พันเพลงพิณ บทที่ 2 : คนหลงทาง

พันเพลงพิณ บทที่ 2 : คนหลงทาง

โดย : หัสวีร์

Loading

พันเพลงพิณ โดย หัสวีร์ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์  ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถซื้อได้ที่่สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ค่ะ

****************************

– 2 –

ดงป่าเหนือชายคา ไก่ป่าโก่งคอขันก้อง ไม่นานตัวอื่นๆ ก็ขานรับปลุกทุกชีวิตให้เริ่มต้น แต่ที่ทำให้พ่อเฒ่า ‘จันทร์’ ต้องลืมตาตื่น กลับเป็นเสียงโครมครามที่มาจากฝั่งเตาไฟ

ตั้งสติ คิดได้ว่าคงเป็นเมียรักกำลังเตรียมนึ่งข้าว พลิกตัวหันมองไปที่หน้าต่าง เห็นแสงเรื่อเรืองที่ขอบฟ้า จึงดันตัวเองให้ลุกจากที่นอน

“ข้าเสียหม้อตก สูมาตวย” ‘คำป้อ’ เอ่ยอย่างเกรงใจที่ทำให้สามีตื่นก่อนเวลาปกติ

“หน้าแล้ง มันแจ้งเวย บ่ตื่นก่อจำเป็นต้องตื่น” ร่างใหญ่เดินอุ้ยอ้ายไปยังชานเรือนเพื่อล้างหน้าล้างตา อากาศยามเช้าสดใส แสงสว่างเริ่มเห็นแผ่นดินลาย จันทร์ลงบันไดซี่สุดท้าย บิดขี้เกียจไล่เลือดไล่ลม ปีนี้เขาอายุเข้าหกสิบห้าแล้ว เรี่ยวแรงที่เคยมีหดหาย จะเดินเหินไปก็ลำบาก ไม่เหมือนยามหนุ่มที่ตัวเองกับเมียรักเดินบุกป่าฝ่าดงเป็นว่าเล่น

หยิบขันมาล้างหน้า น้ำเย็นโดนใบหน้าเหี่ยวๆ ทำตาสว่าง เมื่อตื่นเต็มตาจึงหันไปยังกระท่อมหลังเล็กที่ตั้งอยู่ติดกัน พลันก็มีใครคนหนึ่งเดินออกมา เป็นหนุ่มร่างใหญ่รูปงาม

“จะไปไหนแต่เจ๊า พันแสง” ผู้เฒ่าถาม ‘พันแสง’ นุ่งเสื้อม่อฮ่อมตัวเก่าสะพายย่าม เหมือนมีกิจธุระบางอย่าง

“ตะคืนตุ๊ปู่ ขอข้าหื้อไปช่วยเพี้ยวถางป่าเหนือวัด” ตาชั้นเดียวเรียวเล็กมองมาเหมือนมีความลับมากมาย

จันทร์พยักหน้า “ฝากไหว้สาตุ๊ปู่ตวย อ้อ แล้วสูก่อบะต้องไปสุงสิงกับไผเน้อ ข้ากลัวว่าป้อหลวงทองเปิ้นจะบ่พอใจ”

พันแสงรับคำ ก่อนจะเดินออกจากไป สักพักหญิงชราก็เดินลงจากเรือนมา

“พันแสงมันไปไหน”

“ไปช่วยเพี้ยวป่าหื้อตุ๊ปู่ที่วัด”

สีหน้าของคำป้อดูวิตก

“ข้าเตือนมันแล้ว ว่าบ่ต้องไปยุ่งกับไผ” จันทร์เอ่ยเพราะรู้สิ่งที่เมียรักกำลังกังวลดี

“ข้าบ่เข้าใจป้อหลวงทอง พันแสงมันก่อแค่คนหลงทาง จำความอะหยังบะได้ ยะหยังถึงได้จงเกลียดจงชังมันนัก” คำป้อเดินไปวางกระด้งตากพริกบนหลังคา

จันทร์ถอนหายใจ “พ่อหลวงทองเปิ้นถือ หากไผจะเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ต้องมีพิธีมัดมือฮ้องขวัญ”

ธรรมเนียมที่ผู้นำหมู่บ้านทุกรุ่นยึดมั่น ใครจะเข้ามาดงหลวง พ่อหลวงบ้านต้องรับทราบและผ่านซุ้มประตูหมู่บ้านอย่างถูกต้อง ซึ่งมิใช่กับพันแสง เขาคือคนแปลกหน้า ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า หลงทางเข้ามาจากป่าตีนดอย

ไม่มีใครรู้ว่าพันแสงเป็นใคร แม้กระทั่งตัวของเขาเอง…

“ถ้าจะอั้น ก่อยังบ่ฮ้องพันแสงไปมัดมือเสีย” คำป้อย้อน

“พ่อหลวงบ่ไว้ใจพันแสง เพราะเป็นคนบ่มีหัวนอนปลายตีนแถมชอบทำตัวแปลกๆ” จันทร์เคยขอร้องให้พ่อหลวงทองทำพิธีมัดมือต้อนรับพันแสงตามรีตตามรอย แต่ผู้ใหญ่บ้านกลับบ่ายเบี่ยง หยามเหยียดว่าพันแสงเป็นแค่พวกปล่องต่องสู่ หรือคนป่าไร้อารยะหลงมา

“พ่อหลวงคงจะหันเฮาเป็นคนตุ๊กมากกว่า เลยบ่ยอมมัดมือหื้อพันแสงมัน ทีกับเจ้านายใหญ่โตจากในเมือง เลี้ยงเปิ้นจ๋นขี้ปุ๋มปอจะแตก” หญิงชราประชดประชันก่อนจะเดินขึ้นเรือนไปหุงหาอาหารต่อ

ชายชราหันไปมองแสงแรกของวันใหม่ส่องประกายทาบทาธรณี ทำให้นึกถึงเช้ามืดเมื่อห้าเดือนก่อน…

วันที่จันทร์และคำป้อ ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดเพื่อหาของป่าเหมือนเช่นทุกวัน ขณะกำลังเดินผ่านลำน้ำจะเข้าไปในดง จู่ๆ ท้องฟ้าที่มืดมิดก็สว่างโร่ ตรงโขดหินริมธาร มีแสงสีทองเหลืองอร่าม ส่องลงมายังร่างหนึ่งนอนสลบอยู่

ชายแปลกหน้าเนื้อตัวฟกช้ำและเต็มไปด้วยบาดแผล ที่ใหญ่ที่สุดคงจะเป็นแผลกลางหลัง สภาพเหมือนถูกพัดมาตามลำน้ำ ลองใช้มือแตะจมูกดูลมหายใจ ก็พบว่ายังมีชีวิต สองสามีภรรยาจึงช่วยพาเขามาพักฟื้นที่กระท่อม

เจ็ดวัน เจ็ดคืน ที่คนแปลกหน้าเอาแต่นอนตัวสั่น ต้องห่มผ้าและเช็ดตัวให้ ส่วนแผลด้านหลังก็ใช้ยาสมุนไพรประคบ บางคืนก็นอนละเมอเพ้อเสียงดัง จับใจความได้เพียงว่า

‘เจ้านางหนี พาเจ้านางหนีไป!…’

จันทร์และคำป้อ รักษาตามอาการ ยกมือไหว้สา บอกผีปู่ผีย่า เทวาอารักษ์ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ

เออ…หนอ หากไอ้คนแปลกหน้ามันเป็นคนดี ยังมีบุญวาสนา ขอให้มันรอดตายเสีย…

วันที่แปดมันก็ลืมตาและเริ่มรู้สึกตัว ลองถามดูว่าสูเป็นใคร มาจากไหน มันกลับตอบไม่ได้ พยายามนึกเรื่องอะไร ก็เอาแต่บีบขมับและบอกว่าปวดหัว สองผู้เฒ่าจึงไม่ถามต่อ บอกให้มันอยู่ที่นี่ต่อ จนกว่าจะหายดี

‘ถ้าหากสูยังจำชื่อบ่ได้ ข้าก็จะฮ้องสูว่าพันแสง’ จันทร์เอ่ย

‘พันแสง…’ หนุ่มแปลกหน้าทวนคำเสียงแหบพร่า

‘แม่นแล้ว พันแสง ข้าตั้งชื่อตามที่ปะกับสูวันนั้น วันที่อยู่ดีๆ ดวงตะวันก่อส่องแสงไปที่สู’

‘ยินดีจ๊าดนักป้อเฒ่า’

คนแปลกหน้าจึงเป็นไอ้พันแสงของสองผู้เฒ่า และอาจจะเป็นผลบุญที่ทำมา อาการของเขาจึงหายเป็นปกติ พันแสงคืนรูปกลายเป็นหนุ่มร่างสูงใหญ่ แถมหน้าตาก็หล่อเหลาเอาการ แต่ก็ยังจำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้

‘คนหลงทาง’ ช่วยงานจันทร์และคำป้อได้มาก ทั้งทำนา เข้าป่าล่าสัตว์ รวมถึงสร้างบ้านหลังใหม่ให้สองเฒ่า รวมทั้งปลูกกระท่อมหลังเล็กๆ ให้ตัวเอง ทุกอย่างพันแสงทำได้เร็วเกินกว่าคนปกติ มีคนหวาดระแวงปนอิจฉา นำความไปบอกพ่อหลวงทอง ว่าบางทีพันแสงอาจจะนำความเลวร้ายมาสู่บ้านดงหลวง

ผู้นำหมู่บ้านจึงไม่ไว้ใจ มักจะหาเรื่องพันแสงเสมอ จันทร์จึงไม่อยากให้เขาไปสุงสิงกับใคร คงมีเพียงวัด ที่พันแสงมักเข้าไปช่วยงานหลวงปู่เสมอ จันทร์เชื่อว่าผลบุญจากการทำความดี อาจจะช่วยให้หนุ่มแปลกหน้าได้ความจำกลับคืน

ยุวดีบิดขี้เกียจอยู่บนฟูกนอน ลุกขึ้นนั่งงัวเงียสักพัก จึงรู้ว่าตนไม่ได้นอนสบายอยู่ในบ้านตัวเอง เธอกำลังอยู่บ้านดงหลวง บ้านป่าเมืองเถื่อนที่เธอไม่ชอบเลยสักนิด

ค่อยยังชั่วที่ผู้ใหญ่บ้านต้อนรับพวกเธออย่างดี อย่างห้องหับที่ให้เธอมานอนกับลูกสาวก็กว้างขวาง ฟูกนอนก็นุ่มสบาย ความเพลียจากการเดินทางทำให้ยุวดีหลับเป็นตาย

หญิงสาวนึกถึงเรื่องเมื่อคืน หลังจากไปเจอหนุ่มแปลกหน้าที่วัด พยายามถามหาความจริงจากบัวชุม แต่เด็กสาวกลับบอกว่า เธอน่าจะตาฝาด จะฝาดได้ยังไง คนหน้าตาดีแบบนั้นเธอจำได้แม่น นี่ถ้าได้พาเขาไปควงแขนเย้ยคนที่กรุงเทพฯ คงสะใจน่าดู

ทำกิจธุระส่วนตัวเสร็จ ยุวดีจึงลงจากเรือน พบว่าบิดากับครอบครัวผู้ใหญ่บ้าน กำลังตักบาตรพระพอดี

“พ่อก็ไม่กล้าปลุก กลัวลูกจะเพลียกับการเดินทาง มาใส่บาตรพระด้วยกันสิลูก” ครรชิตกวักมือเรียก ลูกสาวสงวนท่าทีก่อนจะเดินเข้าหา

บัวชุมสบตากับยุวดี พร้อมกับยื่นขันที่ใส่ดอกไม้ให้ สาวกรุงเชิดหน้ารับมาและนำดอกไม้ใส่ลงไปในบาตร

“เช้านี้มีอะหยังกันครับ ข้าได้ยินเสียงดังโครมครามจากในวัดตั้งแต่เช้า” พ่อหลวงทองถามหลวงปู่ เพราะบ้านอยู่ข้างเขตวัด ทำให้ได้ยินเสียงแปลกๆ ตั้งแต่ลืมตาบนที่นอน

“เขามาช่วยเพี้ยวป่าเหนือวัด ที่ว่าจะแป๋งหอไตรน่ากะ” ตุ๊ปู่เอ่ยตามตรง

ผู้ใหญ่บ้านชะงัก “ไผกาตุ๊ปู่ ข้ายังบ่ได้บอกหื้อไผมาช่วยเลย” ทองจำได้ว่าหลวงปู่อยากจะถางป่าเพื่อก่อสร้างหอเก็บพระไตรปิฎก ติดตรงที่ยังเป็นป่ารกชัฏ เคยรับปากว่าจะเกณฑ์คนมาช่วยแต่ก็ดันลืมทุกที

“ตะคืนไอ้พันแสงมันมาแอ่วหา มันอาสาว่าจะจัดการหื้อ”

พอได้ยินชื่อนี้ ผู้ใหญ่บ้านก็เริ่มหน้าตึง “ไอ้พันแสง ไอ้ปล่องต่องสู่นั้นนะกา ตุ๊ปู่ก่อฮู้ว่ามันเป็นคนขึดคนจาทำไมไปไว้ใจมัน”

ผู้ทรงศีลยังสงบนิ่ง “มันมาตั้งแต่ตีนฟ้ายก ล้มป่าคนเดียวได้เกือบไร่แล้ว ถ้าขืนรอป้อหลวง ข้ากั๋วบ่ทันได้หันหอไตร” คำประชดประชันของเจ้าอาวาสทำเณรน้อยที่เดินตามหลังหลุดหัวเราะ ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจไม่สบอารมณ์

“มีอะไรหรือเปล่าทอง” นายอำเภอถามหลังจากตักบาตรเสร็จ

“ก็เรื่องพระเรื่องเจ้านั่นแหละท่าน ยิ่งแก่ยิ่งดื้อ แกอยากสร้างหอไตร แต่ติดตรงที่ดินยังเป็นป่า ผมบอกว่าให้รอสักนิดจะหาคนมาถางป่าให้ แต่นี้กลับไปใช้ไอ้คนไร้สัญชาติที่ไหนไม่รู้มาทำแทน”

“ใครกัน”

“มันเพิ่งมาอยู่บ้านดงหลวงได้ไม่ถึงปี มีนิสัยประหลาดไม่สุงสิงกับใคร กับผมเจอกันมันยังไม่ทักไม่ทาย” ทองได้ทีฟ้อง

“แต่มันก่อช่วยงานวัดงานวาได้ดีนะสู หลังๆ ข้าว่ามันเป็นเรี่ยวเป็นแรงดีกว่าคนหนุ่มบ้านเฮาแหม หมู่นั้นขอมาช่วยการช่วยงานเมื่อไหร่ เอาแต่ถามหาเหล้าหายา” คำแก้วกลับยืนเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ชายในหมู่บ้านอาจจะมองว่าพันแสงประหลาด แต่ผู้หญิงกลับเห็นว่า หนุ่มหล่อแปลกหน้าช่วยเหลือการงานในหมู่บ้านได้ดีทีเดียว

“ป๊ะ! สูก็แหมคนละก้าที่ไปเมามัน” ทองหัวเสีย

“ก่อมันน่าเมาแต้เจ้าท่านนายอำเภอ ไอ้พันแสงอาจจะเป็นคนแปลกถิ่น แต่ทำงาน ปากบ่เคยจ่ม แถมรูปยังหล่อล่ำลือไปสามบ้านแปดบ้าน บ่เหมือนปู่เฒ่าหน้ามอด เยียะก๋านก่อบะเป็นเรื่อง แถมขี้จ่มแหมขนาด” คำแก้วนินทาสามีต่อหน้าจนทองเริ่มหัวเสีย

“มันบ่แม่นคนเมือง บ่แม่นคนไทย แล้วมันจะนำหายนะเข้าบ้านดงหลวง” พ่อหลวงยังยึดติดกับความเชื่อเก่าๆ “ปอเลยสู จะไปยะหยังก่อไปเต๊อะ ท่านนายอำเภอ ผมว่าเข้าไปในบ้านกินข้าวเช้ากันดีกว่า” ทองเดินนำครรชิตเข้าไปใต้ถุนบ้าน แถมยังโวยวายใส่เมียรักให้รีบยกสำรับมาให้นายตน

ยุวดีได้ยินทุกคำพูด เมื่อวงสนทนาแยกย้าย เธอก็รีบก้าวท้าวตามหลังบัวชุม

“นี่ บัวชุม”

เด็กสาวหันหน้ามามอง

“เป็นไปได้ไหมว่า…นายพันแสงอะไรเนี่ย จะเป็นคนเดียวกับที่ฉันเจอเมื่อคืน”

บัวชุมหลบตา ตอบตะกุกตะกัก “บะแม่นเจ้า อ้ายพันแสงเปิ้นบ่ไปไหนกลางค่ำกลางคืน คุณยุวดีคงตาฝาดแน่ๆ”

จะถามต่อ ลูกสาวผู้ใหญ่บ้านก็ถือขันหายไปแล้ว

เลยขึ้นไปทางรั้วทิศเหนือของวัดดงหลวง ไก่แม่เฒ่าตัวอ้วนคอยต้อนลูกเจี๊ยบออกหากิน บางเวลาก็ร้องกระต๊ากแผ่ปีกหาง เมื่อเห็นไอ้ด่างหมาวัดทำท่าจะเข้ามายุ่ง พอเห็นว่าไก่แม่ลูกอ่อนเอาจริง เจ้าสี่ขาจึงวิ่งหางจุกตูด

หลวงปู่ออกไปบิณฑบาตยังไม่กลับ พันแสงเร่งมือถางป่า เกรงว่าหากสายกว่านี้จะเริ่มมีคนมาที่วัดมากขึ้น เขาไม่อยากจะเสวนากับใครตามที่จันทร์และคำป้อเป็นห่วง

ร่างใหญ่ใช้มีดยาวฟันหญ้าที่คลุมดิน ก่อนจะใช้จอบถางซ้ำ เขาทำทุกอย่างได้รวดเร็วยิ่งกว่าแรงงานชายสามคนรวมกัน ขณะกำลังเหวี่ยงจอบขุดดึงเอารากวัชพืชออกมา สายตาก็สะดุดเข้ากับบางอย่าง พันแสงชะงักและก้มเก็บจากดินขึ้นมาดู มันมีลักษณะเป็นแท่งขนาดเล็ก ตรงปลายมีตุ๊กตาสำริดรูปสัตว์

ดวงตาชั้นเดียวพยายามพิศว่ามันคืออะไร ด้ามดาบ หรือกล้องยาสูบ และเมื่อยังหาคำตอบไม่ได้ จึงเก็บมันไว้ในย่าม เพื่อทำงานต่อ โดยที่ไม่รู้ว่ามันเรืองแสงอยู่ด้านใน…

ถางป่าได้เกือบหมด เหลือเพียงแต่ไม้สักต้นใหญ่ ลำต้นของมันสูงเกือบทะลุฟ้า คะเนว่าไม่ต่ำกว่ายี่สิบวา ความกว้างกว่าสี่คนโอบ ใหญ่ขนาดนี้คงต้องใช้คนไม่ต่ำกว่าสิบถึงจะล้มได้ แต่เวลานี้จะไปเรียกใครมาช่วยได้ มองดูอาวุธก็มีเพียงมีดยาวกับจอบ หากจะฟันคนเดียว คงเสียเวลาเป็นวัน คิดแล้วหงุดหงิดใจ หันซ้ายแลขวาจึงลองเหวี่ยงหมัดเข้ากลางลำต้น

“ตุ๊บ!”

นึกขำ แค่หมัดเดียว จะล้มมันได้อย่างไร…พันแสงส่ายหัว คิดว่าจะเก็บของกลับ คงต้องรอให้พ่อหลวงพาลูกน้องมาล้มมันเองดีกว่า ก้าวท้าวออกมาได้ไม่ถึงสิบก้าว ก็มีเสียงดังตามมาจากด้านหลัง เสียงเหมือนฟ้าคำรามและผ่าลงมา

“โครม!”

เหล่านกกาแตกตื่น บินหนีจ้าละหวั่น ลิงค่างในป่าร้องโหยหวย แม่ไก่พาลูกวิ่งหนีกระเจิง เจ้าด่างโผล่หน้าออกมาเห่าจากประตูวัด พันแสงเหลียวกลับไปมองก็พบว่า ต้นสักตรงหน้าล้มไปอีกทางแล้ว…

ชายหนุ่มตะลึงงัน เหลียวซ้ายและขวาก็ไม่เห็นว่าเป็นฝีมือผู้ใด นอกจากหมัดน้อยๆ ของกูนี่แล

“นายทำอะไร”

เสียงทักทำพันแสงชะงัก หันไปตามหา สตรีคนหนึ่งอยู่อยู่ทางซ้ายมือ แม่สาวแต่งตัวประหลาดที่เจอกันในวัดเมื่อคืนนั่นเอง คาดว่าคงจะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ชายหนุ่มไม่คิดจะเสวนา จึงเดินหนี

ยุวดีกำมือแน่น เป็นอีกครั้งที่เขาหันหลังให้ หญิงสาวรีบเดินไปขวางหน้า

“เมื่อคืนเราเจอกัน จำได้ไหม” ไม่ผิดแน่ หน้าตาแบบนี้ มีรอยสักที่ขา ซุ่มดูเขาอยู่นาน จนกระทั่งเห็นชายหนุ่ม ล้มต้นไม้สูงกว่าสิบเมตรด้วยมือเปล่า!

“ฉันถาม ก็ตอบสิ” ยุวดีหงุดหงิด

คนตัวโตหยุดนิ่ง สบตาสาวกรุง ดวงตาชั้นเดียวของเขาราวกับมีพลังอำนาจที่ดึงดูดเรี่ยวแรงและความมั่นใจของเธอไปเสียหมด

โดยเฉพาะหัวใจ ที่เต้นรัวแรง แต่กลับอ่อนไหว…

“ยุวดี มาทำอะไรตรงนี้” อยู่ๆ ก็มีเสียงเรียกจากด้านหลัง หญิงสาวหันไปมอง บิดากับผู้ใหญ่บ้านเดินมาพร้อมกับชายฉกรรจ์อีกสองสามคน

“หนูแค่มาเดินเล่น” เธอรีบตอบ

“แล้วคุยกับใคร พ่อเห็นหนูตะโกนเสียงดัง” ครรชิตชะเง้อมอง ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวเช้า ก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากจากเหนือวัด จึงชวนกันมาดู

“หนูก็คุยกับนายคนนี้ไงคะ” ยุวดีหันกลับมายังหนุ่มปริศนา ทว่าเขากลับหายไปแล้ว…

ทุกคนต่างทำหน้าสงสัย “เมื่อกี้เขายังอยู่ตรงนี้ คนที่ตัวล่ำๆ หน้าตาดีๆ เพิ่งจะโค่นต้นไม้ต้นนี้ด้วยมือเปล่า คุณพ่อเห็นไหมคะ”

นายอำเภอหัวเราะร่วน มองต้นไม้ใหญ่ที่ล้ม นี่คงเป็นต้นเหตุของเสียงที่ดังสนั่น

“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วลูก ต้นสักสูงใหญ่แบบนี้ต้องใช้คนเป็นสิบนู่นแน่ะ ถึงจะล้มไหว ที่มันล้มลงคงเพราะมันแก่แล้วน่ะสิ” นายอำเภอส่ายหัวก่อนจะหันไปทางผู้ใหญ่บ้าน “ใช่ไหมทอง”

“คะ…ครับ”

“แต่หนูเห็นจริงๆ นะคะ ผู้ชายที่หลวงปู่พูดถึง เขาชกต้นไม้นี้ล้ม”

“พ่อว่าหนูคงยังไม่หายเพลีย ไปนอนพักต่อก็ได้นะ” บิดาบอกด้วยความเป็นห่วง แต่ลูกสาวกลับทำแก้มป่องเช่นสาวน้อยขี้งอนเดินสะบัดหน้าจากไป

นายอำเภอครรชิตส่ายหัว หันมาคุยกับทองต่อ “เคราะห์ดีนะที่ต้นไม้ล้มแล้วไม่มีใครเป็นอะไร ว่าแต่ที่ตรงไหนเหรอทองที่หลวงปู่อยากให้สร้างหอไตร”

ทองยิ้มแห้ง นายอำเภอคงไม่รู้ ว่าที่โล่งเตียนที่ยืนอยู่นั่นแหละ ยังไม่ถึงครึ่งวันมันก็เปลี่ยนไปแล้ว หวังว่าคงไม่ใช่ฝีมือไอ้ปล่องต่องสู่ที่ทำการนี้เพียงคนเดียว

ยุวดียังเดินค้นหาชายประหลาดทั่วบริเวณวัด แต่ก็ไม่พบ จึงตัดสินใจกลับไปยังบ้านของพ่อหลวงทอง เห็นบัวชุมกำลังนั่งเช็ดใบตองอยู่ที่แคร่ใต้ต้นลำไย

“คุณยุวดีจะกินข้าวงายเลยก่อเจ้า” เด็กสาวถามเพราะเห็นว่าหญิงเมืองกรุงหายไประหว่างที่ทุกคนรับประทานข้าวเช้า

“ไม่อะ ฉันไม่หิวเท่าไหร่” ร่างบางทิ้งตัวลงใกล้ๆ บัวชุม ยุวดีแกล้งทำเป็นสนใจสิ่งที่เด็กสาวทำจนเธอรู้ตัว

“คุณยุวดีมีอะหยังก่อเจ้า”

“เมื่อกี้ฉันเจอผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว คนที่ฉันบอกเธอเมื่อคืน”

บัวชุมชะงัก แต่ก็ยังเก็บอาการ

“เธอไม่ต้องมาโกหกหรอกน่าบัวชุม ผู้ชายที่ฉันเจอคือนายพันแสง คนที่เจ้าอาวาสพูดถึงใช่ไหม”

สาวบ้านป่าหันไปมองหน้า “ยะหยังคุณยุวดีต้องสนใจเขาตวยเจ้า”

ถูกย้อนก็ไปไม่เป็น “เอ่อ…ก็เขาดูประหลาด เมื่อคืนก็หายตัวไปเร็ว เช้านี้ก็ล้มต้นไม้ยักษ์ด้วยมือเดียวอีก และเขาก็…ถามอะไรก็ไม่ตอบ” ใจจริงก็อยากจะตอบว่า นายคนนั้นหน้าตาหล่อเหลาท้าทายจริตสาวเมืองกรุงอย่างเธอเสียจริง

“ข้าเจ้าอู้นักบ่ได้เจ้า ป้อทองสั่งไว้” บัวชุมเอ่ย

ยุวดีเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจกระทำบางอย่างที่เธอเคยชิน ด้วยการถอดแหวนทองออกมาและยื่นให้บัวชุม

“อ๊ะ นี่ ฉันให้”

แววตาเด็กสาววาววับ แต่ก็เงยหน้ามองเธอด้วยความสงสัย “เอาหื้อข้าเจ้ายะหยัง”

“ฉันไม่ได้ให้เธอฟรีๆ หรอกนะ ก็แค่แลกกับตอบคำถามนิดๆ หน่อย”

บัวชุมแลตามองเครื่องประดับงาม ตั้งแต่แตกเนื้อสาว ของราคาแพงเช่นนี้ไม่เคยมีสมบัติของตน อยู่ดีๆ ก็มีคนมายื่นให้ ไม่คว้าไว้ก็จะเสียโอกาส

“แล้วคุณยุวดีจะถามอะหยังกา บัวชุมจะตอบได้เท่าที่ตอบได้เน้อเจ้า” น้ำเสียงของเด็กสาวดูอ่อนลง ยุวดีเชิดหน้ายิ้มมุมปาก นี่แหละหนาที่บอกว่า เงินซื้อได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งคน…

 



Don`t copy text!