วาสนาชะตาใจ บทที่ 4 : สิ่งที่ทั่วป๋าจินต้องการ
โดย : ชื่อถง
วาสนาชะตาใจ นวนิยายรักจีนโบราณจากปลายปากกา ชื่อถง เมื่อแม่ทัพชั่วร้ายทั่วป๋าจินคือ คางคกเผือก ที่โม่เฉียนจงชัง แต่แล้ววาสนาก็พาให้นางต้องก้าวเดินสู่อุ้งมือของคางคกตัวร้าย นางจะรับมือกับศึกภายนอกและความรู้สึกในใจตนได้อย่างไร มาเอาใจกันได้ที่ anowl.co เว็บไซต์ที่มีนวนิยายสนุกๆ ให้คุณได้อ่านออนไลน์
**************************
– 4 –
เสียงแหลมๆ อย่างจงใจนั้นทำให้โม่เฉียนตาสว่างขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่มากพอที่จะตอบโต้อะไรได้ โชคดีที่สาวใช้ชุดเขียวจูจี้หวาเอ่ยโต้อย่างสุภาพแต่แฝงความไม่พอใจเล็กน้อยว่า
“แม่นางฮวา ท่านเข้ามาในเรือนนี้ได้อย่างไร”
“ข้ามีขาก็เดินเข้ามา ไม่ได้ถูกคุมตัวโยนเข้ามาเหมือนใครเขา” ฮวาจินเหลียนเดินเข้ามาใกล้ นางเป็นหญิงที่มีใบหน้างดงามชวนให้ผู้คนเหลียวมอง รูปร่างอ้อนแอ้นบอบบาง ท่วงท่าก้าวเดินเหมือนก้าวตามจังหวะเสียงดนตรี อันที่จริงนางผูกกระดิ่งทองเล็กๆ ไว้กับตัวทุกย่างก้าวจึงมีเสียงกรุ๊งกริ๊งน่าฟังอยู่ตลอดเวลา
โม่เฉียนเริ่มได้สติตื่นเต็มตา นางพยักหน้าให้กับตัวเองพร้อมเอ่ย
“นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็นางรำฮวาจินเหลียนญาติผู้น้องแม่ทัพทั่วป๋านี่เอง” จากนั้นก็ถามตรงๆ เหมือนคนซื่อๆ ว่า “เจ้ายังอยู่ในจวนแม่ทัพหรือ ข้านึกว่าแม่ทัพทั่วป๋าจินจะยกเจ้าไปช่วยภรรยาบ้านใดดูแลสามีเสียแล้วอีก”
หญิงสาวเท้าความถึงครั้งแรกที่พบเจอในการเจรจาสงบศึกระหว่างสองแคว้นที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย ทั่วป๋าจินออกปากยกฮวาจินเหลียนให้ ‘แบ่งเบาภาระ’ ของว่าที่ภรรยาเสิ่นอู๋จี้ แต่แม่ทัพปีศาจแห่งอู่เฉิงปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย จากนั้นทั่วป๋าจิน…เจ้าคางคกตัวร้ายก็ยังกล้าคิดวางยาโม่เฟิ่งเสียงเพื่อแผนทำร้ายสาวงามกับนางรำผู้นี้ คราวนั้นเพราะยาหมื่นพิษสลายของจ้าวชิงเซียนแผนของคางคกเผือกจึงถูกเปิดโปง โม่เฉียนฉีกหน้าทั้งฮวาจินเหลียนและทั่วป๋าจินอย่างไม่ไว้ไมตรี จนทั้งคู่จดจำนางได้อย่างขึ้นใจ
ยามนี้อยู่ในดินแดนเป่ยเว่ยไม่ใช่ฉี ฮวาจินเหลียนไม่นึกว่าน้องสาวรองแม่ทัพโม่ยังจะกล้ากระทบกระแทกแดกดันนาง นางรำผู้งดงามตัวสั่นด้วยความโกรธ ยกนิ้วชี้หน้า
“เจ้า! ถูกจับเป็นเชลยแล้วยังกล้าปากดีอีก”
โม่เฉียนมองเรือนพักที่ใหญ่โต มองเตียงเตาฟูกนุ่มหนาที่นั่งอยู่ มองสาวใช้สี่นางที่เตรียมพร้อมดูแล จากนั้นก็บอกตรงๆ ว่า
“ห้องขังเชลยเมืองเจ้าดีกว่าห้องพักของข้าเสียอีก เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าเป็นเชลยของทั่วป๋าจิน เพราะข้าเองยังไม่ค่อยแน่ใจเลย”
เจอคำพูดแบบนี้ฮวาจินเหลียนก็นิ่งไปเล็กน้อย เมื่อเช้าตอนได้ข่าวว่ามีหญิงชาวฉีแอบลอบเข้าจวน
ยามวิกาลก่อนถูกคุมตัวที่เรือนเหมยเหมันต์ แถมหญิงผู้นี้เป็นถึงน้องสาวของรองแม่ทัพโม่นางเองก็แปลกใจไม่น้อย ท่านแม่ทัพชังหญิงชาวบ้านปากร้ายนางนี้นักมิใช่หรือ จับนางได้ก็ควรสังหารเสียหรือไม่ก็โยนเข้าคุกไปเสีย ทำไมถึงได้ยกเรือนพักแขกที่ดีที่สุดและอยู่ใกล้เรือนพักของเขาที่สุดให้นาง
ขนาดว่าหมอเผยหรือจ้าวชิงเซียนที่ถูก ‘เชิญ’ ตัวมาเมื่อปีก่อนยังพักที่เรือนดอกบัว ส่วนแม่นางฟางอดีตคู่หมั้นคู่หมายของเสิ่นอู๋จี้ก็พักที่เรือนดอกเหมยซึ่งเล็กกว่าทั้งเรือนเหมยเหมันต์และเรือนดอกบัว แต่หญิงร้ายที่งามสู้หญิงฉีสองคนนั่นไม่ได้ทำไมได้พักอยู่ที่นี่
ด้วยความอยากรู้นางอดไม่ได้ที่จะต้องมาดูให้ชัดเจนกับตา ฮวาจินเหลียนผ่านด่านยามหน้าประตูเรือนไม่ยากเย็นนักเพราะฐานะในจวนของนางเหนือกว่าสาวใช้ทั่วไปมาก แค่บอกว่าท่านแม่ทัพให้นางมาดูแลคนในเรือน พวกยามก็ปล่อยนางเข้ามาแต่โดยดี
เมื่อเข้ามาในห้องนอนด้านในเห็นหญิงชาวบ้านปากร้ายถูกพวกสาวใช้ชั้นหนึ่งในจวนห้อมล้อมดูแลราวกับคุณหนูสกุลใหญ่ แถมยังแจ้งว่าท่านแม่ทัพจะมากินอาหารเช้ากับนาง ฮวาจินเหลียนทั้งไม่พอใจและริษยา ผู้หญิงคนนี้มีดีอะไรถึงได้รับการเอาใจใส่จากท่านแม่ทัพเพียงนี้
นางรำผู้งดงามอดใจไม่อยู่เอ่ยปากว่ากระทบไปสองสามคำ นึกไม่ถึงว่าหญิงฉีผู้นี้จะหน้าหนาเกินทน สามารถโต้ตอบนางอย่างไม่สะทกสะท้าน หนำซ้ำวาจานั้นยังจุดความสงสัยในใจนาง โม่เฉียนลอบเข้าจวนมาจริงหรือ ทำไมท่านแม่ทัพถึงให้คนเตรียมเรือนเหมยเหมันต์ไว้ราวกับรู้ล่วงหน้า
หรือว่าท่านแม่ทัพมีแผนสำหรับหญิงฉีนางนี้ ความโกรธและริษยาของฮวาจินเหลียนลดลงอย่างรวดเร็ว ต้องใช่แน่…ท่านแม่ทัพต้องมีแผนแน่ถึงได้เลี้ยงดูหญิงชาวบ้านผู้นี้เป็นอย่างดี และการมาของนางอาจจะทำให้เสียแผน
ฮวาจินเหลียนเริ่มกังวล ทว่าภายนอกนางยังวางท่าเยือกเย็น ใบหน้างามเชิดขึ้นเล็กน้อยยามเอ่ยหยามว่า
“เจ้าอย่านึกลำพองนักเลยโม่เฉียน ระวังตัวให้ดีเถอะ!”
พูดแล้วนางก็สะบัดหน้าจากไป ทิ้งไว้เพียงเสียงกระดิ่งเบาๆ และกลิ่นหอมจางของดอกไม้
โม่เฉียนที่ตื่นเต็มที่แล้วกะพริบตาปริบอย่างมึนงง ไม่แน่ใจว่านางรำผู้นั้นมาทำไม มาพูดอยู่สองสามประโยคแล้วก็ไป ทำแบบนี้ไม่ต้องมาเสียเลยจะดีกว่าไหม ทว่านางยังไม่ทันเอ่ยปากถามอะไร
จูจี้หวาก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า
“แม่นางโม่ท่านอย่าได้ใส่ใจแม่นางฮวาเลยนะเจ้าคะ นางเข้ามารบกวนแม่นางอย่างนี้ท่านแม่ทัพต้องลงโทษนางแน่นอน”
“เขาจะลงโทษจริงหรือ เห็นว่าแม่นางฮวาเป็นญาติผู้น้องของทั่วป๋าจิน เขาจะตัดใจลงโทษนางได้อย่างไรกัน” โม่เฉียนแกล้งหยั่งเชิง
บรรดาสาวใช้พากันชะงัก สีหน้าติดจะเหยียดหยามเห็นชัดว่าความสัมพันธ์ของหญิงนางรำกับบรรดาสาวใช้ในจวนไม่สู้ดีเท่าไรนัก แต่สาวใช้ที่ถูกส่งมาล้วนแต่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี พวกนางจึงไม่เอ่ยอะไร มีเพียงรายที่อายุน้อยที่สุดวัยคงไม่ถึงสิบสี่ปี นางยังเด็กและเพิ่งถูกฮวาจินเหลียนตำหนิในเรื่องไม่เป็นเรื่องเมื่อหลายวันก่อน นางจึงระงับสีหน้าและปากตัวเองไม่อยู่ หลุดออกมาว่า
“ท่านแม่ทัพมาจากเมืองหลวง ส่วนแม่นางฮวาเป็นคนอิ่นโจว…”
“ชิวหลี!” จูจี้หวาเรียกสาวใช้ตัวน้อยเสียงเข้มงวด ฝ่ายนั้นคอตกหน้าม่อยอย่างสำนึกผิด แต่โม่เฉียนยิ้มมุมปากนิดๆ ที่นางเดาไว้ไม่มีผิดจริงๆ
ญาติผู้น้องที่ไหนกัน!
“ยังจะยืนเฉยทำไม นำน้ำร้อนมาให้แม่นางโม่ล้างหน้า รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางเร็วเข้า”
“พวกเจ้าไม่ต้อง ข้า…” โม่เฉียนรีบห้าม แต่มือไม้สี่คู่เข้ามามะรุมมะตุ้ม นางเพิ่งตื่นร่างกายยังเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว อีกอย่างสาวทั้งสี่ก็ดูเหมือนจะปกป้องนางจากฮวาจินเหลียน หญิงสาวจึงไม่อยากลงมือผลักไสรุนแรงเหมือนเมื่อคืน ดังนั้นเพียงครู่เดียวพวกนางทั้งสี่ก็ช่วยล้างหน้าแต่งตัวให้
ถูซิ่วซิ่วสาวใช้อีกนางมองเสื้อผ้าหญิงชาวบ้านที่โม่เฉียนใช้ปลอมตัวมาแล้วส่ายหน้า นางพับเสื้อเก็บไว้ แล้วนำชุดชาวเป่ยเว่ยสีชมพูเข้มสดใสมาวางรอท่า จูจี้หวาที่มือไม้คล่องแคล่วหลบหลีกการปัดป้องได้อย่างว่องไวจัดการปลดสายรัดเอวของโม่เฉียนออก นางชะงักไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ามีกระบี่อ่อนซ่อนอยู่ด้านใน แต่แล้วกลับนำสายรัดเอวไปเก็บไว้ในหีบเสื้อผ้า พร้อมบอกกล่าว
“ข้าวางไว้ตรงนี้นะเจ้าคะ”
โม่เฉียนที่หน้าแดงเรื่อเพราะเพิ่งถูกเช็ดถูจากผ้าร้อนในมือชิวหลีสบตากับผู้พูด
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเอากระบี่อ่อนลอบสังหารท่านแม่ทัพของพวกเจ้า หรือใช้เป็นอาวุธจับพวกเจ้าเป็นตัวประกันหรือ” หญิงสาวถามตรงๆ
จูจี้หวายิ้มน้อยๆ นางก้มศีรษะนิดหนึ่งก่อนตอบว่า
“ถ้าแม่นางโม่ไม่ถามข้าคงนึกกลัวอยู่บ้าง แต่เมื่อท่านเอ่ยปากแสดงว่าไม่ได้คิดทำเช่นนั้นจริง อีกอย่างข้ามั่นใจว่าท่านเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ว่ากระบี่อ่อนเล่มเดียวคงไม่มีทางพาท่านออกจากจวนแม่ทัพได้แน่”
โม่เฉียนถอนใจยาว เรื่องนี้ขนาดสาวใช้ยังรู้มีหรือที่นางจะไม่รู้…
“เจ้าเพิ่งพบข้า รู้ได้อย่างไรว่าข้าฉลาด จริงๆ ข้าโง่จะตาย” ถ้านางฉลาดเหมือนคำชมคงไม่ออกจากอู่เฉิงบุกเข้าจวนแม่ทัพศัตรูตามลำพังแบบนี้หรอก
จูจี้หวาไม่ตอบ โม่เฉียนก็พูดอะไรไม่ได้อีกเพราะสาวใช้สองนางนางหนึ่งเริ่มลงมือประทินโฉมให้นาง อีกนางสางผมเกล้ามวยให้อย่างชำนิชำนาญ
อึดใจเดียวบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ก็หยุดมือลงเพื่อถอนใจยาวอย่างชื่นชม…ฝีมือตัวเอง
“แม่นางโม่…ท่านงามจริงๆ”
“อะไร ข้าเนี่ยนะ…” นางถามเสียงไม่เชื่อถือ เกือบจะเอานิ้วชี้หน้าตัวเองประกอบคำพูดอยู่แล้วกระจกทองเหลืองก็ถูกวางลงตรงหน้า
โม่เฉียนสบสายตากับหญิงในกระจกอย่างมึนงง นางรู้ว่าตัวเองไม่ใช่หญิงขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ด้วยความที่วันๆ ออกแดดฝึกอาวุธและวรยุทธ์ ผิวหน้านางจึงไม่ขาวเนียนประหนึ่งหยกเนื้อดีเหมือนหญิงสาวในห้องหอนางอื่น เสื้อผ้าที่สวมก็มักเลือกสีเข้มเหมาะกับเหงื่อไคลและการคลุกฝุ่นจากการฝึก แม้ปีที่ผ่านมาฟางติงเซียนภรรยาขององครักษ์ฮั่วอี้หลงดึงนางไว้ข้างตัวไม่ให้วิ่งออกไปฝึกกลางแดดบ่อยๆ แถมยังช่วยหาเครื่องสำอางมาบำรุงผิวหน้าผิวกายนาง แต่โม่เฉียนก็ไม่ได้รับรู้การเปลี่ยนแปลงของตัวเองเท่าไรนัก
กระทั่งยามนี้เมื่อสาวใช้ชาวเป่ยเว่ยทั้งสี่ช่วยกันผัดหน้าเขียนคิ้วทาปาก เกล้าผมใหม่ให้นาง โม่เฉียนถึงได้รู้ว่าตนนั้นก็งามไม่น้อย คิ้วโก่งงาม ดวงตาเมล็ดซิ่งที่เรียวยกสูงเล็กน้อยถูกแต่งให้เข้มขึ้น ริมฝีปากอิ่มแดงชุ่มฉ่ำ แม้กระทั่งเสื้อผ้าสีชมพูเข้มที่นางไม่เคยคิดจะเหลียวแลก็ช่วยขับให้ผิวของนางสว่างนวลเนียน แลผุดผ่องไปทั้งกายอย่างประหลาด
“นี่…ข้าหรือเนี่ย” นางถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
บรรดาสาวใช้หัวเราะกันคิกคัก จูจี้หวาเช่นเคยที่เอ่ยตอบว่า
“ก็ท่านสิเจ้าคะ อันที่จริงแม่นางโม่ท่านงามมากนะเจ้าคะ ดวงตางาม ริมฝีปากอิ่ม ผิวก็เนียน
นุ่ม ท่านแม่ทัพช่างตาแหลมคมเหลือเกิน”
ประโยคหลังของนางทำให้โม่เฉียนที่กำลังตื่นตะลึงกับรูปโฉมของตัวเองชะงักก่อนเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์
“รูปร่างหน้าตาข้าไปเกี่ยวอะไรกับท่านแม่ทัพของพวกเจ้ากัน”
สาวใช้ทั้งสี่สบตากันแต่ไม่ตอบอะไร แค่เร่งเร้าให้โม่เฉียนออกไปยังห้องด้านนอกเท่านั้น
ด้านนอกร่างสูงใหญ่ในชุดขาวยืนรออยู่แล้ว สองมือไพล่หลัง ใบหน้างามยิ้มแย้ม ดวงตาเหยี่ยวเป็นประกายเจิดจ้า และแม้จะชังนักหนาแต่โม่เฉียนก็อดยอมรับไม่ได้ว่าทั่วป๋าจินเป็นชายรูปงามจริงๆ ภาพของนางที่สะท้อนจากกระจกเมื่อครู่นับว่างาม แต่เมื่อเทียบกับชายตรงหน้าแล้ว…ต้องยอมรับว่านางด้อยกว่าอยู่หลายส่วนจริงๆ
น่าเสียดายเหลือเกินที่ชายงามกับแม่ทัพผู้โฉดชั่วกลับเป็นผู้เดียวกัน!
“ดี ดีเหลือเกิน แค่ได้พักผ่อนเต็มที่เพียงคืนเดียวเจ้าก็งดงามขึ้นทันที น้ำและอากาศของหลานโจวคงถูกกับเจ้าจริงๆ”
โม่เฉียนถลึงตาใส่เขาเป็นคำตอบ ระหว่างนั้นบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ก็ถอยออกไปเพื่อรับอาหารจากโรงครัวเพื่อจัดเรียงบนโต๊ะ
ทั่วป๋าจินไม่ถือสาท่าทีมึนตึงของหญิงสาว เขาเอ่ยต่อว่า
“กินอาหารเช้ากันเถอะ วันนี้ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องทำ”
หญิงสาวอยากจะยึดศักดิ์ศรีไม่กินดื่มของศัตรู แต่ท้องของนางเริ่มส่งเสียงตั้งแต่แม่สาวทั้งสี่เริ่มวางอาหารบนโต๊ะแล้ว อีกอย่างถ้าท้องหิวนางคงไร้ทั้งแรงและสติปัญญาในการหลบหนี
คิดดังนั้นโม่เฉียนจึงนั่งลงอย่างไม่เกี่ยงงอน
อาหารบนโต๊ะไม่หลากหลายเท่าใดนัก มีเพียงโจ๊ก ผักดอง เนื้อแห้งผัดกับผัก กับอาหารเรียบง่ายอีกสองอย่าง หากถึงจะน้อยอย่างแต่รสชาติไม่เลวเลย อย่างน้อยก็ดีกว่าหมั่นโถวเนื้อหยาบที่นางกินเป็นมื้อเย็นมาก โม่เฉียนจึงขยับตะเกียบอย่างไม่ฝืนทนเท่าไรนัก
นางตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่หวาดเกรงสิ่งใดจนทั่วป๋าจินนึกขำ เขาเอ่ยขึ้นว่า
“ว่าไปแล้วเจ้ากับหมอเผยมีอะไรที่เหมือนกันอยู่ไม่น้อยเลย”
หญิงสาวชะงัก ก่อนแก้ไขคำพูดเขาทันที
“เสิ่นฮูหยิน ตอนนี้นางคือเสิ่นฮูหยินไม่ใช่หมอเผย”
แม่ทัพหนุ่มไม่ใส่ใจความพยายามของโม่เฉียน เขาถามว่า
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเจ้ากับนางเหมือนกันตรงไหน”
“มีสิ่งใดที่เหมือนกัน” หญิงสาวเบ้ปาก “ฮูหยินทั้งงดงามและมีเมตตา ข้าไม่มีอะไรคล้ายนางแม้แต่น้อย”
ทั่วป๋าจินมองอย่างพินิจก่อนพยักหน้ารับอย่างเห็นพ้อง
“จริงอย่างเจ้าว่า สองอย่างนี้เจ้าเปรียบนางไม่ได้จริงๆ”
แม้เป็นผู้เริ่มก่อนแต่โม่เฉียนอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เขาอย่างเคืองขุ่น ถึงจะเป็นความจริงในเรื่องที่นางเอ่ยขึ้นก่อน เขาก็ไม่เห็นจะต้องแสดงทีท่าสนับสนุนขนาดนี้!
แม่ทัพใหญ่แห่งหลานโจวหัวเราะเบาๆ ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เขาไม่เคยขาดแคลนหญิงงามข้างกาย ทว่าหญิงที่ไร้จริตมารยาสามารถแสดงอารมณ์ต่อหน้าเขาได้อย่างไม่เก็บงำอาการเห็นจะมีเพียงพี่สาวร่วมมารดาทั่วป๋าลู่กับหญิงตรงหน้านี้เท่านั้น
ไม่แปลกที่เขาจะสะดุดตาสะดุดใจในตัวนางตั้งแต่แรกพบ
“แต่ที่เจ้าเหมือนกับนางคือ พวกเจ้ากินเก่งเหมือนกันไม่มีผิด!”
มือที่กำลังตักโจ๊กเข้าปากชะงักไปเล็กน้อย นางเบื่อที่จะถลึงตาใส่เขาแล้วเพราะรู้ว่าไร้ประโยชน์ จึงเอ่ยเพียงว่า
“มีให้กินก็ย่อมต้องกิน”
“เรี่ยวแรงเก็บเกี่ยวได้ก็ต้องเก็บเกี่ยวไว้” ทั่วป๋าจินต่อคำให้ นี่คือใจความแท้จริงของการที่หญิงสองนางคล้ายคลึงกัน พวกนางไม่ดื้อดึงถือทิฐิ แต่มุ่งมั่นหาหนทางรอด
โม่เฉียนไม่ตอบอะไร เขาจึงเอ่ยบอกนางตามตรงว่า
“เจ้าอย่าได้คิดหนีเลย ฝีมืออย่างเจ้าอาจจะจัดการทหารได้สักนายหรือสองนาย แต่มากกว่านั้นเจ้ารับมือไม่ไหวแน่ และอย่าคิดว่าโม่เฟิ่งเสียนจะมาช่วยเจ้าได้ จวนของข้าไม่ใช่สวนป่าเหมยที่ผู้ใดนึกจะเข้าก็เข้านึกจะออกก็ออกได้”
หญิงสาวไม่ปิดบังสายตาเย้ยหยันด้วยซ้ำเมื่ออวดว่า
“เมื่อคืนข้าก็ว่าเข้าจวนท่านไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้น”
เจ้าของจวนแม่ทัพยิ้มจนดวงตาเหยี่ยวหรี่เล็กลงทว่ายังปิดประกายเจิดจ้าไว้ไม่มิด
“เจ้าเชื่อว่าง่ายดายขนาดนั้นจริงๆ หรือ แมงป่องน้อยเอ๋ย เจ้ารู้จักข้าน้อยไปแล้ว ข้าทั่วป๋าจินเคารพและเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง เสิ่นอู๋จี้อาจจะบุกเข้ามาในจวนนี้ได้ครั้งหนึ่งแต่ไม่มีครั้งที่สองแน่” เขาเดาะลิ้นเล็กน้อยเป็นเชิงหยอกเย้า ใบหน้าที่งดงามฉายแววพึงพอใจชัดเจน “ผังจวนที่แสนล้ำค่าในมือพวกเจ้าชาวฉีใช้ไม่ได้แล้ว ข้าปรับเปลี่ยนทุกอย่าง วางค่ายกลซับซ้อน ถ้ามีผู้กล้ารายใดคิดช่วยมาช่วยสาวงามอีก สิ่งที่มันจะได้รับคือตกลงในกับดักที่ข้าวางไว้ ไม่อาจเล็ดลอดไปได้อย่างแน่นอน”
“แต่…ทำไม…” โม่เฉียนนึกถึงเส้นทางที่นางเข้ามาในจวนแม่ทัพหลานโจวอย่างง่ายดาย เส้นทางที่เห็นได้ชัดเจน การรักษาความปลอดภัยที่หละหลวมแม้ในส่วนที่เป็นคลังเสบียง ทุกอย่างราบรื่น…ผิดแล้ว ทุกอย่างราบรื่นเกินไป ดีตรงใจนางเกินไป มาถึงยามนี้นางถึงได้ฉุกคิด…คลังเสบียงที่เคยถูกองครักษ์ของเสิ่นอู๋จี้ลอบวางเพลิงมาแล้วครั้งหนึ่ง เหตุใดจึงปล่อยปละไร้คนเฝ้าระวัง…
แล้วไหนยังทหารเวรยามที่ตรวจตราขวักไขว่บีบให้นางหลบหลีกจนล่วงเข้ามาสู่เรือนหลักของจวนอีก
ว่ากันตามจริงแล้วโม่เฉียนอาจจะเป็นหญิงเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจไม่น้อย แต่นางไม่นับว่าโง่เขลา เมื่อทุกอย่างมาจัดเรียงวางตรงหน้า มีหรือจะมองไม่เห็นเส้นทางของเรื่องราว
“ท่าน!” หญิงสาวตบโต๊ะปังอย่างแค้นใจ “นี่เป็นแผนของท่านทั้งหมด…”
นางหยุดคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก
“ต้าซวนเป็นคนของท่าน…”
ทั่วป๋าจินพยักหน้ารับ
“ก็เหมือนกับชาวบ้านสองสามรายในเมืองรวมถึงข้ารับใช้ในจวนนี้ คนสองคนที่เสิ่นอู๋จี้ส่งมาให้ข้านั่นแหละ ถ้ารู้แต่เราไม่รู้เขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไรจริงไหมเฉียนเฉียน”
โม่เฉียนที่โกรธเพราะเพิ่งรู้ว่าตนถูกปั่นหัวมาโดยตลอดหน้าตาแดงก่ำ ร้องตวาดว่า
“อย่าเรียกข้าว่าเฉียนเฉียน ท่านกับข้า…เราไม่ได้สนิทสนมกันปานนั้น!”
ทั่วป๋าจินมองริมฝีปากแดงเรื่ออิ่มเต็มของผู้พูดด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ เขายิ้มกริ่มราวกับยังระลึกถึงรสหวานที่เคยสัมผัสในคืนวันที่หนึ่งเดือนสิบสองของปีก่อน
“ข้าว่า เราก็สนิทสนมกันอยู่ไม่น้อยนะ”
ใบหน้าหญิงสาวร้อนผ่าวจนแก้มเนียนแดงก่ำไปหมด นางขบฟันแน่นถามตรงๆ ว่า
“ทั่วป๋าจิน ท่านต้องการอะไรกันแน่”
แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลานโจวยิ้มน้อยๆ ดวงตาเหยี่ยวจ้องมองโม่เฉียนประดุจเหยี่ยวจับจ้องเหยื่อตัวน้อย คำตอบของเขาสั้น ทว่าหนักแน่น
“เจ้า!”