที่บ้านดงหลวงเพื่อกระทำการบางอย่าง หรือบางทีมันอาจจะไม่ใช่คน” พ่อหลวงบ้านยกจอกสุราขึ้นมาซด

“นี่มันยุคสมัยไหนแล้วทอง มันจะมีผีสางที่ไหน” คนฟังยังไม่อยากจะเชื่อ

“ที่นี่บ้านดงหลวง อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ หมู่บ้านของเราอยู่กันมานานเกือบห้าร้อยปี หมู่ม่าน หมู่เงี้ยวก็ไม่เคยมาบุกมาได้ เพราะบรรพบุรุษของพวกเราเสกมนต์คาถาบังกันภัยไว้”

ครรชิตนิ่งฟังอย่างตั้งใจ

“การที่ใครจะเข้ามายังบ้านดงหลวง ผมซึ่งเป็นพ่อหลวง ต้องแจ้งกับผีบรรพบุรุษให้รับทราบ เพื่อเปิดทางให้คนนอกเข้ามา คืนก่อนที่นายอำเภอจะมาถึง ผมก็ได้บอกกล่าวที่หอเจ้าบ้านให้ท่านช่วยเปิดทาง”

“ถ้าเช่นนั้นทำไมพันแสงมันถึงเข้ามาได้ล่ะ”

คำถามของครรชิตทำให้ทองหน้าตึงเครียดมากขึ้น “ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ถ้าให้เดา มันคงมีฝีมือพอสมควร ถึงแหกมนต์ของบ้านดงหลวงเข้ามาได้”

“งั้นทำไมทองไม่ยอมมัดมือให้มันเป็นคนของบ้านดงหลวงไปเสียล่ะ”

“ผมเกรงว่าจะชักภัยเข้าบ้าน นายอำเภอรู้ไหม ตั้งแต่มันเข้ามา บ้านดงหลวงเริ่มมีเหตุการณ์ไม่ปกติ อย่างเดือนก่อนมีคนตายถึงสามคน ส่วนใหญ่ก็บอกว่าเป็นผีป่ามาหักคอ”

“ถ้างั้นทองก็มีสองทางเลือก คือไล่มันออกไปจากหมู่บ้าน หรือไม่ ก็รับมันเป็นคนบ้านดงหลวงเสีย การเป็นผู้นำถ้าไม่ตัดสินใจเด็ดขาด อาจจะมีปัญหาตามมา”

ทองนิ่งเงียบ นายอำเภอจึงตบบ่าเบาๆ “ฉันเข้าใจนะ แต่บางทีถึงแม้จะไม่มีพันแสง หมู่บ้านดงหลวงก็ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกด้วย ความเจริญเทคโนโลยีต่างๆ เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก ขนาดเมืองเชียงใหม่ยังกลายเป็นจังหวัด เรามีรถราที่พาเราไปได้ทุกที่ มีปืนที่ล้มเสือได้ หรือแม้แต่ยามกลางคืนเดี๋ยวนี้ยังมีหลอดไฟให้ความสว่าง ทองไปในเวียงเชียงใหม่ก็เห็นแล้วไม่ใช่รึ ว่าตอนนี้พัฒนาไปแค่ไหน”

“ผมรู้ แต่ที่ผมเล่าให้นายฟัง ก็เพราะไม่อยากให้คุณยุวดี ไปวุ่นวายกับไอ้พันแสง การที่ไอ้พันแสงปรากฏตัวลับล่อๆ แถวนี้บ่อยๆ มันอาจจะมีแผนการอะไรบางอย่างที่ไม่ดีก็ได้” ผู้ใหญ่บ้านกังวล

“เอาเถอะ ฉันจะเตือนยุวดีเอง ขอบใจที่เป็นห่วง ม๊ะ ชนแก้วกันดีกว่า” นายอำเภอเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากให้บรรยากาศเสีย ทองจึงยิ้มได้ หันไปสั่งคำแก้วให้เตรียมสุราและกับแกล้มมาเพิ่ม

 

หลังจากเห็นทองเคี้ยวเมี่ยงและเดินถือตะเกียงเข้าไปในห้องแล้ว ยุวดีใช้เวลาอีกครู่ใหญ่เพื่อรอให้ห้องนอนของพ่อหลวงดับไฟ

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย สาวกรุงจึงแอบย่องออกจากห้อง ระวังไม่ให้เท้าที่สัมผัสกับแป้นไม้บนเรือนใหญ่เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เพราะนั่นจะเป็นเหตุให้ทุกคนตื่นได้ เดินลงบันไดขั้นสุดท้ายได้อย่างปลอดภัย กำลังจะก้าวขา เสียงเรียกเบาจากด้านหลังก็ทำเธอชะงัก

“คุณยุวดี”

สาวกรุงส่ายหัว มีคนจับได้จนได้ ลูกสาวเจ้าของบ้านนั่นเอง

“บัวชุม ตกใจหมด” ยุวดีมั่นใจว่า ตอนที่ลุกออกจากห้องนอนมา สาวน้อยที่นอนด้วยกัน นอนหลับไปแล้ว

“ค่ำมืด คุณยุวดีจะไปไหน” สาวน้อยยืนถือตะเกียงน้ำมันอยู่หัวบันได

“ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน” แลตาเป็นเชิงตำหนิ

“บ่ได้เน้อเจ้า ป้อทองหื้อข้าเจ้าผ่อกอยคุณยุวดีหื้อดี บ่หื้อไปไหน” บัวชุมตอบตรง

“นี่ฉันไม่ได้เป็นนักโทษนะยะ ฉันเป็นลูกนายอำเภอ และก็เป็นเจ้านายของพ่อเธอด้วย ไม่ต้องมาสะเออะ”

“ขึ้นเฮือนเต๊อะเจ้า อย่าทำหื้อทุกคนเป็นห่วง” สาวน้อยขอร้อง

“ไม่! เธอขึ้นไปคนเดียวเถอะ ฉันจะไปเดินเล่น” ยุวดีกล่าวทิ้งทาย ก่อนจะหยิบตะเกียงเดินออกจากบ้าน

บัวชุมส่ายหัว เมื่อไม่มีทางเลือก จึงต้องวิ่งตาม โดยไม่รู้ว่าสาวกรุงนั้นยิ้มมุมปาก ที่ไม่ต้องเดินไปเพียงลำพังแล้ว

เดือนเต็มดวงกลมมน งามราวกับลูกแก้วที่แขวนไว้บนฟ้า

หากแต่ชายหนุ่มที่นั่งจ้อง กลับมิได้เพลิดเพลินในความงามนั้น สมองยังคงฟุ้งซ่านคิดถึงแต่เรื่องตน อนาถใจในชีวิต เวลาผ่านไปเกือบครึ่งปี แต่ตอนนี้เขากลับจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เสียที

จะมีบ้างที่สัญชาตญาณพาให้เอาตัวรอด หลุดใช้วิชาแปลกๆ มีหมัดหนัก มีแรงมหาศาล บางเวลาก็เดินมาเดินไปได้ไวเหมือนอย่างกับหายตัว คงเป็นฝีมือที่ติดตัวมา

จมูกโด่งถอนหายใจแรง ดวงตาชั้นเดียวกะพริบท้าทายแสงนวล ลมแล้งพัดผ่านมากระทบผิวหยาบและกล้ามแกร่ง จนนึกได้ว่า เมื่อตอนกลางวันเจออะไรบางอย่างที่ป่าเหนือวัด ตั้งใจจะเอาไปให้หลวงปู่ดู แต่เจอผู้หญิงคนหนึ่งมาวุ่นวายเลยหนีออกมาเสียก่อน

พันแสงหยิบของสิ่งนั้นออกมาจากย่าม ลองใช้ผ้าปัดถูเศษดินออก เอามาส่องกับตะเกียงโลหะสำริดก็สะท้อนแสงไฟ คิ้วหนาขมวดอย่างสงสัย ยังเดาไม่ออกว่ามันคืออะไร ด้ามมันยาวเหมือนด้ามยามวนเหล็ก แต่ฉลุลายเป็นตุ๊กตารูปนกตัวน้อย พลันชั่ววินาทีในสมองก็เห็นใบหน้ายักษ์!

“ผ่ออะหยังอยู่พันแสง” ชายหนุ่มตกใจ หันไปมองพ่อเฒ่าที่ย่างเท้ามาหา และทิ้งตัวลงที่แคร่

คนอ่อนกว่ายื่นของปริศนาให้ ผู้เฒ่าจันทร์รับมันมามองใกล้ๆ แสงสว่าง

“ข้าเจอมันตอนที่กำลังฟันป่า ป้อเฒ่าว่ามันคืออะหยัง”

“นี่มัน…” จันทร์จับแท่งสำริดพลิกไปมา “หัวพิณ”

“หัวพิณ?” พันแสงไม่รู้จัก

“แม่นแล้ว หัวพิณเปี๊ยะ”

“มันคืออาวุธอันใดกา ป้อเฒ่า”

จันทร์ส่ายหัว “ข้าก่อลืมไปว่าสูความจำเสื่อม รอข้ากำ” จันทร์คืนหัวพิณเปี๊ยะให้ชายหนุ่ม แล้วจึงเดินขึ้นไปบนบ้าน กลับมาพร้อมกับเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งในมือ

“อันนี้แหละ ที่เปิ้นฮ้องว่าพิณเปี๊ยะ ที่สูเจอมัน คือส่วนนี้” นิ้วมือเหี่ยวชี้ไปที่ส่วนหัวสุด

“ทำไมมันบ่เหมือนกันล่ะป้อเฒ่า” พันแสงว่า ที่อยู่ในมือเขามันคล้ายกับรูปนกมากว่า

“ของสูมันเป็นรูปนกยูง แต่ของข้ามันเป็นรูปช้าง หัวพิณเปี๊ยะมันแตกต่างกันไป แล้วแต่ช่างสล่าที่แปงมันขึ้นมา” จันทร์ยิ้ม ก่อนจะส่งเครื่องดนตรีในมือให้คนหนุ่มดูใกล้ๆ

“พิณเปี๊ยะมันเล่นยาก ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า เปี๊ยะ แปลว่าอวด การเล่นจะต้องแก้เสื้อเพื่ออวดหื้อคนผ่อ โดยเฉพาะสาวๆ” จันทร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหยิบเครื่องดนตรีมาตั้งท่าโดยใช้มือขวาจับคันทวย แนบกะลาไว้ที่หน้าอกด้านซ้าย แล้วจึงดีดให้ดู

“ตึง…”

เสียงนั้นกังวานแว่ว พันแสงขนลุก ในสมองเหมือนมีแสงสว่างจ้า ราวกับเคยได้ยินเสียงดนตรีนี้ที่ไหนมาก่อน สัมผัสได้ถึงความสุข สมหวัง และพลัดพราก…

“ที่ข้าเล่นมันคือพิณเปี๊ยะสองสาย คนบะเก่าเปิ้นว่า หัดเปี๊ยะสามปี หัดปี่สามเดือน นั่นหมายถึงการเล่นพิณเปี๊ยะ ยากกว่าเครื่องดนตรีชนิดใด” จันทร์เอ่ยและเล่นดนตรีไปยังชำนาญ

“เสียงของมันดังม่วนเหมือนเสียงระฆังสวรรค์ แต่ก่อนน่าจะเป็นเครื่องดนตรีของเจ้าของนายเพราะส่วนหัวทำด้วยสำริด แต่บะเดี่ยวไผๆ ก่อเล่นได้ คนที่เล่นส่วนใหญ่ก็เอาไว้อวดสาว” จันทร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ อย่างคำป้อเมียข้าก่อฮักเมาตอนข้าดีดพิณเปี๊ยะเหมือนกัน”

“อู้อะหยังปู่เฒ่า ข้าได้ยินเน้อ”

ชายชราสะดุ้งโหยง ก่อนจะทำหน้าตื่น “ข้าก่ออู้จากับพันแสงตามประสาลูกป้อจาย”

“อย่ามาว่าข้าฮักเมาสูเน้อ สูนะบ่ใช่กาฮักเมาข้า จนต้องมายืนร้องไห้อยู่ปากน้ำบ่อ บอกว่าถ้าข้าบ่ตอบฮักจะโดดน้ำบ่อต๋าย”

จันทร์สะดุ้งโหยงเมื่อความจริงถูกเปิดเผย “ข้าอู้เล่นกับไอ้พันแสงมันบะดาย ไปๆ ขึ้นเฮือนดีกว่า” ชายแก่รีบประคองเมียรักจากไป ปล่อยให้พันแสงนั่งจ้องเครื่องดนตรีที่เขารู้สึกคุ้นเคย

พันแสงเดินมายังริมธารซึ่งไม่ไกลจากกระท่อมที่เขาพำนักอยู่ คืนนี้แสงเดือนฉาบทาให้ทุกอย่างขาวโพลน บางเวลาดูปลอดภัย แต่บางเวลาก็ดูหลอน

เสียงหรีดหริ่งเรไรดังประสานกับเสียงน้ำไหล เหนือลำธารมีดอยแนวยาวที่ดำทะมึนล้อมรอบไปทุกทิศ ราวกับมันเป็นกำแพงให้หมู่บ้านตัดขาดจากทุกสิ่ง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่ริมตลิ่ง หยิบเครื่องดนตรีของจันทร์ออกมาพิจารณา

พิณเปี๊ยะงั้นหรือ…ทำไมรู้สึกผูกพันกับมันเหลือเกิน

ลองถอดเสื้อ จัดท่าจัดทางให้เหมือนชายชราเมื่อครู่ หวังจะลองดีดมันดูซักครา ร่างใหญ่ดูเก้ๆ กังๆ แต่ก็พอถูไถ เมื่อกะลาครอบตรงหน้าอกด้านซ้าย นิ้วมือยาวก็ลองดีดมัน

“แต๊ก…”

เสียงดีดดังไม่กังวานใส พยายามอีกครั้งก็เป็นเช่นเดิม เล่นยากเหมือนที่พ่อเฒ่าจันทร์บอกไว้จริงๆ ลองดีดอีกสักพัก ก็ไม่มีวี่แววว่าคนอย่างเขาจะเล่นดนตรีชนิดนี้ได้

“เฮ้อ! ” ชายหนุ่มถอนหายใจ พิณเปี๊ยะคงไม่ได้ช่วยให้ความทรงจำเขากลับคืนได้ เหมือนอีกหลายๆ อย่างที่พันแสงเคยลองทำ ดูท่าเขาคงจะถนัดแต่เรื่องใช้แรงเท่านั้น

ในป่าลึกมีเสียงดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ เดาได้ว่าเป็นเสียงจากชะนี หรือช้างป่าร้องหาคู่ นานๆ ทีได้ยินเสียงขู่กรรโชกโฮกฮากที่ทำให้แม้แต่แมลงเล็กน้อยยังต้องเงียบ

บางครามีเสียงป๊อกๆ ฟังขนลุก จะเป็นเสียงงูใหญ่พ่นน้ำใส่หินหลวง หรือจะเป็นผีป่าที่พ่นลมขู่ขวัญ นกเค้าแมวบินโฉบผ่านหน้า บินถลาไปเกาะต้นมะม่วงสูง มันกางปีกส่ายหัวไปมาอยู่ที่กิ่งใหญ่ เพ่งมองเผินๆ ใบหน้ามันเหมือนทารกที่เกิดใหม่ แสยะยิ้มลงมา

อากาศร้อนจนทำให้พันแสงปาดเหงื่อที่ชุ่มกาย คงต้องลงอาบน้ำชำระคราบไคลในลำธาร ก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่กระท่อม

ร่างใหญ่พาตัวไปจุ่มน้ำเพื่อผ่อนคลาย น้ำลึกเพียงระดับเอว แสงจันทร์กระทบผิวธาราและร่างหนุ่ม เขาขัดถูกายให้สะอาด

เมื่อเริ่มเย็นสบาย จึงค่อยๆ เดินขึ้นมายังฝั่งที่ตื้นเขินเพียงหัวเข่า กวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า ลูบไล้หน้าอกอันบึกบึน ผ้าขาวม้าเปียกแนบบั้นท้ายรัดตึงตรงระหว่างขา ที่สุดพันแสงก็ตัดสินใจถอดออก

เมื่อร่างของเขาเปลือยหมดจด หูก็ได้ยินเสียง…

“กรี๊ด!”

สัญชาตญาณหนุ่มรีบหันขวับ ผุดขึ้นบนฝั่ง นุ่งผ้าขาวม้ากลับตามเดิม ก่อนจะหยิบหินขว้างเข้าไปในพุ่มไม้ฝั่งตรงกันข้ามที่คาดว่าน่าจะเป็นต้นเสียงที่ได้ยิน

“สูเป็นไผ ออกมาเดี๋ยวนี้” ตะโกนขู่ ทว่าทุกอย่างกลับเงียบงัน พันแสงทำเสียงฮึดฮัด หรือจะเป็นผีป่า ผีแม่หม้าย ที่เห็นของดีของกูตอนอาบน้ำ แล้วอยากได้กูไปเป็นผัว…

“จะบอกหื้อฮู้ บ่ว่าจะคนหรือผี ข้าก่อบ่เคยกลัว จะออกมาหรือบ่ออก ถ้าบ่ออก ข้าจะบุกเข้าไปหักคอสู”

พุ่มไม้นั้นสั่น ก่อนจะมีใครบางคนออกมา พันแสงเบิกตากว้าง

“ฉันเอง พันแสง”

ใต้แสงจันทร์ค่อยๆ เผยให้เห็นชัดว่าเป็นผู้หญิงคนเดิม ที่เคยเจอที่วัด…

ยุวดีเดินเข้ามาหาอย่างท้าทาย หลังจากใช้เวลาทั้งวันตามสืบเรื่องของชายหนุ่ม ทั้งยอมถอดแหวนให้บัวชุมยอมปริปากเรื่องที่อยู่ของเขา จนในที่สุดเธอก็รู้ว่าพันแสงพักอยู่ที่ใด รอจนทุกคนหลับหมดก็ตั้งใจจะแอบมาหาเขา จนมาพบชายหนุ่มกำลังเดินออกจากบ้านไปยังธารน้ำ แอบซุ่มดูอยู่นาน คิดว่าจะเห็นเขาแสดงฝีมืออีกครั้ง แต่กลับเห็นเข่านั่งเล่นเครื่องดนตรีประหลาดที่ไม่เป็นเพลง แถมยังแก้ผ้าอาบน้ำโทงๆ จนมีคนต้องกรี๊ด

“มาลักผ่อข้ายะได” น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาคุยกับเธอ

ยุวดีอมยิ้ม คิดในใจ นายคนนี้ ‘ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งหล่อแฮะ’

“ฉันแค่อยากรู้ว่านายเป็นใคร ก็…ฉันถามอะไรก็ไม่ตอบ” ยุวดีจับปอยผมมาทัดหู ชม้อยชม้ายชายตาให้เขารู้ว่าเธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนพิเศษ

ทว่าคู่สนทนายังนิ่งเฉย และเดินไปเก็บข้าวของเดินกลับ ยุวดีรีบเดินไปขวาง

“ดะ…เดี๋ยวสิ นายจะไปไหน ยังคุยกันไม่เสร็จ ถ้าเป็นกรุงเทพฯ เดินหนีผู้หญิงแบบนี้เค้าเรียกว่าเสียมารยาทรู้มั้ย”

คนแปลกหน้าแห่งบ้านดงหลวงจะเดินต่อ แต่สาวกรุงก็ไม่ยอมหลีกทางให้

“หลีกไป ข้าจะปิ๊กเฮือนแล้ว”

ลูกสาวนายอำเภอสูดลมหายใจฮึดฮัด “ฉันแค่อยากจะรู้จัก ทำไมนายถึงได้รังเกียจฉันนัก”

พันแสงแลมอง สายตาคมทำเอาเธอสั่นสะท้าน แต่แล้วเขากลับเดินอ้อมหนี ยุวดีรีบวิ่งตาม

“เดี๋ยวสิ รอฉันก่อน…หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้บ้านนอก! หนอย…ทำเป็นหยิ่ง คิดว่าหล่อตาย รู้ไว้ซะคนอย่างฉันไม่เคยคิดจะสนนาย”

และอีกมากมายที่ยุวดีสบถด่าตามหลัง แต่พันแสงก็ไม่สนใจ

จนกระทั่งเสียงยุวดีเงียบหาย…ได้ยินเสียงขู่คำรามแทน หนุ่มแปลกหน้าผิดสังเกตหันขวับและพบว่า ตอนนี้หญิงสาวกำลังล้มอยู่ตรงพื้นโดยมีหมาป่าตัวเขื่องล้อมไว้ นับได้ถึงสี่ตัว

“ช่วยด้วย!” ลูกสาวนายอำเภอเสียงสั่น

สัตว์หน้าขนตัวดำมะเมื่อมสองตัวล้อมยุวดี ส่วนอีกสองกำลังคำรามเข้าหาพันแสง ดวงตามันแดงก่ำ เหมือนหมาผี หมาปีศาจ

“โฮ่ง!” ตัวหน้าสุดเห่าดังพร้อมกับกระโจนเข้าหา ชายหนุ่มจับด้ามพิณเปี๊ยะหวดเข้าที่หัวของมันทันที

“เอ๋ง!” พิณหัก มันร้องครางและนอนนิ่ง ที่เหลือยังไม่ยอมแพ้ ทั้งเห่าทั่งขู่และมุ่งมาจะกัด

ยุวดีเห็นชายหนุ่มตบแขนตบขาวาดลวดลายเจิงมวย ก่อนที่หมาป่าจะกระโดดเข้าขย้ำพร้อมกัน

“ระวัง!” ยุวดีตาปี๋ ได้ยินเสียงโฮกฮากจากการต่อสู้ ไม่นานเสียงร้องก็หายเข้าไปในป่า

หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็น คือใบหน้าของหนุ่มตาชั้นเดียวที่ห่างกับเธอเพียงหนึ่งฝ่ามือ ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาสัมผัสที่หน้าผากเย็นซีดของเธอ

“ไหนว่าบ่กลัวอะหยัง” เขาเอ่ยหน้านิ่ง

สาวกรุงตัวสั่นเหมือนลูกนก “หมาพวกนั้นมาจากไหน”

“เฮาอยู่ใกล้แนวป่า ก่อมักจะมีสัตว์ร้ายหลงเข้ามาประจำ”

สาวกรุงมองไปมั่ว เกรงว่ามันจะบุกมาอีก

“เดียวข้าจะไปส่ง” เขาบอก พลันหูของพันแสงก็ได้ยินสิ่งผิดปกติอีก จึงยกมือจุปากไม่ให้ยุวดีส่งเสียง

ในพุ่มไม้ที่ยุวดีซ่อนตัวอยู่ บัดนี้สั่นระรัวและมีเสียงหัวเราะคิกคัก

“บัวชุม!” สาวกรุงเพิ่งนึกได้ว่าที่พุ่มไม้ก็มีอีกคนซ่อนอยู่…

สาวน้อยตัวเล็กเดินออกมา พร้อมหัวเราะลั่น เมื่อเพ่งเข้าใกล้กลับเห็นว่า ใบหน้าบัวชุมนั้นไม่มีลูกตาดำ!

“บัวชุม” พันแสงเรียกชื่อเด็กสาว ทว่าร่างเล็กกลับกรีดกรายร่ายรำกลางแสงเดือน

ลมพัดแรงพากิ่งไม้ไหว เสียง หึ่งๆ เหมือนผีป่าโห่ร้อง ชอบใจที่เห็นลูกสาวพ่อหลวงฟ้อนรำอย่างคนไม่ได้สติ ตัวบัวชุมฟ้อนแง้นแอ่นหลังจนหัวนางแตะพื้น พร้อมกับโห่ร้องเหมือนคนคึกคะนอง

“ฮิ้ว!….”

“บัวชุมเธอเป็นอะไร” ยุวดีเบิกตาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

ไม่ทันตั้งตัว ร่างที่แอ่นค้างก็กระโดดขึ้นฟ้า สูงกว่าต้นมะขาม ลอยพุ่งเข้าหาพันแสงและยุวดี

“กรี๊ด!”

ยุวดีหลับตายกมือบังหน้า ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสนิท สาวกรุงลืมตาขึ้นอีกครั้งพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของพันแสง โดยที่มืออีกข้างของเขาชูขึ้นแตะหน้าผากบัวชุมที่ลอยคว้างอยู่บนฟ้า ปากของเขาขมุบขมิบเหมือนท่องอะไรบางอย่าง สักพักร่างของบัวชุมก็อ่อนระทวยร่วงหล่นลงมา พันแสงจึงอ้าแขนเข้าไปอยู่ในอ้อมอก

“มันเกิดอะไรขึ้น” สาวกรุงแทบไม่เชื่อสิ่งที่เห็น

พันแสงเขย่าร่างเรียกให้บัวชุมรู้สึกตัว แต่ไม่ได้ผล จึงหันมาทางยุวดี

“ต้องพาบัวชุมปิ๊กบ้าน”

เสียงหม่าเห่าดังมาจากนอกรั้ว ตามด้วยเสียงกรีดร้องของคำแก้ว ทำให้ครรชิตต้องรีบลุกจากที่นอน ออกมาดู เห็นแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันหลายดวงอยู่ด้านล่าง คำแก้วกำลังกอดร่างบัวชุมไว้ ส่วนทองยืนชี้หน้าด่าบุรุษที่ยืนนิ่ง นายอำเภอใจหายที่เห็นลูกสาวตัวเองก็อยู่ในวงโกลาหลนั้นด้วย

“เกิดอะไรขึ้น” ครรชิตตะโกนถาม ทุกคนจึงเงียบเสียง

“ไอ้พันแสง มันทำอะไรบัวชุมก็ไม่รู้ท่านนายอำเภอ” ทองขอความเห็นใจ

ผู้มีอำนาจจึงเดินเข้าไปมองหน้าชายเจ้าปัญหา เขายืนนิ่ง ไม่มีท่าทีหวั่นเกรงครรชิตสักนิด

“นายเองน่ะเหรอ…พันแสง”

“ผู้ใหญ่ทองเข้าใจผิดแล้วค่ะ พันแสงเขาไม่ได้ทำอะไรบัวชุม เขาช่วยพวกเราไว้ต่างหาก” ยุวดีรีบแก้ตัวให้

นายอำเภอสบตาเรียวเล็กของบุรุษ “ไหนลองเล่ามาซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น พันแสง”

คนถูกถามเอาแต่เงียบ แถมจ้องหน้านายอำเภอตอบ

“เกิดอะหยัง เล่าหื้อนายอำเภอฟังเหียพันแสง” คำแก้วขอร้อง

หนุ่มลึกลับยังไม่ตอบ จนสาวกรุงทนไม่ไหว ขออธิบายแทน “คือหนูกับบัวชุมออกไปเดินเล่น จนไปเจอกับพันแสงที่ลำธาร แต่แล้วก็มีหมาป่าบุกเข้ามา พันแสงจึงช่วยไว้ ส่วนบัวชุมอยู่ๆ ดีๆ ก็เกิดลุกขึ้นมาฟ้อนและกระโดด เหมือนจะเข้ามากัด พันแสงจึงทำให้เธอสงบ”

“ลูกฮาเป็นอะหยัง ถ้าคิงบ่บอก ฮาจะยิงหัวคิง” ทองทนไม่ไหว หยิบปืนลูกซองที่พกลงเรือนมาเล็งไปที่หัว ทว่าพันแสงก็ไม่มีท่าทีสะดุ้งกลัว

“บัวชุมขวัญอ่อน มีผีเร่ร่อนแถวนั้นเข้าสิง ข้าเลยไล่มันไป” ในที่สุดพันแสงก็ปริปาก

“ห้ามมายุ่งก็ลูกฮาแหม” ทองตะโกนลั่น จนกระทั่งสาวน้อยสะดุ้งเฮือกใหญ่และลืมตาขึ้น

“อี่แม่ข้าเป็นอะหยัง”

คำแก้วรีบกอดประโลม ทองปรี่เข้าไปหา

“บัวชุม สูเจ็บตรงไหนก่อ” บิดาถามย้ำอยู่อย่างนั้น แต่สาวน้อยก็ยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไร

ครรชิตค่อยโล่งใจ หันไปมองลูกสาวตัวดีอย่างไม่พอใจนัก

“แล้วค่ำมืดอย่างนี้ ออกไปไหนมา” เสียงแข็งนั้นไม่ได้ทำให้ยุวดีกลัวสักนิด

“พ่อไม่ต้องห่วงหรอกน่า ก็เห็นอยู่ว่าไม่มีใครเป็นอะไร พันแสงช่วยพวกหนูได้ ใช่ไหมพันแสง…” หันไปทางหนุ่มหล่อเพื่อหาพวก แต่ก็ไม่เห็นเงาชายหนุ่มแล้ว…

“เห็นหรือยังท่านนายอำเภอ ไอ้พันแสงมันหายตัวไปมาได้อย่างกับผี แถมพูดจาก็เหมือนกับคนบ้าใบ้ บ้านดงหลวงที่เคยสงบสุข มีเรื่องแปลกขึ้นทุกที ผมถึงไม่อยากให้คุณยุวดีไปยุ่งกับมัน” ทองระบายด้วยความหนักใจ

“ฉันเข้าใจ” นายอำเภอหันไปมองหน้าลูกสาว “ได้ยินแล้วใช่ไหมยุวดี ช่วยทำตามที่ผู้ใหญ่บ้านเขาเป็นห่วงหน่อย นี่ไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นมารยาทที่ควรสำนึก หวังว่าผู้ดีจากบางกอกคงจะมี”

คำประชดประชันจากบิดาทำเอาสาวกรุงตัวสั่นด้วยความโกรธจนสะบัดหน้าหนีขึ้นเรือน

“มีอะหยังกันกา ป้อหลวง” เสียงทุ้มดังขึ้น แต่ก็พอให้ทุกคนค่อยอุ่นใจ เมื่อเจ้าอาวาสเดินเข้ามากลางวงสนทนา หลังจากมีคนไปเรียกให้ตื่นกลางดึกว่ามีเรื่องร้อนเรื่องร้ายที่บ้านพ่อหลวง

“ไอ้พันแสงตุ๊ปู่ มันทำอะหยังบะฮู้หื้อลูกข้าจนเป็นลมเป็นแล้ง” ทองยังเชื่อว่าเป็นฝีมือของหนุ่มแปลกหน้า

“ข้าเจ้าตวยคุณยุวดี ไปหาอ้ายพันแสงที่บ้าน ระหว่างที่กำลังหลบ ในพุ่มไม้ หลังจากนั้นก่อจำบะได้เลยเจ้า” สาวน้อยเอ่ยตามจริง

“พันแสงบอกว่ามีผีเร่ร่อนมันไปเข้าร่างบัวชุม” คำแก้วเล่าบ้าง

“ดูเอาเต๊อะตุ๊ปู่ บ้านดงหลวงอยู่กันมาเมินด้วยความผาสุก พอไอ้พันแสงมันเข้ามา มีแต่เรื่องฮ้อนฮ้าย เหมือนคาถากันภัยของหมู่บ้านพังไปหมด บ่ไหวละเน้อ ข้าจะไล่มันออกจากหมู่บ้านไปเสีย” ผู้ใหญ่บ้านยื่นคำขาด

“ไป คำแก้วไปเตรียมสวยดอกข้าวตอก แป๋งดาบอกผีปู่ย่า เจ้าที่เจ้าทาง หอพ่อบ้าน ขอสูมาที่หมู่เฮาได้ล่วงล้ำ วันพรุ่งมันวันศีลข้ากั๋วว่าจะบ่ทันการ”

คำแก้วพาบัวชุมจากไปอย่างเงียบๆ เพื่อทำตามคำสั่งของสามี

“จะว่าไปแล้ว พันแสงมันก่อบ่ได้ยุ่งกับไผนะ มีแต่คนเฮานั่นแหละ ไปยุ่งกับมัน” เจ้าอาวาสพยายามแก้ต่างให้

“แต่มันคือตัวขึดตัวจา ถึงมันอยู่ แหมบ่เมิน มันก่อคงเกิดเรื่องบ่ดีขึ้นแหม เรื่องนี้ปล่อยเป็นเรื่องของฆราวาสเต๊อะ ตุ๊พระขอบ่ต้องมายุ่ง”

เจอพ่อหลวงบ้านมาไม้นี้ จะให้เอ่ยอะไรต่อก็คงเกินกิจของสงฆ์ หลวงปู่จึงได้แต่เดินกลับวัดเสีย

“ฉันเห็นด้วยนะทอง ที่จะไล่ให้ผู้ชายคนนั้นให้พ้นเสีย” นายอำเภอเดินเข้าไปตบบ่า “แต่วันพรุ่งนี้มีงานบุญ ชาวบ้านต้องทำบุญทำทาน ให้เป็นหลังงานเสร็จดีมั้ย”

เริ่มมีคนเห็นด้วย เพราะว่าตอนนี้ก็เวลาดึกมากแล้ว

“อย่างน้อยก็ให้พันแสงได้ทำบุญที่บ้านดงหลวงเป็นครั้งสุดท้าย ถือว่าฉันขอละกันนะ”

แม้จะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่เมื่อผู้ใหญ่ที่เป็นนายขอมาขนาดนี้ พ่อหลวงทองจึงจำเป็นต้องรับปาก

‘ไอ้พันแสง พรุ่งนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่มึงจะได้อยู่ในบ้านดงหลวง ข้าเหลืออดมาเมินแล้ว…’

บนเรือนของพ่อหลวงทอง คำแก้วและเหล่าผู้หญิงคนอื่นๆ ต่างสาละวนช่วยกันหาของมันจัดเป็นสะตวง (1) เครื่องเซ่น แล้วนำไปใส่บนพาน ก่อนจะจูงแขนคำแก้วไปยังหิ้งบูชาในห้อง

“ไหวก่อลูก” คนเป็นแม่ยังเป็นห่วง กลัวว่าลูกจะเป็นลมไปอีก

“ข้าเจ้าบ่เป็นหยัง” บัวชุมยืนยัน คำแก้วเลยให้ลูกนั่งพนมมือไหว้ผีปู่ย่าบรรพบุรุษ ให้ช่วยปกปักรักษา อย่าให้เกิดอาเพศอันใดต่อ

ยุวดีนั่งกอดอกแลตามองด้วยความสงสัย เมื่อเห็นคำแก้วและบัวชุมออกจากห้องนอนมาจึงเอ่ยถาม

“ทำอะไรกันเหรอ”

“เฮาขอสูมาผีปู่ย่า บางทีคนเฮาอาจจะได้ล่วงเกินโดยบ่ได้ตั้งใจ ขอหื้อเปิ้นหื้ออภัย” คำแก้วอธิบาย

“หมายถึงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ มีบางคนไปลบหลู่ผีบรรพบุรุษอย่างนั้นน่ะเหรอ”

“มันก่อบ่แน่ แต่หมู่เฮาทำเพื่อความสบายใจเจ้า”

คราวนี้สาวกรุงหัวเราะออกมาอย่างเสียมารยาท “พวกเธอกำลังคิดว่า สิ่งที่เจอมันเป็นเรื่องผีสินะ”

“ก่อคุณยุวดีก่อหันบ่แม่นกา ว่าอยู่ดีๆ บัวชุมก่อโดนผีเข้าแล้วสลบไป” คำแก้วแย้ง

“ขอโทษนะ ฉันอยู่ในเหตุการณ์ มีหมาป่าบุกเข้ามาจะกัดพวกเรา และอยู่ดีๆ  บัวชุมก็เป็นบ้าลุกขึ้นฟ้อนรำ คงอยากเรียกร้องความสนใจจากพันแสงมากกว่า” ยุวดียิ้มเยาะแลตาไปยังสาวน้อย “เธอก็แอบชอบเขาอยู่ใช่ไหมล่า”

“ข้าเจ้าบ่ได้กึ๊ดจะอั้น” บัวชุมเหันไปอธิบายให้มารดาฟังเกรงว่าจะเข้าใจผิด “ข้าเจ้าบ่ฮู้สึกตัวแต้ๆ นาอี่แม่”

“จะเป็นไปได้ยังไง คนไม่รู้สึกตัวจะฟ้อนจะกระโดดได้สูงขนาดนั้น พวกเธอในหมู่บ้านนี้แข็งแรงดีกันจัง” กรองยังไม่เชื่อ

บัวชุมเม้มริมฝีปาก แววตาไม่ยอม “ท่าจะแม่นแล้วเจ้า เรื่องทั้งหมดบ่แม่นผีบ่แม่สาง แต่เป็นเพราะแม่ญิงคนหนึ่งที่ทำตัวหลึ่ง บ่ยอมหลับยอมนอน แฮ่นจะไปหาป้อจาย จนข้าเจ้าได้ตวยไปเป็นคู่”

เมื่อถูกย้อนสาวต่างถิ่นผู้สูงส่งก็รู้สึกชาทั่วใบหน้า “นี่เธอ กล้าดียังไงมาย้อนฉัน” ยุวดีมองเอาเรื่อง

“สูมาเต๊อะเจ้าคุณยุวดี บัวชุมขอโทษคุณยุวดีเสีย” คำแก้วสะกิดลูกสาวที่ทำตัวไม่งามใส่แขก บัวชุมตั้งสติ ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้

ยุวดีแบะปากเชิดหน้า “อย่ามาทำเป็นฉลาด แค่เห็นพวกเธอบูชาผีแล้วก็ช่างสมเพศ อย่างว่า บ้านดงหลวงช่างเป็นบ้านป่าไร้การศึกษา มิน่าสาวเหนือถึงโดนหลอกอยู่บ่อยๆ”

“คุณยุวดีเจ้า ข้าเจ้าขอสูมาแล้ว แต่อยากหื้อฮู้แหมหน่อยเน้อเจ้าว่า แม้เฮาจะเป็นบ้านนอกคอกนา การกราบไหว้ผี บางทีบ่ได้หมายถึงผีโดยตรง แต่เป็นการกราบไหว้หื้อเกียรติบรรพบุรุษ หื้อเกียรติรากเหง้าของตัวเก่า คุณยุวดีอาจจะเข้าใจว่า แม่หญิงคนเหนือเป็นแค่คนง่าวหื้อป้อจายมาจุ๊มาหลอก เข้าใจผิดแล้วเจ้า อันนั้นมันแค่ในหนังในละครที่เคยหัน เฮาเองก่อมีหน้าที่ มีความรับผิดชอบในสังคม อย่างการบอกหื้อผีปู่ผีย่า ก่อเป็นหน้าที่ที่แม่หญิงเต๊าอั้นที่ทำได้ แล้วคุณยุวดีลอเจ้า อยู่ที่เมืองกอก นอกจากแต่งหน้างามแล้ว เคยได้ทำหน้าที่อะหยังสำคัญจะอี้ก่อ หรือบ่มี”

เจ็บ…ยิ่งกว่าบัวชุมเดินเข้ามาตบหน้าฉาดใหญ่ ยุวดีไม่ทันได้เถียง บัวชุมก็ยกมือไหว้สูมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินหนีเข้าห้องไป

สาวกรุงกำมือแน่น อยากจะกรีดร้องทั่วบ้านแต่ก็ต้องข่มใจ

ในห้องนอน บัวชุมนอนหันหน้าเข้าฝาบ้าน ไม่ปริปากอะไรอีก ส่วนยุวดีพลิกตัวไปมา ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมาหมาดๆ  บ้านดงหลวงเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้าย แถมนางเด็กบัวชุมยังสร้างเรื่องปั่นหัว คิดแล้วก็อยากลุกไปกระชากมาตบสักฉาดสองฉาด กระทั่งภาพของบุรุษหนุ่มที่นั่งดีดพิณที่ริมธาร อารมณ์ขุ่นมัวก็แจ่มใส่เหมือนจันทร์บนฟ้า

ใช่…เมื่อกี้เขาคุยกับเธอ และยังกอดเธอไว้ในอ้อมอก บ้าจริง…ทำไมเธอถึงหลงเสน่ห์ผู้ชายแบบนั้น พันแสงไม่เห็นมีอะไรดี ก็แค่ รูปหล่อ กล้ามใหญ่ และไม่พูดมาก เหมาะสำหรับเสือสาวอย่างเธอ การล่าคือความท้าท้าย และเขาก็คือเหยื่อ คอยดู…

 

พันแสงเดินเข้าบ้าน เห็นผู้เฒ่าสองคนนั่งรออยู่ที่แคร่ไม้ตัวเดิม สีหน้าไม่สู้ดีนัก

“พันแสงเป็นจะใดพ่อง” คำป้อถาม

ชายหนุ่มหันหน้าไปทางชายชรา “ป้อเฒ่า ข้าสูมาตวยที่ทำพิณเปี๊ยะของท่านหัก” เขายังห่วงที่ทำเครื่องดนตรีของจันทร์เสียหาย

จันทร์ส่ายหัว “จ๊างมันเต๊อะ ของมันหลุมันแหลว ยังแป๋งยังหาใหม่ได้ ข้าสองคนเป็นห่วงสูมากกว่า”

เสียงที่ดังจากริมธารทำให้สองเฒ่าต้องลงเรือนมาดู จึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทันที

“ลูกนายอำเภอและบัวชุมมาหาข้าที่ริมน้ำ อยู่ๆ ก่อมีหมาผีบุกเข้ามา แล้วบัวชุมก่อเหมือนผีเข้า ข้าเลยไล่มันออกไปจนบัวชุมสลบ”

“ป้อหลวงเปิ้นว่าจะใดพ่อง” คำป้อถาม

“บ่พอใจ บอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะข้า คงบ่อยากหื้อข้าอยู่ที่นี่แล้ว”

“สูบ่ต้องฟัง ป้อหลวงบ่ได้เซาะข้าวหื้อสูกิน” ชายชราพยายามปลอบ

“ช่างมันเต๊อะ พ่อเฒ่า ถ้าหากพ่อหลวงเปิ้นบ่อยากหื้ออยู่ ก่อปล่อยหื้อข้าได้เดินทางไปหาชีวิตแต้ๆ ของข้าเต๊อะ อยู่ในที่ที่บ่มีไผหันค่า ข้าก่อบ่ฮู้จะอยู่ไปยะหยัง เฮาควรจะอยู่ในที่ที่มีตัวตนมากกว่า” พันแสงปลงแล้ว บางทีเขาอาจจะเดินเข้าป่า หายไปจากบ้านดงหลวงเสีย แม้จันทร์กับคำป้อจะเตือนเสมอว่ามันอันตราย

“แล้วแต่สูจะตัดสินใจเอาละกันเน้อ ข้าเองก่อหวังว่าสักวัน สูจะจำตัวเก่าได้ และปิ๊กไปหาครอบครัวแต้ๆ เหีย ข้าสองคนก่อขอหื้อสูโชคดี”

พันแสงทรุดตัวลง ยกมือไหว้สาผู้เฒ่าทั้งสอง…

“ข้าจะอยู่ร่วมบุญกับคนบ้านดงหลวง วันพรุ่งเป็นวันสุดท้าย”

 

ฟ้าฟากตะวันออกยังไม่สว่าง เพราะตะวันยังหลบอยู่หลังดอย แต่คนบ้านดงหลวงต่างลุกนึ่งข้าวก่อไฟแล้ว วันนี้เป็นวันศีล และยังเป็นวันงานบุญปอยหลวงอีกด้วย ทุกอย่างจึงต้องเริ่มต้นเร็วกว่าวันปกติ

ไก่ตัวผู้โก่งคอขันเหนือหลังคากระท่อมตองตึง ส่วนตัวเมียนำลูกอออกจากเล้าเดินคุ้ยเขี่ยอาหารที่กลางถนน ก่อนจะร้องเตือนให้ลูกน้อยคอยหลบผู้คนที่กำลังเดินทางไปมา

ผู้เฒ่าผู้แก่นุ่งผ้าขาวถือขันเดินมุ่งหน้าไปยังวัด แสงตะเกียงส่องแสงวับแวม คนหนุ่มคนสาวทยอยเข้าช่วยกันทำความสะอาดบนวิหารรวมไปถึงลานกลางข่วง ชาวบ้านดงหลวงมีอยู่ไม่ถึงร้อยหลังคาเรือนและทุกคนต่างรู้จักกันหมด

ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี บัวชุมแต่งตัวงามเคียงคู่กับเพื่อนวัยเดียวกัน คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้กับคนที่มาทำบุญ โดยเฉพาะอาคันตุกะสำคัญของบิดาอย่างนายอำเภอครรชิต

เขาสวมชุดสีกากีเต็มยศ เคียงข้างกับลูกสาวที่สวมชุดเดรสสีชมพูสดใสเป็นที่สะดุดตาต่อคนทั้งงาน พ่อหลวงทองพาเขาเข้าไปนั่งในวิหาร ตรงจุดของประธานในพิธีเพื่อเริ่มพิธีทางศาสนา

ตลอดทั้งวัน มีมหรสพบันเทิงให้ชาวบ้านได้รื่นเริง และเย็นนี้ พ่อหลวงประกาศก้องว่า จะมีการแข่งขันชกมวยคาดเชือกบริเวณข่วงลานวัด และมีการแข่งขันบอกไฟดอกอีกด้วย

ทุกคนมีความสุข อยากให้ถึงคืนนี้เร็วๆ ผิดกับชายคนที่ซ่อนตัวอยู่หลังวิหาร ใจหายอยู่ครามครันที่หลังจากคืนนี้ เขาคงต้องเดินทางอย่างโดดเดี่ยว

“พันแสง” เจ้าอาวาสเดินเข้ามาหา หลังเห็นเขามีสีหน้าหม่นหมอง

“ข้ามาลาตุ๊ปู่”

พระชราส่งยิ้มให้

“มีอะหยังกาตุ๊ปู่”

“สูบ่ถ้าเป็นกำกึ๊ดอะหยังพันแสง จะใดเสียสูก่อตึงบ่ตกยาก ดูวาสนาสูแล้วจะได้เป็นเจ้าใหญ่นายโต”

“แต่ข้าจำอะหยังบ่ได้เลย ข้าบ่ฮู้ว่าจะไปตางไหน” พันแสงเอ่ยอย่างคนสิ้นหนทาง

“คนดีอยู่ไหนก่อตึงรอด สูเป็นคนดี แถมยังมีวิชาอาคมที่ติดตัวมา ยังได สูก่อตึงปลอดภัย”

 

ฟ้ามืดแล้ว เหมือนมีคนเอาผ้าดำมาปูทาบทับ ไม่นานดวงแก้วสีขาวก็ลอยแขวน คืนจันทร์เพ็ญ รัศมีแก้วดวงขาวฟุ้งชวนหลงใหล เสียงงานรื่นเริงดังเข้ามาถึงท้ายหมู่บ้าน จันทร์และคำป้อ นั่งที่แคร่ไม้ตัวเดิม ในใจไม่นึกอยากจะไปเที่ยว สายตาจดจ้องไปที่กระท่อมเล็กข้างบ้าน ไม่นาน พันแสงก็ปรากฏตัวออกมา

“ข้าจะมาลาพ่อเฒ่าแม่เฒ่าก่อน วันพรุ่ง ข้าจะไปแต่เช้ามืด” ชายหนุ่มเอ่ย

“แล้วสูจะไปตังใด” คำป้อเสียงสั่น ยังเป็นห่วงเพราะชายหนุ่มยังจำอะไรไม่ได้

“ข้าว่าจะเข้าป่าตางเหนือ คงจะอยู่เงียบๆ คนเดียวที่นั่น จนกว่าจะจำอะหยังได้ หรือถ้าจำบ่ได้ ก่อคงเซาะว่าหากินตัวคนเดียวไปเหีย” พันแสงตอบ

คำป้อปาดน้ำตา

“ป่าตางเหนือมันอันตรายนัก มันติดกับป่าสวรรค์ ร่ำลือว่าไผเข้าไปแล้วจะออกมาบ่ได้ สูยังจะไปอยู่กา” จันทร์แย้ง เขาเคยห้ามความคิดนี้กับพันแสงไปแล้ว ‘ป่าสวรรค์’ ดินแดนที่ไม่มีใครไปถึง ถ้าหลงเข้าไป ก็ไม่สามารถออกมาได้ เทวดา ผี หรือสัตว์ร้ายต่างอยู่ด้วยกันที่นั่น

“ในป่าสวรรค์ คงปลอดภัยกว่าอยู่ที่นี่ บ่มีอะหยังน่ากลัวเท่าจิตใจของคน ตุ๊ปู่เคยบอกข้า”

“ถ้าจะอั้นข้าว่าสูลองไปหาแม่เฒ่าลัวะ ที่ดอยยอดดาวเต๊อะ” จู่ๆ จันทร์ก็โพล่งออกมา

“ไผคือแม่เฒ่าลัวะ” ชายหนุ่มสงสัย หากแต่คำป้อกับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“มันบ่มีอะหยังต้องเสียแล้วสู” จันทร์จับมือภรรยา “หากพันแสงจะเข้าไปทางป่าสวรรค์จริงๆ การได้ไปหาแม่เฒ่าลัวะ อาจจะทำหื้อจำความอะหยังได้”

พันแสงแววตาสั่นระริก เรื่องนี้เหตุใดสองคนแก่ไม่เคยบอกเขา

“ข้าบอกสูช้าไปหน่อย แต่มันเป็นทางเลือกสุดท้าย” จันทร์ถอนหายใจหันมาสบตาคนหลงทาง “ก่อนจะถึงชายป่าสวรรค์ มันมีดอยสูงเปียงฟ้า ชื่อดอยยอดดาว บนนั้นจะมีนางหมอเมื่อที่หยั่งรู้ฟ้าดิน หื้อสูลองไปถาม ว่าสูเป็นไผ ลุกตังใดมา”

“แต่ทางไปนั้นมันแสนอันตรายนัก ข้าเลยบ่บอกเรื่องนี้หื้อ แต่หากวันนี้สูยืนยันจะไป แม่เฒ่าลัวะอาจจะช่วยสูตามหาความจริงได้” คำป้อถอนหายใจ

พันแสงรู้สึกเหมือนเห็นดาวนำทางในคืนเดือนดับ “ข้ายินดีขนาด พ่อเฒ่า แม่เฒ่า”

“แต่นางหมอเมื่อจะดูเมื่อหื้อเฉพาะป้อจายเต๊าอั้น และจะหื้อถามได้แค่ครั้งเดียว” จันทร์ย้ำ

“แล้วมันต้องการเงินทองก่อ”

คราวนี้สองคนชราเงียบพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปาก “มันบ่ต้องการเงินทอง ค่าทำนายก็แล้วแต่มันจะขอ บางเตื้อมันก่อขอแค่หวีอันเดียว แต่บางเตื้อมันอาจจะอยากได้ชีวิตคนถาม สูต้องทำหื้อมันพอใจเน้อ”

ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ “ยินดีจ๊าดนักที่เป็นห่วงข้า”

จันทร์และคำป้อถอนหายใจ “ถ้าจะอั้นวันพรุ่ง สูก่อเดินทางตอนเช้ามืดเลยเน้อ บ่ต้องมาลา ข้าบ่อยากเห็นหน้าสูหื้อกึ๊ดเติงแหม” คำป้อเสียงสั่น แม้จะอยู่ด้วยกันไม่นานแต่ก็ยังรักเหมือนลูกหลานแท้ๆ

“แล้วข้าจะปิ๊กมาหาแอ่วหาเน้อ”

ระหว่างนั้นเอง บรรยากาศรอบตัวก็ดูแปลกไป จนพันแสงรู้สึก เขาแหงนมองดูบนฟ้า ดวงเดือนที่เคยสดใสเมื่อครู่ บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

จันทร์แหงนหน้ามองตาม ชายชรารีบลุกขึ้น และเดินสำรวจรอบๆ บ้าน

ใบไม้ไม่ไหวติง หรีดหริ่งเรไรที่เคยร้องบัดนี้กลับเงียบ นกกลางคืนบนต้นไม้หนีหาย เหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ทุกอย่างเงียบสงบแม้แต่ลมก็ไม่พัด

คงเหลือแค่เพียงเสียงจากงานรื่นเริง…

“ข้ารู้สึกเหมือนจะมีลางร้าย” พันแสงเอ่ยเสียงเบา หันไปหยิบมีดดาบยาวออกมา ก่อนจะหันไปบอกสองผู้เฒ่า “ป้อเฒ่าแม่เฒ่าอยู่บนเฮือน ข้าจะออกไปดู ว่ามันเกิดอะหยัง”

จันทร์และคำป้อรีบหยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นเรือนและดับแสง สัญชาตญาณของคนหาของป่า…รู้ดีถึงภัยอันตรายที่กำลังก้าวเข้ามา

นายอำเภอและพ่อหลวง กำลังเชียร์มวยกันอย่างสนุก ยุวดีรู้สึกเบื่อ จึงขอตัวออกไปเดินเล่น ดอกไม้เพลิงส่งเสียงซู่ๆ ทะยานพ้นเหนือหลังคาวัด ชาวบ้านปรบมือชอบใจเมื่อมันพุ่งขึ้นสูง บางคนเข้าไปฟ้อนรำใกล้ๆ โดยไม่กลัวเกรง

ยุวดียิ้มมุมปาก ขบขันกับการกระทำของชาวบ้านป่า ก่อนจะเดินออกมาดูข้าวของที่นำมาวางขายแต่ก็ไม่คิดจะซื้อ เพราะคิดว่ามันสกปรก

“ถ้าบ่มีอะหยังน่าสนใจ ก่อขึ้นไปหลับได้เน้อเจ้า จะได้มีแฮงเดินทางปิ๊กบ้านในวันพรุ่งนี้” เสียงหนึ่งทักจนยุวดีต้องหันไปมอง บัวชุมนั่นเอง

“หึ” สาวกรุงยิ้มมุมปาก “ใครบอกว่าฉันจะกลับพรุ่งนี้”

“นายอำเภอเจ้า” บัวชุมตอบอย่างมั่นใจ

“ทำไมเรอะ ถ้าฉันไม่กลับ เธอจะแกล้งให้ผีเข้าเพื่อให้ฉันกลัวหรือไง” ยุวดีเชื่อว่าส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ประหลาดเป็นเพราะบัวชุมอยากให้เธอกลับไปเสีย

“ข้าเจ้าบ่ได้ว่างขนาดนั้นเจ้า ไหนจะต้องคอยช่วยแม่ต้อนรับแขก และต้องมาคอยผ่อคุณยุวดีแหม”

“ก็ช่วยไม่ได้ พ่อเธอเป็นลูกน้องพ่อฉัน ก็ต้องทำตามหน้าที่” ยุวดีกอดอก

“ทุกคนมีหน้าที่หมดเจ้า เหลือแต่คุณยุวดี”

เป็นอีกครั้งที่โดนเด็กเมื่อวานซืนเหน็บแนม ยุวดีไม่สนใจ เชิดหน้า เดินหนี

“คุณยุวดีจะไปไหน”

“ฉันก็อยากให้เธอทำหน้าที่ให้เต็มที่สิ แม่สาวเครือฟ้า” พูดจบ สาวกรุงก็หายไปในเงามืด

บัวชุมส่ายหัว หนักใจกับการเป็นคนดื้อดึงของยุวดีเสียเต็มประดา คิดผิดเหลือเกินที่เผลอไปรับแหวนทองของผู้หญิงคนนี้ เห็นท่าจะต้องเอาคืนให้เธอไปเสียพ้นๆ

พ่อหลวงทองหัวเราะชอบใจเมื่อนักมวยที่ตนออกแรงเชียร์ เตะก้านคออีกฝ่ายจนสลบ นายอำเภออุทานหัวเสีย เพราะงานนี้คงได้ควักเงินมาเสียพนันให้เจ้าบ้าน

“เป็นไงครับท่าน ผมบอกแล้วว่าไอ้คนผอมๆ มันมักจะแรงดี” ผู้ใหญ่บ้านได้ทีคุยทับ

“ก็ใครจะไปรู้ ว่ามันจะเก่งทางมวย นี่แล้วมีคู่ต่อไปอีกมั้ย จริงสิ ถ้าไอ้พันแสงอะไรนั่นมาขึ้นชกด้วย ฉันแทงหมดตัวเลยนะ”

พูดชื่อนี้ขึ้นมา พ่อหลวงบ้านก็อารมณ์เสีย แต่ก็แสดงออกมากไม่ได้ “มันไม่มาหรอกครับนาย คนประหลาดพันนั้น”

ทันใดนั้นเอง ทั่วงานก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เกิดลมพัดแรงจนใบไม้ปลิวว่อน ตุงริมรั้วปลิวสะบัด บางอันหลุดขาดลอยขึ้นฟ้า โคมไฟที่ตั้งเรียงรายสั่นตามแรง ไม่นานก็ดับ ทั้งงานมืดสนิทจนเห็นว่าพระจันทร์บนฟ้าเป็นสีแดง

“เกิดอะไรขึ้นวะทอง” นายอำเภอเหลียวซ้ายแลขวา แปลกใจไม่แพ้คนอื่นๆ

เสียงผู้คนจับกลุ่มคุยกัน แต่หูของพ่อหลวงบ้านกลับได้ยินเสียงหนึ่งลอยมากับลม เสียงมันดัง….เช่นสัตว์ร้ายคำราม ทองเหงื่อตก หันไปสั่งการกับลูกน้อง

“งานเลิกแล้ว บอกหื้อทุกคนขะใจ๋ปิ๊กบ้าน”

“มีอะไร” นายอำเภอยังคงสงสัย

“ผมว่าน่าจะมีเรื่องไม่ดีแล้วนาย รีบกลับไปที่เรือนก่อนดีกว่า”

“เดี๋ยว เรื่องไม่ดี เรื่องไม่ดีอะไร”

“โฮกกก!…” เสียงคำรามเริ่มดังชัดขึ้น แม้แต่ครรชิตก็ได้ยิน

“ทอง ฉันได้เสียง เหมือน…”

“เร็วเข้านาย รีบขึ้นเรือนก่อน” ทองจับแขนนายอำเภอ และตะโกนบอกทุกคนให้แยกย้าย ลูกน้องของเขารีบเข้ามาคุ้มครองและพาครรชิตฝ่าแรงลมขึ้นเรือนอย่างปลอดภัย นายอำเภอพยายามเพ่งมองสถานการณ์ทางนอกหน้าต่าง ที่วัดยังคงมืด ลมแรงขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก หน้าต่างบ้านเปิดปิด ข้าวของล้มระเนระนาด ทองจุดคบไฟอย่างยากเย็น ต้องเพิ่มน้ำมันให้มันเปียก

“ทอง ยุวดีกับบัวชุมล่ะ ยังไม่เข้ามาเลย” นายอำเภอเริ่มเป็นห่วงลูกสาว

“เดี๋ยวผมกับลูกน้องจะออกไปตามหา นายอยู่ที่นี่กับคำแก้วก่อนนะ”

ยังไม่ทันได้ก้าวเท้า เสียงคำรามก็ดังอีกครั้ง

“โฮกกก”

ทุกคนมองกันหน้าซีดเผือด ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง

“กรี๊ด!…”

ทองไม่รอช้า ขึ้นไปคว้าปืนลูกซองบนเรือนพร้อมกับลูกน้อง ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปบริเวณวัด

ครรชิตจับต้นชนปลายไม่ถูก เพ่งมองเข้าไปในความมืดและลมแรง เห็นคบไฟแกว่งวูบวาบไปมา ผู้เสียงคนตกใจอลหม่านแต่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์ กระทั่งมีชายวิ่งเข้ามาใกล้บ้านกรีดร้องเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือด

“พ่อหลวง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” เขาตะโกน

ครรชิต ถือตะเกียงน้ำมันลงไปพร้อมกับคำแก้ว

“ป้อหลวงเข้าไปในวัด มีอะหยังกาไอ่คำปุน”

ดวงตาของเขาเบิกโพลง ตัวสั่นเหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง เสื้อผ้าฉีดขาดเหมือนถูกดึงรั้งอย่างแรง

“เสือ…เสือเป็นร้อย ล้อมหมู่บ้านเฮาไปหมด…”

คำแก้วยกมือขึ้นกุมปาก ครรชิตตาเบิกโพลง แทบไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเรื่องจริง

 

เชิงอรรถ : 

(1) เครื่องทำพิธีกรรมในล้านนา ทำจากกาบกล้วยพันเป็นรูปสี่เหลี่ยม ใช้ตอกและใบตองรองพื้น สำหรับใส่เครื่องเซ่นไหว้เทวดา รวมไปถึงผีต่างๆ



Don`t copy text!