พันเพลงพิณ บทที่ 4 : เสือผี

พันเพลงพิณ บทที่ 4 : เสือผี

โดย : หัสวีร์

Loading

พันเพลงพิณ โดย หัสวีร์ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์  ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อ คุณผู้อ่านสามารถซื้อได้ที่่สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ค่ะ

****************************

– 4 –

ในฐานะที่เป็นถึงนายอำเภอ จึงยากที่ครรชิตจะนิ่งเฉย เขาเดินเข้าไปในห้องหยิบปืนไรเฟิลออกมา

“นายอำเภอจะไปไหนเจ้า” คำแก้วถาม

“ลูกสาวฉันยังอยู่ข้างนอก จะให้ฉันนั่งขี้ขลาดอยู่แต่บนนี้เหรอ” ครรชิตหันไปสั่งลูกน้องอีกคนให้ลงเรือนไปด้วยกัน

ลมข้างนอกยังพัดแรง นายอำเภอเร่งฝีเท้า สวนทางกับกลุ่มคนที่กำลังวิ่งหนีอลหม่าน ลูกเด็กเล็กแดงกระจองอแง เสียงฝูงสัตว์ดังแตกตื่นไปทั่ว ไม่นานเขาและสมุนก็เดินเข้ามาในเขตอาราม ตอนนี้ทุกคนช่วยกันจุดไฟกองใหญ่ให้ลุกโชน เผยให้เห็นว่ามีกลุ่มคนจับกลุ่มคุยกัน บางส่วนนอนกรีดร้องโหยหวน

“นายลงจากเรือนมาทำไมครับ” ทองเดินเข้ามาหา สีหน้าดูวิตกยิ่งกว่าตอนลงเรือนไปเสียอีก

“ฉันเป็นนายอำเภอนะ จะเอาตัวรอดคนเดียวได้ไง มีเสือบุกงั้นเหรอ”

“ใช่ครับท่าน”

ใจหาย…นึกถึงลูกสาวของตัวเอง “แล้วยุวดีล่ะ เห็นเธอหรือเปล่า”

คนถูกถามส่ายหัว

“มันเป็นอย่างงี้ได้ยังไง เสือมาจากไหน”

“ผมก็ไม่รู้ครับนาย ตอนนี้พวกเราต้องก่อไฟให้มากที่สุด เพราะพวกมันมากันเป็นร้อย”

ขนตามตัวลุกชัน เสือมาเป็นร้อย มันจะเป็นไปได้ยังไง ครรชิตกำปืนในมือไว้แน่น “ต้องเร่งมือแล้ว ใครมีอาวุธอะไรก็หยิบจับออกมาสู้ เร็วเข้า” เขาสั่ง ทองรีบหันไปบอกกับทุกคน

ฟืนจำนวนมากถูกนำมาโยนใส่กองไฟพร้อมกับราดน้ำมันจนมันลุกสูงท่วมหัว ยิ่งเจอแรงลมเปลวเพลิงก็ยิ่งเลื้อยตวัดเหมือนพญางูใหญ่ที่โกรธา ก่อนที่เจ้าอาวาสจะเดินลงมาจากกุฏิ

“ทันหันมันก่อสูเขา ว่ามันเป็นเสือแต้ๆ หรือเสือผี” หลวงปู่ถามเพราะเกรงว่าทุกคนจะตาฝาด

“เห็นแต่ตัวมันวิ่งไปวิ่งมา ลูกตาแดงก่ำต้องแสงเดือน มันไล่ขบไปทั่ว ยกเว้นแม่ยิง” หนึ่งในนั้นเล่าเหตุการณ์

“มันบ่ได้ฆ่ากินหมดกา” หลวงปู่ถามต่อ

“มันเลือกที่จะฆ่าป้อจาย ส่วนแม่ญิง เฮายังบ่เจอซักศพ”

พระชรานิ่งคิด ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้พระประธานในวัด เกิดมาอายุเกือบจะเข้าเจ็ดสิบขวบบวชมาเป็นหกสิบพรรษา ยังบ่เคยเจอเรื่องแบบนี้สักเตื้อ

 

ระหว่างเดินทางยุวดีได้ยินเสียงกรีดร้อง นึกแปลกใจอยู่ครามครัน แต่เมื่อยังไม่ถึงเป้าหมายเธอก็ไม่ยอมหยุดฝีเท้า

กระท่อมท้ายหมู่บ้าน…

อุตส่าห์ชะเง้อคอยในงานวัด แต่กลับไม่เห็นนายพันแสงซะที จนหัวใจร่ำร้องอยากจะเจอเขา ประกอบกับต้องการแกล้งคนที่เดินตามหลังให้หัวปั่น

“ข้าเจ้าก่อเพิ่งฮู้ ว่าแม่ญิงกรุงเทพจะใจง่ายกว่าสาวเครือฟ้า ถึงขั้นต้องล่นไปหาป้อจายที่บ้าน” บัวชุมแขวะจนคนที่ถูกพาดพิงต้องหยุดชะงัก

“แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันจะไปไหน” ยุวดีจ้องหน้าเด็กสาว

“ข้าเจ้าผ่อก่อฮู้ ว่าคุณยุวดีจะไปหาอ้ายพันแสง”

“ใช่ ฉันจะไปหาเขา เธอไม่ต้องตามมาก็ได้นะ อ้อ และไม่ต้องแกล้งทำเป็นผีเข้าเพื่อเรียกร้องความสนใจอีกละ”

“คุณยุวดีไปหา แต่คงบ่เจอ เพราะบางทีอ้ายพันแสงอาจจะไปจากบ้านดงหลวงแล้วก่อได้”

ได้ยินบัวชุมพูดเช่นนั้นก็ทำเอายุวดีขมวดคิ้ว “ไปไหน ไปทำไม”

“ยังบ่รู้ตัวแหม ก่อเพราะคุณยุวดีก่อเรื่องไว้น่ากะ ทำหื้ออ้ายพันแสงต้องกลายเป็นคนผิด”

“นี่อย่ามาโทษฉันนะ กล้าดียังไง เดี๋ยวแม่ก็ตบให้” สาวกรุงง้างมือ

“นึกว่าข้าเจ้ากลัวก้า” บัวชุมท้าทาย ยุวดีหมดความอดทน ปรี่เข้าไปหาทันที

“เผียะ!” ร่างคนอ่อนกว่าเซถลาแต่ยังไม่ถึงกับล้ม และเมื่อประคองตัวได้ บัวชุมก็เหวี่ยงมือโต้ตอบ

“โอ๊ย!” ยุวดีร้องลั่น นึกไม่ถึงว่าสาวบ้านป่าจะกล้าตอบโต้

“มึงกล้าตบกูเหรออีบัวชุม”

“เออ…” ลูกสาวพ่อหลวงยังเดินเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัว “นอกจากจะกล้าตบ ยังกล้าถีบตวย” ไม่ปล่อยให้เป็นแค่ลมปาก บัวชุมถีบเข้าที่หน้าขาของยุวดี จนลูกสาวนายอำเภอล้มไม่เป็นท่า

“กรี๊ด!…อีบัวชุม ฉันจะฟ้องคุณพ่อ”

“ตายแล้ว ก่อนึกว่าจะเก่งเหมือนปาก พอสู้บ่ได้ก่อจะฟ้องอีป้อ เป็นดีไค้หัว” บัวชุมแบะปากใส่ ที่ผ่านมา เธอใช้ความอดทนเป็นอย่างสูงในการตามใจผู้หญิงคนนี้ ทนให้มาดูถูกคนบ้านดงหลวง ทนให้มารังเกียจครอบครัวเธอ แต่ที่สาวบ้านป่าอย่างเธอทนไม่ได้ คือยุวดี ทำให้คนดีๆ อย่างพันแสงต้องถูกบิดาไล่ออกจากหมู่บ้าน

โดนตบแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ…

“เอานี้คืนไปเหีย” บัวชุมปาแหวนใส่ ไม่นึกเสียดายเลยสักนิด “ข้าเจ้าบ่เอาแล้ว แต่ขอหื้อคุณยุวดีอย่าได้มายุ่งกับหมู่เฮาแหม”

การทะเลาะกันของทั้งคู่ทำให้สองสาวลืมสังเกตไปว่า ทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนไป โดยเฉพาะดวงจันทร์พราวฟ้า บัดนี้มันแดงฉาน กระทั่งพุ่มไม้รอบตัวมีความเคลื่อนไหวจึงเริ่มรู้สึก

ลมแรงจนกิ่งไม้ไหวเอน และได้ยินเสียงคำรามมาจากแนวป่า บัวชุมเพ่งเข้าไปในเงามืด เห็นแววตาสีแดงประหลาด

“คุณยุวดีเงียบเสียง แล้วมาอยู่หลังข้าเจ้า” เธอสั่งสาวกรุง

“อะไรของมึงอีบัวชุม” อีกฝ่ายยังไม่รู้ตัว

พุ่มไม้นั้นค่อยๆ แหวกใบออก สัตว์ตัวใหญ่ที่ย่ำเท้าออกมา แสงเดือนอาบให้เห็นว่าตัวมันเป็นลายพาดกลอน

บัวชุมหน้าซีด สะกิดให้ยุวดีหันไปมอง ทันทีที่สาวกรุงสบตากับมันก็อ้าปากกว้าง

“โฮก!…” มันคำรามก้อง

“กรี๊ด!” สองสาววิ่งหนีสุดชีวิต แต่มันกับตะกุยดินกระโดดข้ามหัว ดักขวางทางไม่ให้ไปไหน

“เอาไงดี มันจะกินเราแน่ ฉันยังไม่อยากตาย…” ยุวดีเสียงสั่น

จังหวะที่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ร่างหนึ่งก็กระโดดลงมาจากต้นไม้พร้อมกับใช้มีดฟันไปที่หน้าของสัตว์ร้าย มันคำรามก้อง ก่อนจะดิ้นทุรนทุราย และหนีหายเข้าไปในความมืด

“อ้ายพันแสง” บัวชุมดีใจเป็นที่สุด วิ่งเข้าไปกอดชายหนุ่มทันที

“แล้วเมื่อกี้ใครด่าว่าฉันใจง่ายยะ” ยุวดีหมั่นไส้

ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พันแสงก็ยกมือขึ้นจุปากเพราะรู้ถึงอันตราย เขาหยิบตะเกียงน้ำมันของบัวชุมออกมา กวาดแสงไปรอบๆ กระทั่งเจอเสือดำยืนอยู่ตรงหน้าถึงสองตัว ซึ่งพวกมันกำลังเดินวนเป็นวงล้อมรอจังหวะกระโจนเข้าหา

ยุวดีเม้มริมฝีปากไม่กล้ากระดิกตัว เกิดมาเพิ่งจะเคยเห็นสัตว์หน้าขนในระยะประชันชิดขนาดนี้ รอบกายเริ่มได้ยินเสียงคนกรีดร้องไกลๆ ลิงค่างบ่างชะนีในป่าร้องโหยหวย หรือแม้แต่นกกาก็บินหนีกันว่อน มันเป็นสัญญาณของความแตกตื่น

สีดำของพยัคฆ์กลืนเข้ากันได้ดีกับความมืด พันแสงมองเห็นการเคลื่อนไหวของพวกมันทั้งสามตัวไม่ถนัด จนเมื่อเขาเผลอ ตัวที่ใหญ่ที่สุดก็พุ่งเข้ามา

“ระวัง!” ยุวดีร้องลั่น ชายหนุ่มเหวี่ยงขาเตะเข้ามันเต็มลำตัว แต่แล้วอีกตัวก็กระโจนเข้ามาเข้ามางับเข้าที่แขน

เจ็บ…แต่พันแสงก็ไม่ส่งเสียงร้อง ตรงกันข้ามรีบตั้งสติแล้วเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ใบหน้ามันเต็มแรง ได้ผล สัตว์หน้าขนอ้าปากคายแขนออก ล้มกลิ้งสะลึมสะลือ พันแสงพุ่งเข้าไปซ้ำ

แต่แล้วเสือที่เหลือกลับวิ่งเข้ามาหาบัวชุมและยุวดี

“กรี๊ด!” สองสาวถอยร่น พันแสงหันตัวจะเข้าไปช่วย แต่ก็ถูกเสือตัวเดิมที่หายเมาหมัดตะครุบใส่จนล้ม

“อ้ายพันแสง ช่วยด้วย!” เสียงสุดท้ายที่ได้ยินจากปากเด็กสาว ก่อนจะหายไปในความมืด พันแสงถูกกรงเล็บจิกแขนทั้งสองข้าง สัตว์ร้ายอ้าปากกว้างเผยเขี้ยวคม หมายจะกัดไปที่ต้นคอของชายหนุ่ม

“อ๊าก!” พันแสงตะโกนลั่น กำมือแน่น รวบรวมแรงทั้งหมดให้ขยับตัว เจ้าเสือดำตกใจไม่ทันระวังชายหนุ่มก็ใช้หัวกระแทกไปที่ใบหน้าของมัน

“โฮก!”

เสือดำร้องดัง พันแสงรีบผละตัวออก พลิกกระโดดขี่หลังและโอบรัดไว้ มันสะบัดตัวจนทั้งสองกลิ้งไปมาบนพื้น

จู่ๆ ชายหนุ่มก็นึกถึงวิชาติดตัวที่แทรกเข้ามาอย่างกะทันหัน เขาทำปากขมุบขมิบ และซัดกำปั้นลงดิน

“ตูม!” เสียงดันสนั่นหวั่นไหว ในระยะสิบวาต้นไม้ล้มระเนระนาด เสือร้ายร้องลั่น ก่อนจะแน่นิ่งลงไป เขาจึงจับมันเหวี่ยงชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หวังให้มันสิ้นฤทธิ์

ส่วนตัวเองรีบวิ่งตามบัวชุมกับยุวดีไปทันที

“บัวชุม…บัวชุมอยู่ไหน” เขาตะโกนเรียก แต่ก็ไร้เสียงตอบรับ

“เปรี้ยง!” มีเสียงดังราวกับฟ้าผ่าจากด้านหลัง ทำให้พันแสงต้องชะงักและหันไปมอง

“หยุดอยู่ตรงนั้นเน้อไอ้พันแสง!”

ชายหนุ่มพยายามเพ่งมองแสงไฟของกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามา เมื่อตาคุ้นแสงจึงจำได้ทันทีว่าเป็นพ่อหลวงทองและแขกของเขานั่นเอง

“ยุวดีอยู่ไหน ถ้าไม่บอก ฉันยิงนายไส้แตกแน่” นายอำเภอเล็งลำกล้องไปยังพันแสง ชายหนุ่มยกมือยอมจำนน

“เสือมันต้อนเข้าป่า ข้ากำลังจะตามไป…”

“เปรี้ยง!” ปืนไอเฟิลจากเมืองกรุงยิงผ่านหน้าไปกระทบกับต้นไม้ใหญ่จนมันสั่นสะท้าน “ทำไมแกไม่ช่วยลูกสาวฉัน” ครรชิตขบกรามแน่น

“ข้าพยายามแล้ว แต่เสือมันมาถึงสามตัว”

พ่อหลวงทองโกรธจัด เดินเข้ามาตะบันหน้าชายหนุ่มจนล้ม “เพราะสูคนเดียวที่นำเรื่องร้ายๆ มาสู่บ้านของเฮา”

“ข้าจะฆ่ามัน” ทองจ่อปืนลูกซองเข้ากับศีรษะของคนที่เขาคิดว่าเป็นต้นเรื่องทั้งหมด

“อย่าๆ ข้าขอเต๊อะป้อหลวง” เสียงหนึ่งดังแทรกมาจากความมืด นายอำเภอหันขวับเล็งปืนไปทางนั้นทันที สองผัวเมียชราเดินมาหาด้วยสีหน้าลนลาน

“ป้อเฒ่า แม่เฒ่า” พันแสงตกใจที่เห็นผู้มีพระคุณโผล่เข้ามาในนาทีวิกฤต

“ปู่จันทร์ ย่าคำป้อ เพราะสูเขาสองคนนั่นแหละที่ทำหื้อบ้านดงหลวงเฮาเป็นจะอี้ เสือเผตเสือผีบุกมากินคนแถมยังลากหายไปในป่า” ทองตะคอก

“จะว่าข้าผิด ข้าก่อยอมรับ แต่ข้าขอ อย่าฆ่าไอ่พันแสงมันเลย มันกำลังจะไปจากบ้านดงหลวงในวันพรุ่งนี้แล้ว” จันทร์ยกมือไหว้

พ่อหลวงโกรธตัวสั่น “พอบ้านดงหลวงฉิบหาย ก่อจะหนีไปเสีย บ่แน่ เสือผีเหล่านั้น อาจจะเป็นพวกเดียวกับสู แม่นก่อไอ่พันแสง”

หนุ่มหล่อขมวดคิ้ว “ข้าจะเป็นพวกกับมันได้จะได ในเมื่อข้าก่อโดนมันขบ”

พันแสงมีเลือดไหลจากแผลที่ต้นแขน แถมเนื้อตัวก็มอมแมม

“พรุ่งนี้เช้า ปู่จันทร์กับย่าคำป้อ ต้องออกไปจากหมู่บ้านดงหลวงไปตวย เพราะข้าบ่ไว้ใจสูเขาแหมแล้ว” พ่อหลวงยื่นคำขาด สองเฒ่าตกใจ มองหน้ากันเลิกลัก

“มันบ่เกี่ยวกับพ่อเฒ่าแม่เฒ่าเปิ้น เอาเต๊อะป้อหลวง ถ้าหันว่าข้าเป็นต้นเหตุ ข้าจะไปตวยหาบัวชุมกับลูกสาวนายอำเภอหื้อ”

“สูคนเดียวเนี่ยนะ” ทองมองเหยียด

“ข้ารับปากว่าจะพาสองคนนั้นมาหื้อได้”

“ดี ถ้าลูกข้ากับคุณยุวดีบ่ได้ปิ๊กมา ข้าจะฆ่าปู่เฒ่าจันทร์กับย่าคำป้อเหีย” พ่อหลวงขู่

“ข้าจะออกเดินทางคืนนี้” พันแสงรับคำ

“จำคำข้าไว้เน้อ ถ้าลูกข้าบ่ปิ๊กมา จะมีคนตายเพิ่มแหมสองคน”

ทองเก็บปืนไว้แนบลำตัว มองหน้าพันแสง ใจหนึ่งก็เคียดแค้นสุดจะทนที่ไอ้หมอนี่เป็นเหตุให้ลูกสาวตกอยู่อันตราย แต่อีกใจกลับนึกว่ามันคงจะเป็นเพียงคนเดียวที่พอจะช่วยบัวชุมให้กลับมาได้

“รอพรุ่งนี้ก่อนก็ได้พันแสง” ครรชิตตัดสินใจทำเอาผู้ใหญ่บ้านหันขวับ

“ท่านนายอำเภอ ผมคิดว่ามันอาจจะช้าไป”

“ไม่หรอก ข้าว่าพวกเสือมันคงไม่คิดจะฆ่าพวกผู้หญิงแน่ สังเกตว่าเราไม่เจอศพของผู้หญิงเลย เป็นไปได้ว่าพวกมันต้อนเข้าป่าไปเพื่อกระทำการบางอย่าง”

คนที่ถูกเสือฆ่ามีสี่รายเป็นชายทั้งหมด สัตว์เลี้ยงถูกลักขโมยไปหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่วัวควายตัวใหญ่ เป็นไปได้ว่าพวกมันมาปล้นเสบียง รวมยุวดีและบัวชุมมีคนหายไปสิบสามคน เป็นเด็กสาวทั้งหมด

“อีกอย่าง ให้พันแสงไปคนเดียว จะไปทำอะไรได้ เดี๋ยวฉันจะให้ลูกน้องขับรถไปขอความช่วยเหลือจากค่ายทหารที่ใกล้ที่สุด เพื่อขอกำลังให้มาช่วยตามหา” นายอำเภอพยายามแก้ปัญหาอย่างมีสติ หลายๆ คนเห็นด้วย

“เพราะฉะนั้น พันแสง นายต้องเก็บเรี่ยวแรงไว้ให้ดี พรุ่งนี้เช้าเมื่อทหารมาถึง เราจะออกเดินทางกัน”

พันแสงพยักหน้ารับทราบ

“ส่วนคนอื่นๆ ตอนนี้ถ้าเจอเสือที่ไหน ยิงมันซะ ฉันจะถลกหนังมันมาตัดเป็นชุดให้ลูกสาวฉันใส่” นายอำเภอสั่งเสียงแข็ง ก่อนจะแยกย้ายกันค้นหาต่อ

“พันแสงข้าว่า ไปใส่ยาเหียก่อนเต๊อะ เลือดมันไหลบ่หยุดเลย” คำป้อเข้ามาดูอาการ

“ความจริง ข้าอยากจะไปตวยหาบัวชุมเสียคืนนี้เลย ข้ากลัวว่ามันบ่ทันการ” พันแสงเอ่ย จนนึกอะไรบางอย่างได้ เขารีบปรี่ไปที่ต้นจามจุรีต้นใหญ่ เดินวนหารอบๆ จนเจอร่างของสัตว์ที่นอนนิ่ง

เสือดำ…

พันแสงอุ้มมันขึ้นมาและพบว่ายังมีลมหายใจ

“ป้อเฒ่า หาเชือกหื้อข้ากำ เฮาต้องพาเสือตั๋วนี้ไปที่บ้าน”

นกเค้าแมวตัวใหญ่บินผ่านหลังคา เหินทะยานขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้สูง สายตาจดจ้องหาเหยื่อที่ออกหากินตามเดิม พระจันทร์สีเลือดกลับมาสุกสกาวเช่นตอนหัวค่ำ หรีดหริ่งเรไรร้องระงม ดั่งว่าเหตุการณ์อาเพศเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น

พันแสงวางร่างของเสือดำตรงลานบ้าน จันทร์และคำป้อก่อกองไฟให้สว่างส่องให้เห็นร่างสัตว์หน้าขน ตัวมันพอๆ กับเด็กวัยสิบขวบ ลำตัวสะบักสะบอมมีแผลจากการต่อสู้ ที่ท้องกระเพื่อม เป็นสัญญาณว่ายังมีชีวิต

“สูยังบ่ฆ่ามันเหียพันแสง” คำป้อบอก

“ข้าจะเอามันเป็นเหยื่อล่อ หื้อตัวอื่นๆ มาหา หรือไม่ ก่อหื้อมันพาเฮาไปที่ฝูง” พันแสงเอ่ย

“แล้วถ้ามันยกมาทั้งฝูงแหมล่ะ” จันทร์ระแวง

“ซ้ำดี ข้าจะได้ฆ่ามัน” พันแสงอุ้มร่างของสัตว์ร้าย โยนเข้าไปในกรงไก่และปิดประตูอย่างแน่นหนา

“ส่วนพ่อเฒ่ากับแม่เฒ่า ขึ้นเรือนไปนอนเสีย ได้ยินเสียงอะหยัง อย่าได้ลงเรือนมาเป็นอันขาดเน้อ”

สองผู้เฒ่ารับคำ ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป

พันแสงหาผ้ามาพันแผลห้ามเลือด ก่อนจะหันไปหยิบท่อนฟืนสุมไฟให้แรงขึ้นอีก แล้วจึงมานั่งกอดเข่ามองนภาด้วยความหวั่นใจ

กำลังจะไปจากบ้านดงหลวงแท้ๆ ยังเกิดเรื่องไม่ดีอีก หรือเขาจะเป็นตัวซวยจริงๆ

ยิ่งดึก น้ำค้างยิ่งลงหนา หมอกล้อมจันทร์ อากาศเย็นจนพันแสงต้องหาผ้าคลุมมากันหนาว น้ำค้างเกาะพราวบนกิ่งไม้ใหญ่ ก่อนจะร่วงดังเปาะแปะ ชายหนุ่มนั่งห่อไหล่ นานๆ ทีก็หันไปยังกรงไก่

มันเงียบ…หยิบตะเกียงเดินเข้าไปส่อง ก็เห็นมันหลับเป็นตาย

กองไฟมอด เหลือเพียงถ่านแดงแสงเรื่อ เสียงนกบินหลาดงดังเจื้อยแจ้ว สลับกับเสียงไก่ขันก้องไปทั่ว ดอยสูงเริ่มมีแสงทองสว่าง ตีนฟ้ายกเป็นเช้าวันใหม่ หนุ่มที่กอดเข่าฟุบหลับสะดุ้งโหยง ตกใจที่รอบตัวสว่างแล้ว

บ้าจริง…เผลอหลับไปเสียได้ พันแสงตั้งสติรีบถอดผ้าคลุมออก ทุกอย่างยังดูปกติ ไม่มีเสือตัวใดออกมา

ลุกขึ้น ปรี่ไปที่กรงไก่ ส่องเข้าไปดูด้านใน

“เฮ้ย!” พันแสงสะดุ้งโหยง ขยี้ตาคิดว่าตัวเองตาฝาด ก่อนจะตั้งสติจ้องไปที่กรงอีกครั้ง ภาพที่เห็นยังเป็นเช่นเดิม

“แม่เฒ่าคำป้อ ลงมาหาข้าหน่อย” เขาตะโกนขึ้นไปบนเรือน ไม่นานหญิงชราก็ลงมาสีหน้าตื่นตระหนก

“มีอะหยังกา”

พันแสงกลืนน้ำลายฝืด ชี้นิ้วไปยังกรงขัง “แม่เฒ่าไปดูเต๊อะ ว่าหันเหมือนที่ข้าหันก่อ”

คำป้องวยงง แต่ก็ทำตามที่เขาบอก และเมื่อสอดสายตาเข้าไปในที่มืดนั้น อาการก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มเท่าใด

“พุธโธธัมโมสังโฆ” หญิงชราร้องเสียงหลง จนจันทร์ที่ตามมาก็ยังแปลกใจ

“มีอะหยังกาสู” จะเข้าไปหา แต่ก็ถูกภรรยายกมือห้ามไว้

“อย่าฟั่งมา” เธอพยามเปิดกรงอย่างระวัง และขอให้พันแสงส่งผ้าคลุมมา

จันทร์มองดูเมียรักคลุมผ้าเสือในกรง และอุ้มร่างมันออกมาด้านนอก ชายชราอ้าปากค้าง เพราะบัดนี้เสือตัวนั้นกลายเป็นผู้หญิงที่นอนนิ่งไม่ได้สติ!

“เป็นไปได้จะได เสือเย็น มันคือเสือเย็น…” จันทร์เอ่ย ก่อนจะหันไปบอกพันแสง “สูเฝ้ามันอยู่นี้เน้อ ข้าจะไปฮ้องตุ๊ปู่ หันท่างานนี้เฮาคงรับมือบ่ไหวแล้ว”

 

ท้องฟ้าในป่าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มตามการเดินทางของเทพทินกร หญิงสาวสิบสามคนนั่งตัวสั่นอยู่ในถ้ำ พวกเธอไม่รู้วันเวลา หลังจากถูกเหล่าเสือผีไล่ต้อนออกมาจากหมู่บ้านและนำมาขังไว้ที่นี่

ราวกับเป็นฝันร้ายที่ไม่ยอมตื่น ยุวดีคอแห้งผาก เธอหิว เธอเหนื่อย เธอเป็นถึงสาวเปิ๊ดสะก๊าดจากเมืองกรุง แต่ทำไมเรื่องบ้าบอแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเธอ

คิดผิดที่มาที่นี่…มันไม่มีอะไรดีสักอย่าง

“ฮือๆ” คิดแล้วน้ำตาสาวกรุงก็ไหลอาบแก้ม จนบัวชุมต้องเข้ามาปลอบ

“อดทนเต๊อะเจ้าคุณยุวดี กำเดียวท่านนายอำเภอต้องมาช่วยเฮาแน่” สาวบ้านดงหลวงลูบหลัง แต่ยุวดีกลับปัดมือ

“พ่อเฮงซวยแบบนั้นจะช่วยอะไรฉันได้ ฉันเป็นแบบนี้เพราะเขา รวมทั้งเธอ พ่อเธอ และไอ้พันแสงมนุษย์ประหลาดนั่นอีก ฮือๆ” ยุวดีเริ่มหมดลายความเป็นสาวแกร่ง

ผู้หญิงคนอื่นๆ มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน

“ตอนนี้เฮาโทษไผบ่ได้เจ้า เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว หมู่เฮาโดนเสือต้อนออกมาจากหมู่บ้าน และติดอยู่ในถ้ำ จะลองหนีออกไป พวกมันเป็นร้อยก่อเฝ้าอยู่ปากประตู” หลังจากฝูงเสือต้อนพวกเธอเข้ามา พวกมันก็รอคอยท่าอยู่ปากถ้ำ ไม่ยอมให้หนีไปไหน

“เธอต้องรับผิดชอบนะบัวชุม ที่พาฉันมาโดนจับ”

“ข้าเจ้าหรือว่าคุณยุวดีกันแน่ ที่ต้องรับผิดชอบ จำบ่ได้กาว่าไผที่ออกมาหาป้อจายกลางค่ำกลางคืน จนเกิดเรื่อง” บัวชุมเหลืออดเถียงสู้จนยุวดีตัวสั่น

“อีบัวชุม คอยดูนะ หากพ่อกู หรือแฟนกูมาช่วยกูได้ กูจะปล่อยให้พวกมึงโดนเสือกินเสีย แล้วก็จะกลับไปเผาหมู่บ้านดงหลวงให้ไม่เหลือซากเลย คอยดูสิ” สาวกรุงชี้หน้าด่ากราด บัวชุมทนไม่ไหวเหวี่ยงมือไปตบหน้า

“เผียะ!”

ทุกคนเงียบกริบ

“แทนที่จะช่วยกันคิดว่าจะแก้ปัญหาจะใด กลับเอาแต่ร้องไห้โทษแต่คนอื่น กูบ่เคยหันว่าไผจะเห็นแก่ตัวเท่ามึงเลย อียุวดี”

ยุวดีถลึงตา ความโกรธวิ่งพล่านไปทั่ว เธอพุ่งตัวเข้าหาบัวชุมหมายจะเอาคืนซักฉาดสองฉาด แต่บัวชุมก็สู้ไม่ถอย ปล่อยทั้งหมัดทั้งเท้าตอบโต้คนที่เหลือจึงรีบเข้าห้ามศึก

มีเสียงประหลาดดังก้องทั่วถ้ำ มันดังจนผนังหินสั่นสะท้าน ทำให้สงครามย่อมๆ ของสาวกรุงกับสาวน้อยบ้านดงหลวงต้องหยุดชะงักทันที

“พวกมันเข้ามาแล้ว” หนึ่งในตัวประกันหน้าตื่นตระหนก เมื่อรู้ว่าพวกมันกำลังเข้ามาในถ้ำ ยุวดีตัวสั่นด้วยความกลัวและกดดัน ทำให้เธอกรีดร้องอีกครั้ง

“กรี๊ด…”

“หุบปาก!” เสียงตะคอกดังจนทำให้ไม่มีใครกล้าปริปาก มีร่างหนึ่งเดินเข้ามา

ไม่ใช่เสือ…

“มีคนมาช่วยเรา” ยุวดีเริ่มมีความหวัง มองไปที่แสงคบไฟที่กำลังไล่ต้อนความมืด คนที่เดินเข้ามาเป็นหญิงสาว เธอแต่งกายทะมัดทะแมงเช่นนักรบ

“จะเสียงดังไป ก่อบ่มีไผมาช่วยสูได้หรอก” คนแปลกหน้าเอ่ย

ยุวดีขยับตัว หวังจะอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ

“เธอเป็นใคร เป็นคนของพ่อฉันหรือเปล่า”

หญิงสาวปริศนามองหน้าคนกรุงก่อนจะกระตุกมุมปากและผลักเธอเต็มแรง

“ว้าย!”

“อีคนนี้แหละ เสียงดังโวยวายกว่าไผ ถ้าสูยังบ่หุบปาก ข้าจะเอามีดปาดคอสู” นักรบหญิงชี้หน้าขู่ ก่อนที่ปากถ้ำจะเริ่มที่คนทยอยเข้ามา ทั้งหมดแต่งกายเช่นเดียวกับหญิงคนแรก แต่กลับไม่มีเสือสักตัว…

พวกเขาถือเชือกเส้นยาว ก่อนที่แม่สาวนักรบจะสั่งให้มัดมือทุกคนไว้ด้วยกัน

บัวชุมและคนอื่นๆ จำเป็นต้องสงบปากสงบคำ ไม่รู้ว่าที่กำลังจะเผชิญอยู่คือคน เสือ หรืออาจจะเป็นผี…

“ห้ามเสียงดัง ถ้าบ่อยากโดนคนหมู่นี้ฆ่า” บัวชุมกระซิบเพราะกลัวสาวกรุงจะสติแตกอีก

ยุวดีตัวสั่น พยายามนิ่งแต่ยามใดที่ถูกเหล่าคนแปลกหน้าขู่ เธออยากจะร้องไห้ออกมาให้ได้

นิรุต…คุณอยู่ที่ไหน ช่วยฉันด้วย…

เมื่อมัดมือเรียบร้อย กลุ่มนักรบก็ดึงเชือกให้ทุกคนเดินตามกันมาจนถึงปลายปากถ้ำที่มีแสงร่ำไร เมื่อโผล่พ้น แสงทองของวันใหม่ส่องให้เห็นชัด ฝูงเสือหายไปแล้วแต่เป็นกลุ่มคนเข้ามาแทนที่ นับรวมกันตอนนี้น่าจะเกินร้อยคน

บุรุษหนึ่งสีหน้าดุดัน เขามองมายังหญิงตัวประกัน ก่อนจะตะคอกเสียงดัง

“ขึ้นล้อไป” ลูกสมุนคนอื่นหยิบเอาไม้ เอาแส้มาฟาดขู่ให้ทุกคนรีบทำตามอย่างเร็วไว

สาวบ้านดงหลวงหวาดกลัว ร้องไห้ระงม พวกเธอถูกต้อนขึ้นเกวียนที่จอดนิ่งกว่าสิบคัน ซึ่งเล่มอื่นๆ ต่างบรรทุกซากศพสัตว์ที่ถูกปล้นมาจากบ้านดงหลวงนี้ได้ กลิ่นเลือดคละคลุ้งชวนสยดสยอง

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ยุวดีกระซิบถาม

“คนเหล่านี้อาจจะเป็นพวกเดียวกับเสือที่บุกหมู่บ้านเฮา หรือบ่แน่ พวกเขาอาจจะเป็นเสือเย็น” บัวชุมเดาตามที่เห็น

“ข้าบอกแล้วบ่แม่นกา ว่าบ่หื้ออู้กัน อยากคอขาดกาว่าใด” สตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาจับผิด เธอยกดาบหมายจะฟันจนยุวดีร้องกรี๊ด

“หยุดก่อนดวงอิน จำบ่ได้กาว่าเฮาต้องเอาแม่ญิงที่ยังเป็นคนอยู่” เสียงตำหนิจากสตรีอีกคนทำให้อิมรินหลับตาค้อนและเดินหนีไปเสีย

คนที่ห้ามจึงเดินเข้ามาใกล้ “ข้ารู้ว่าพวกสูกลัว แต่ระหว่างนี้ข้าบ่ทำอะหยังสู ขอหื้อเงียบกันไว้ก่อน”

“จะพาหมู่เฮาไปที่ไหน” บัวชุมรวบรวมความกล้าถาม

“ไปเมืองสาปเสือ”

“ไปยะหยังหั้น”

“ถ้าถึงแล้วสูจะฮู้เอง” นักรบหญิงตอบแค่นั้น ก่อนจะสั่งให้ขบวนเริ่มเดินทาง เกวียนลำแรกจึงเคลื่อนที่ทันที ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเงียบเชียบ

ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาเรื่อยๆ เห็นขบวนสุดท้ายจากไปแล้ว แต่คนที่ออกคำสั่งกลับยังหันไปมองข้างหลังอยู่บ่อยๆ

“เป็นอะหยังกา ปิ่นฟ้า” ชายหนุ่มตัวสูงสังเกตเห็น “หรือสูยังห่วงสร้อยคำอยู่”

หญิงสาวถอนหายใจ “แม่นแล้ว หล้าวงศ์ ข้าหวังว่าสร้อยคำจะตวยมา”

“สร้อยคำคงโดนฆ่าตายแล้ว” ‘ดวงอิน’เดินเข้ามาสมทบ

“สร้อยคำเป็นคนคิดแผนนี้เอง นางสั่งเป็นนักเป็นหนาว่า หากตะวันขึ้น แล้วนางยังบ่กลับมา อย่ารอ หื้ออกเดินทางทันที”

‘ปิ่นฟ้า’ เม้มริมฝีปาก ‘หล้าวงศ์’ เข้าไปตบบ่า “เฮาต้องไปแล้ว”

เธอพยักหน้า พร้อมกับเดินตามไป แม้จะพยายามเข้มแข็ง แต่ก็ไม่วายหันกลับไปมองหลัง หวังว่าจะเห็นพี่สาวที่รักจะตามมาทัน…

 



Don`t copy text!